รีเซต
TRUE OPINIONS : ฝ่าวิกฤติทัพ "อัซซูรี่" ในวันที่อิตาลีไม่มี "ขงเบ้งลูกหนัง" ... by "บก.เก้น"

TRUE OPINIONS : ฝ่าวิกฤติทัพ "อัซซูรี่" ในวันที่อิตาลีไม่มี "ขงเบ้งลูกหนัง" ... by "บก.เก้น"

TRUE OPINIONS : ฝ่าวิกฤติทัพ "อัซซูรี่" ในวันที่อิตาลีไม่มี "ขงเบ้งลูกหนัง" ... by "บก.เก้น"
kentnitipong
16 พฤศจิกายน 2560 ( 12:22 )
1.6K

TRUE OPINIONS : ย้อนเวลากลับไปเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับแฟนบอลตัวอ้วนๆ อย่างผม รวมถึงวงการฟุตบอลแดนมักกะโรนี หลังการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลของแต่ละสโมสรเพื่อสร้างทีมด้วยแข้งดังระดับโลกที่ต่างพาเหรดตบเท้าย้ายเข้ามาโกยเงินลีร์ (สกุลเงินอิตาลีสมัยก่อนจะมาใช้ ยูโร ในปัจจุบัน) จนหลายๆ คนต่างพากันกล่าวขานเป็นเสียงเดียวกันว่า กัลโช่ เซเรีย อา (เมื่อก่อนคนไทยอ่าน ซีรีย์ เอ ฮา) คือลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก

 

 

จากสามทหารเสือเลือดดัตช์ สู่ยุคของมหาเทพแดนละตินทั้งหลาย ที่ล้วนแต่มาสร้างบทตำนานในดินแดนรองเท้าบูททั้งสิ้น นับตั้งแต่สามทหารเสือของนาโปลี ทั้ง ดิเอโก้ มาราโดน่า, กาเรก้า และ อเลเมา สู่ยุคของโคตรศูนย์หน้าเท้าหนักอย่าง กาเบรียล บาติสตูต้า นี่ยังไม่นับ โรนัลโด้, ฮวน เวรอน, เอร์นาน เครสโป, มาร์เซโล่ ซาลาส – อีวาน ซาโมราโน่ และอีกมากมายเกินกว่าที่ผมจะร่ายยาวมาสะกิดต่อมความทรงจำของผู้อ่านทุกท่าน

… เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน, โรม่า, นาโปลี, ลาซิโอ หรือแม้แต่ ปาร์ม่า ก็ยังเป็นทีมที่ยังคงตรึงอยู่ในใจแฟนบอลทั้งโลกเสมอ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่แฟนบอลยุคเรา (29+) ถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในสมองส่วนซีรีบรัมมาตั้งแต่เด็กๆ ก็คือ “บอลอิตาลี คือที่สุดแล้ว”

แน่นอนว่าการมีลีกที่ดี ย่อมส่งผลโดยตรงต่อทีมชาติ นักเตะอย่าง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ หรือจะเป็น “ปิ๊ปโป้” ฟิลิปโป้ อินซากี้, ปราการหลังรูปหล่อขวัญใจแม่ยกอย่าง อเลสซานโดร เนสต้า กระทั่งเจ้าของบัลลงดอร์ อย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ล้วนแต่เป็นเพชรเม็ดงามจากเวทีกัลโช่ฯ ทั้งสิ้น หากรวมแข้งจอมเก๋าอย่าง อันเดรีย ปีร์โล่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่, เปาโล มัลดินี่, จีจี้ บุฟฟ่อน ชัดเจนว่า อิตาลี คือมหาอำนาจลูกหนังโลกชาติหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แชมป์เวิลด์ คัพ “สี่สมัย” คือคำตอบ…

 

 

ผมเข้าใจว่าชีวิตคนเราย่อมต้องมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับทีมชาติอิตาลี ความคาดหวังเพียงหนึ่งเดียวต่อทัพ “อัซซูรี่” ของเหล่าแฟนบอลทั้งโลกก็คือ “ความสำเร็จ” เท่านั้น เรียกง่ายๆ ว่ามีแค่ขึ้นเท่านั้น ห้ามลงโดยเด็ดขาด !!!

เพราะความสำเร็จเมื่อครั้งอดีตได้กลายมาเป็นมาตรวัดที่ปักหลักค้ำคอทีมชาติอิตาลีเอาไว้แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…

ร่ายยาวมาตั้งนาน จริงๆ แล้วประเด็นหลักๆ ที่แฟนบอลอิตาลีอย่างผมอยากจะระบายในวันนี้ก็คือ “โค้ช” …

 

 

ผมเชื่อว่า จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า นั้นเป็นโค้ชที่ดี (อย่าเพิ่งเบะปากใส่ผมนะ ฮา) ถ้าหากเราวัดกันที่ เวนตูร่า สามารถพา โตริโน่ กลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้ง รวมถึงการยกระดับทีมจากโซนหนีตกชั้น สู่การได้เล่นฟุตบอลยุโรปอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นผลงานที่ไม่เลวหากเทียบกับการคุมทีมยักษ์หลับที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังอะไรอย่าง โตริโน่

แต่ถ้าวัดกันที่การเป็น “อิล ซีที” (กุนซือทีมชาติอิตาลี) ผมว่า เวนตูร่า สอบตกอย่างรุนแรง และควรถูกจับให้นั่งซ้ำชั้นต่อโทษฐานที่ทำให้ อิตาลี ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี !

หนำซ้ำ คู่แข่งที่พวกเขาพลาดท่าให้นั้น ก็ดันเป็น สวีเดน อดีตชาติเจ้าภาพในศึกฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ อิตาลี ตกรอบคัดเลือกนั่นแหละ สวนทางกับแข้งไวกิ้งที่กรีฑาทัพตบเท้าสู่แผ่นดินรัสเซียได้อย่างสง่างาม และยังถือเป็นการหวลคัมแบ็กกลับสู่ เวิลด์ คัพ ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 ที่เยอรมัน… อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนั้น

 

 

บางคนที่เกิดความเห็นอกเห็นใจ เวนตูร่า ขึ้นมาอาจจะอ้างว่า ก็แนวรับสวีเดนลงไปป้องกันซะลึกขนาดนั้น แถมยังลงไปแพ็คแน่นไม่ต่ำกว่า 6 คน ต่อให้ อิตาลี มีโอกาสลุ้นพังประตูมากกว่า 20 หน มันก็เจาะไม่เข้าหรอก…

โอเค ผมเข้าใจว่าแนวรับสวีเดนนั้นอาจจะลงไปรับกันแน่น แต่ถ้าเราลองมากางสถิติกันดู จะเห็นได้ชัดเลยว่าในเกมนัดล่าสุดนั้น สวีเดน เคลียร์บอลได้มากถึง 56 ครั้ง บวกกับตัดบอลจากแนวรุกทัพ “อัซซูรี่” ได้อีกกว่า 19 หน แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า อิตาลี เจาะไม่เข้าเองต่างหาก

แทคติกของ “เวนตูร่า” รึเปล่า ที่ทำให้ อิตาลี เจาะไม่เข้า…

เพราะโคตรแนวรับอย่าง บุฟฟ่อน, บาซาญี่, โบนุชชี่ รวมไปถึง คิเอลลินี่ เมื่อผนวกกับแนวรุกตัวจี๊ดทั้ง ชิโร่ อิมโมบิเล่, “เอล ฟาโรห์” สเตฟาน เอล ชาราวี่, ลอเรนโซ่ อินซิเญ่ และอันเดรีย เบล็อตติ ก็ไม่ได้ดูขี้เหร่ไปกว่าทีมอื่นๆ มากนั้น แม้ว่าชื่อชั้นของทีมชุดนี้อาจจะดูไม่ปังเหมือนกับชุดก่อนๆ แต่อย่างน้อยขึ้นชื่อว่าเป็นยี่ห้อ “อัซซูรี่” แล้ว ยังไงพวกเขาก็ต้องการันตีพื้นที่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้แบบไม่ต้องออกแรงเหนื่อยเหมือนในครั้งนี้

หนำซ้ำยังมีประเด็นที่มิดฟิลด์จอมเก๋าอย่าง ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ออกมาโวย เวนตูร่า และทีมสต๊าฟ หลังถูกสั่งให้ไปวอร์มในสถานการณ์ที่ดาวเตะวัย 34 ปีรายนี้มองว่า ควรจะส่งแนวรุกลงไปเติมเกมมากกว่าที่จะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับอย่างตน

 

ขอบคุณภาพ : Daily Mail

 

และหลังจากสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายที่ ซาน ซิโร่… เด รอสซี่ ก็ออกมาประกาศอำลาทัพ “อัซซูรี่” ทันที เฉกเช่นเดียวกับ จิจี้ บุฟฟ่อน, คิเอลลินี่ และบาซาญี่ ท่ามกลางน้ำตา ความชอกช้ำ และความเจ็บปวดที่เปรียบดั่งอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมลูกหนัง

ช็อตนี้ผมมองว่า เวนตูร่า ทำให้ทีมเสียสปิริตไปในบัดดล….

 

“ผมไม่รู้ว่าเกมส์จะออกมาเป็นแบบไหน แต่ที่ผมรู้คือผมนึกภาพที่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่จะเล่นกันโดยไม่มี อิตาลี ไม่ออก”

“จากความคิดของผมมันแทบเป็นไปไม่ที่เราจะไม่ได้ไป ฟุตบอลโลกครั้งนี้” นี่คือวาทะเด็ดที่กุนซือขรัวเฒ่ารายนี้พูดก่อนที่จะนำลูกทีมลงเล่นเกมนัดประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังอิตาลี

 

การปลด เวนตูร่า ในช่วงเช้าวันนี้น่าจะช่วยลดแรงเสียดทานจากแฟนบอลได้ไม่มากก็น้อย จากนี้ไปผมเชื่อว่า สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี เองคงจะต้องละเมียดกับการมองหา “ขงเบ้งลูกหนัง” เพื่อยังคงความยิ่งใหญ่ของทีมมากขึ้น และผมเชื่อว่านี่คงจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่า ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาเป็น “อิล ซีที” เพราะ อิตาลี คือชาติที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก บราซิล แค่ทีมเดียวเท่านั้น

คาร์โล อันเชล็อตติ น่าจะดูมีภาษีดีสุดหากเทียบกับโปรไฟล์ที่ผ่านมาในระดับสโมสร รวมถึงแนวทางการเล่นที่น่าจะนำ อิตาลี กลับคืนสู่ยุคทองได้ อีกทั้ง “อันเช่” เองก็เพิ่งจะวางมือจากการคุม บาเยิร์น มิวนิค ผมเชื่อว่ากุนซือรายนี้คือคนที่ทาง “เอฟไอจีซี” จะต้องไปทาบทามอย่างแน่นอน

ขณะที่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ วัย 71 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่น่าสนใจในแง่ของประสบการณ์ อีกทั้งยังเคยพาทีมยักษ์ใหญ่ทั้ง เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, เรอัล มาดริด หรือแม้กระทั้ง โรม่า คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว หากเราจะมองใครสักคนที่มีบารมีมากพอที่จะมากอบกู้ศักดิ์ศรีของพลพรรค “อัซซูรี่” คาเปลโล่ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ

แต่ถ้าผมสามารถจิ้มใครก็ได้มาเป็น “อิล ซีที” คนใหม่ ผมจะตัดสินใจเลือกกุนซือหนุ่มรุ่นใหม่ ที่พร้อมจะเข้ามาวางรากฐานใหม่ให้แข็งแรง มารื้อของเก่าๆ ที่มันไม่ดีทิ้งไป เพื่อให้ทีมชาติอิตาลีกลับมาสู่ยุคเกรียงไกรให้ทันฟุตบอลยูโรในอีกสองปีข้างหน้า (2020)

 

 

บุรุษท่านนี้ถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในถิ่นยูเวนตุส สเตเดี้ยม หลังพาทัพ “เบียงโคเนรี่” คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ได้ถึงสามสมัยติดต่อกัน เช่นเดียวกับโทรฟี่โคปา อิตาเลีย อีก 3 ครั้ง รวมถึงการพาทีมทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้ถึงสองครั้งจากสามปีหลังสุด

“มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี” คือคนที่ผมอยากให้มาเป็น “ขงเบ้งลูกหนัง” คนใหม่ของทีมชาติอิตาลีครับ…

 

“บก.เก้น”

 

บอลไทยบอลนอก ไม่พลาดทุกบิ๊กแมตช์ รวม 7 ลีก 5 ถ้วย มันส์ ชัดระดับ HD พร้อมกีฬาฮิตอีกมากมาย และ ดูสดผ่านเว็บ ได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารได้ที่ TrueID App และ เว็บไซต์ Sport.Trueid.net หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID

 

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิประโยชน์แนะนำ