รีเซต
BEST ASEAN XI : ทีม "พลังแข้งอาเซียน" ยอดเยี่ยม บนเวทีลูกหนังแดนสยาม ... by "MOSQUITO"

BEST ASEAN XI : ทีม "พลังแข้งอาเซียน" ยอดเยี่ยม บนเวทีลูกหนังแดนสยาม ... by "MOSQUITO"

BEST ASEAN XI : ทีม "พลังแข้งอาเซียน" ยอดเยี่ยม บนเวทีลูกหนังแดนสยาม ... by "MOSQUITO"
kentnitipong
25 ธันวาคม 2560 ( 13:16 )
845

ฟุตบอลลีกบนแผ่นไทยถือเป็นความใฝ่ฝัน เเละเเรงบันดาลใจของผู้เล่นทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ในวันนี้ที่ไทยลีกเติบโตขึ้น ความยิ่งใหญ่ในฐานะลีกเบอร์หนึ่งของอาเซียนก็พร้อมดึงดูดผู้เล่นจากทั่วทุกสารทิศล้วนให้เข้ามาหาความท้าทาย รวมถึงผู้เล่นจากบ้านใกล้เรือนเคียง

 

 

ในฤดูกาลนี้ไทยลีกเตรียมมีโควต้าอาเซียน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้เล่นจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาทำอาชีพพ่อค้าเเข้งบนแผ่นสยามมากมาย

เเละนี่คือทีมยอดเยี่ยมของนักเตะจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแผ่นดินสยาม “SEA Players in Thai League BEST XI “

 

 

GK : ฮัสซัน ซันนี่ (สิงคโปร์)

นายด่านทัพ “เมอร์ไลออนส์” ที่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่าของเอสลีก ย้ายจาก วอริเออร์ส เอฟซี สโมสรในลีกบ้านเกิด สู่อาร์มี่ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2015 ก่อนจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการเสียประตูหลายต่อหลายครั้ง จึงเป็นคำตอบได้ถึงโควตาต่างชาติที่เสียไปในตำแหน่งผู้รักษาประตู

ทว่าในฤดูกาล 2016 ผลงานของ ” สุภาพบุรุษวงจักร ” นั้นไม่สู้ดีนัก จนถึงขั้นตกชั้นไปเล่นในไทยลีค 2 เมื่อจบฤดูกาล ทางสโมสรจึงตัดสินใจไมต่อสัญญากับมือกาวดีกรีจ้าวอาเซียนสองสมัยซ้อน (2004, 2007) เพื่อต้องการลดค่าใช้จ่าย ทำให้เขาต้องเก็บข้าวของย้ายกลับบ้านเกิดไปอยู่กับ โฮม ยูไนเต็ด ฝากผลงานจากการลงเฝ้าเสาให้กับทัพบก 54 นัด เเละเก็บคลีนชีทได้ 14 นัด

โดยในฤดูกาลหน้านี้ มือกาวทีมชาติสิงคโปร์เตรียมกลับมาเฝ้าให้กับ อาร์มี่ ยูไนเต็ด เป็นคำรบสอง พร้อมกับ อิซวาน มะห์บุด นายทวารเพื่อนร่วมชาติที่ย้ายมาร่วมทีม หนองบัว พิชญ เอฟซี จึงเป็นไปได้ว่า ในปีหน้าเราอาจได้เห็นการเผชิญหน้ากันของผู้รักษาประตูทีมชาติสิงคโปร์ในลีกพระรองของบ้านเราก็เป็นได้

 

 

CB : วิคเตอร์ อิคโบเนโฟ (อินโดนีเซีย)

ชื่อของ “วิคเตอร์ อิคโบเนโฟ” คงเป็นอีกชื่อหนึ่งที่คุ้นหูแฟนลูกหนังไทย แต่หารู้ไม่ว่าปราการหลังทีมชาติอินโดนีเซียเชื้อสายไนจีเรียรายนี้ นั้นได้มาเดบิวท์บนลีกสูงสุดของเมืองไทยตั้งแต่ปี 2012 แล้ว โดยย้ายมาร่วมทีม เชียงราย ยูไนเต็ด พร้อมกับ เกร็ก เอ็นโวโคโล เพื่อนร่วมชาติในยุคของ “เตโก้ ” สเตฟาโน คูกูร่า ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นของเลคที่ 2 ก่อนจะกลับไปค้าแข้งยังลีกอินโดนีเซียนานถึง 3 ปี

โดยในปี 2015 แนวรับของเดอะ การูดา จะลมหวนกลับมาค้าแข้งยังสยามประเทศอีกครั้ง โดยย้ายเข้ามาร่วมทีม โอสถสภา พร้อมร่วมงานกับ สเตฟาโน คูกูร่า ด้วยสัญญายืมตัวอีกเช่นเคยในเลคที่ 2 ตามด้วยถูกราชนาวีซื้อขาดในฤดูกาล 2016 ก่อนมายืนคู่กับ เฉลิมพงศ์ เกิดแก้ว เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติไทย พร้อมเป็นกำลังสำคัญให้กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี อยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุด เเต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายเพราะในปีหน้า ” วิคเตอร์ ” เตรียมกลับไปรับใช้เปอร์ซิบ บันดุง ทีมในอินโดนีเซีย ซูเปอร์ลีก

 

 

CB : เกดสะดา สุกสะหวัน (สปป. ลาว)

แนวรับจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มาร่วมทัพ “ลูกพญานาค” หนองคาย เอฟซี ทีมในลีกภูมิภาคโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อปี 2011 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ ไทยฮอนด้า ในปี 2013 ซึ่งทีมจากโซนเมืองหลวงนั้นเลือกที่จะใช้บริการนักเตะจากชาติอื่นเเทนในโควต้าเอเชีย ทำให้เขาต้องย้ายกลับไปค้าแข้งกับ เอสเอชบี จำปาศักดิ์ ทีมในลีกบ้านเกิดนานถึง 3 ปี ก่อนที่กองหลังวัยเบญจเพศจากชุดเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010 ของ “ทีมซาดลาว” ที่เสมอกับทีมชาติไทยไป 2-2 จะได้รับข้อเสนอจาก ซูเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ และ “คำก้าน” ตอบรับข้อตกลงเพื่อที่จะมาพิสูจน์ฝีเท้าบนเเผ่นดินสยามอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งเเรกของเจ้าตัวกับลีกสูงสุดของเมืองไทย โดยในฤดูกาลนี้ “ เกดสะดา “ ถือเป็นนักเตะจากสปป.ลาวเพียงคนเดียวบนลีกสูงสุดของเมืองไทย

 

 

CB : ดิโอโก รานเกล (ติมอร์ เลสเต)

ปราการหลังบราซิลเลี่ยนของทีมชาติติมอร์เลสเต เริ่มต้นอาชีพกับ วาสโก ดากาม่า เเละ พัลไมรัส ทีมชั้นนำในลีกบ้านเกิด ก่อนจะย้ายมาหาความท้าท้ายใหม่บนแผ่นดินเอเชียไม่ว่าจะเป็น ติมอร์เลสเต, อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ก่อนจะย้ายมาร่วมทีม โอสถสภา เอ็ม150 เมื่อปี 2015 โดยรับใช้ ” พลังเอ็ม ” ทั้งสิ้น 19 เกม ทำได้ 2 ประตู ก่อนย้ายกลับไปร่วมทีมบรากันติโน่ ทีมในเซเรียซีของประเทศบราซิล ก่อนจะกลับมาเมืองไทยเป็นคำรบสอง กับการบัญชาการแนวรับให้กับ สงขลา ยูไนเต็ด ในลีกพระรอง เมื่อปี 2016 ฝากผลงานจากการลงสนามไป 32 นัดเ เละยิงไป 2 ประตูด้วยการมีส่วนสำคัญในการพาทีม ” วัวชนเเดนใต้ ” จบด้วยอันดับที่ 6 ก่อนจะไปร่วมทีมโบตาโก้ ทีมในลีกล่างเเดนกาแฟ

เซนเตอร์ฮาล์ฟเด็กฝึกของโปรตุกีสซ่า นั้นลงสนามรับใช้ทีมชาติติมอร์ เลสเต ตั้งแต่ปี 2011 ไล่ตั้งเเต่ทีมชาติชุด ยู-21 , ยู-23 เเละทีมชาติชุดใหญ่ โดยผ่านทัวร์นาเมนท์สำคัญอย่าง ซีเกมส์ 2011 ที่ประเทศอินโดนีเซีย และเอเชียนเกมส์ 2014 ที่ เกาหลีใต้ มาแล้ว

 

 

RM : แพทริค ไรเชลท์ (ฟิลิปปินส์)

ดาวเตะทีมชาติฟิลิปปินส์ปรากฎตัวในสารบบลูกหนังไทยเมื่อปี 2013 โดยเข้ามาร่วมทีม สิงห์ท่าเรือ ทีมฟุตบอลเก่าแก่ของไทยที่ต้องตกชั้นมาเล่นดิวิชั่น 1 ในช่วงเลกที่ 2 ปีกลูกครึ่งฟิลิปปินส์-เยอรมัน นั้นเริ่มต้นบนถนนสายฟุตบอลอาชีพ นอร์ดเบอร์ลินเนอร์ เอสซี ทีมในระดับดิวิชั้น 6 ของเมืองเบียร์ ก่อนตระเวนย้ายไปถึง 3 ทีมในลีกสมัครเล่นของประเทศเยอรมนี ภายในเวลา 1 ปีครึ่ง จนในที่สุดก็มาลงหลังปักฐานกับ โกลบอล เซบู ทีมชั้นนำในลีกตากาล็อก

ชีวิตในดินเเดนบ้านเกิดของคุณเเม่ของแพทริค ไรเชลท์ ค่อนข้างไปได้สวย รวมถึงการประเดิมสนามรับใช้ทีมชาติฟิลิปปินส์ ชุดใหญ่ โดยอดีตนักเตะของเอเนอจี คอตบุส เป็นหนึ่งในขุนพล “ดิ อัซกาลส์” ชุดเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012

เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นด้วยการยิงไป 2 ประตู รวมถึงลงมาเป็นตัวสำรอง พร้อมเเอสซิสต์ในนัดเปิดสนาม ซึ่งทีมชาติฟิลิปปินส์ พ่ายต่อ ทีมชาติไทยไป 1-2 จนทำให้เตะตานายหน้าจากบริษัทไทย สปอร์ต เอเยนต์ ซึ่งเป็นนายหน้ารายเดียวกับ เลอันโดร โอลิเวียร่า ดาวยิงสูงสุดของ สิงห์ท่าเรือ ในเวลานี้ ก่อนจะจรดปากกาเป็นนักเตะของสิงห์เจ้าท่าในช่วงต้นปี 2013

ทว่าชีวิตของเขาในถิ่นคลองเตยนั้นเพียงเเค่ขวบปีเดียว ก่อนจะกลับไปค้าเเข้งยังลีกฟิลิปปินส์เป็นคำรบสอง กับ เซเรส เนกรอส จนถึงทุกวันนี้

 

 

CM : ลําเนา สิงโต (สปป. ลาว)

คงขาดไม่ได้สำหรับตำนานนักเตะจากบ้านใกล้เรือนเคียงเเละคงไม่กล่าวเกินไปหากจะบอกว่า “ลำเนา สิงโต” คือนักเตะจากสปป.ลาว ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเวทีลีกสูงสุดของเมืองไทย ลำเนาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับโยธา เอฟซี ทีมในบ้านเกิด เมื่ออายุได้ 18 ปี ก่อนจะย้ายมาค้าเเข้งกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทีมฟุตบอลระดับดิวิชั่น 2 ของบ้านเราในปีถัดมา ด้วยผลงานของทีม ” นาคามรกต ” นั้นไม่สู้ดีนัก จึงทำให้ตกชั้นไปในสุด

ทว่าซีเกมส์ 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมา ถึงเเม้ว่าทีมชาติสปป. ลาวจะต้องตกรอบเเรก แต่ลำเนาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น จนทำให้ ราชประชา เอฟซี ทีมร่วมลีกดิวิชั่น 2 ดึงตัวเขาไปร่วมทีม โดยดาวเตะร่างป้อมถือเป็นหนึ่งในคีย์เเมนสำคัญของทีมในการรอดตกชั้น จนชื่อของเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติสปป. ลาว ชุดสู้ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2008 ทำให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในขณะนั้น ตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้าตัวมาร่วมทีม

“บักเนา” ตอบเเทนความไว้วางใจกับต้นสังกัดทันที ด้วยการเป็นกำลังสำคัญของทัพ “มนุษย์ไฟฟ้า” โดยเขายิงคนเดียว 3 ประตูในเกมเอเอฟซี คัพ ที่พบกับ คลับวาเลนเซีย ทีมแชมป์ลีกจาก มัลดีฟส์ น่าเสียดายที่นักเตะอาชีพคนเเรกของ สปป.ลาว ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีลีกอาชีพ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าข้ามโขงกลับบ้านเกิดในปีถัดมา ก่อนจะแขวนสตั๊ดหลังจากค้าเเข้งกับโยธา เอฟซี ได้เพียงปีเดียว โดยปัจจุบันลำเนาประกอบธุรกิจส่วนตัว ที่บ้านเกิดในจังหวัดหลวงพระบาง

 

 

CM : ไมค์ ออตต์ (ฟิลิปปินส์)

มิดฟิลด์ตัวรุกของอ่างทอง เอฟซี ในไทยลีก 2 เริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกหัดในอะคาเดมีฟุตบอลของ ทีเอสวี 1860 มิวนิค ก่อนจะย้ายไปเทิร์นโปรกับ เอฟซี เนิร์นแบร์ก ทีมร่วมลีกที่เพิ่งตกชั้นมาจากบุนเดสลีกา เมื่ออายุได้ 18 ปี ทว่าตลอดระยะเวลาสองครึ่ง ดาวเตะลูกครึ่ง ฟิลิปปินส์-เยอรมัน นั้นไม่เคยถูกส่งลงสนามในนามของทีมชุดใหญ่ เอฟซี เนิร์นแบร์ก เลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามีรูปร่างเล็กเกินไป จึงทำให้เขาได้ลงเล่นในทีมสำรองเท่านั้น

โดยเจ้าของส่วนสูงเพียง 167 เซนติเมตร ลงเล่นให้กับทีมสำรองของเอฟซี เนิร์นแบร์ก ไปทั้งสิ้น 52 นัด 8 ประตู 10 แอสซิสต์ ก่อนที่จะได้รับคำทาบทามจาก ไรเนอร์ เมาเรอร์ กุนซือชาวเยอรมันของอ่างทอง เอฟซีซึ่งเคยเป็นเฮดโค้ชของเจ้าตัวในทีมเยาวชน ทีเอสวี 1860 มิวนิค

และในขณะนั้นเอง ไมค์ ได้ตัดสินใจรับใช้บ้านเกิดของคุณเเม่ คือ การลงเล่นให้กับทีมชาติฟิลิปปินส์ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว จึงตัดสินใจเข้ามาค้าเเข้งในบนแผ่นดินสยาม ก่อนจะเป็นคีย์เเมนสำคัญในการพา “นักรบรวงทอง” จบด้วยอันดับที่ 4 บนเวทีลีกพระรอง โดยกดไปทั้งสิ้น 7 ประตู จากการลงสนาม 21 นัด

สำหรับ เอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาลหน้าเราอาจไม่ได้เห็นดาวเตะ “ดิ อัซกาลส์” โลดเเล่นบนผืนหญ้าในสนามกีฬาจังหวัดอ่างทองอีกต่อไป หลังได้รับข้อเสนอจากทีมในเยอรมัน และฟิลิปปินส์

 

 

LM : สุขพร วงเชียงคำ (สปป.ลาว)

ดาวเตะร่างเล็กเจ้าของฉายา “เมสซี่เมืองลาว” ข้ามฝั่งมาเล่นฟุตบอลบนแผ่นดินสยามตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยสุขพรเริ่มต้นกับทีมเยาวชนของบีอีซี เทโร ก่อนสร้างชือในรายการโค้กคัพร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ , กิลเบิร์ต คูมสัน และศนุกรานต์ ถิ่นจอม และติดทีมชาติสปป.ลาว ชุดใหญ่ตั้งเเต่อายุ 18 ก่อนไปเทิร์นโปรกับ กระบี่ เอฟซี ทีมในลีกรองเมื่อปี 2012 ตามด้วย พิษณุโลก เอฟซี เเละสระบุรี เอฟซี จากนั้นได้ย้ายกลับไปค้าแข้งในลีกบ้านเกิดในปี 2015 กับ ล้านช้าง ยูไนเต็ด และเอสะรา เอฟซี

เป็นที่น่าเสียดายที่ดาวเตะมากพรสววรค์ของวงการฟุตบอลลาวรายนี้ ยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยวัยเพียง 24 ปี เพื่อไปเอาดีทางด้านงานโค้ชทีมเยาวชนของเอสะรา เอฟซี ฝากผลงานสุดท้ายด้วยการพาทีมล้านช้าง ยูไนเต็ด จบด้วยตำแหน่งรองเเชมป์โตโยต้า แม่โขง คลับแชมป์เปี้ยนชิพ 2016–2017 ซึ่งเจ้าตัวก็กดไป 3 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์เป็นการส่งท้ายอาชีพการค้าแข้ง

 

 

ST : เกร็ก เอ็นโวโคโล (อินโดนีเซีย)

หัวหอกเชื้อสายไนจีเรียข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดมาโชว์เพลงเเข้งในภูมิภาคอาเซียนตั้งเเต่อายุ 18 โดยเริ่มต้นกับแทมปิเนส โรเวอร์ส ในเอสลีก ก่อนพเนจรไปอยู่กับหลายทีมทั้งในสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย รวมถึงเคยเล่นให้กับ โอลฮาเนนเซ ในลีกล่างของโปรตุเกส

เกร็ก ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งด้วยการเข้ามาสัมผัสฟุตบอลไทยเมื่อปี 2012 เเล้ว โดยย้ายเข้ามาร่วมทัพ เชียงราย ยูไนเต็ด พร้อมกับ วิคเตอร์ อิกโบเนโฟ กองหลังเพื่อนร่วมชาติด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นๆ ของช่วงเลกที่สอง พร้อมกับฝากผลงานไว้ที่ 7 ประตูจากการลงสนาม 12 นัดให้กับทีมจากเหนือสุดแดนสยาม ก่อนจะกลับไปค้าเเข้งกับ อารีมา โครนัส ในลีกอินโดนีเซียดังเดิม ตามด้วย เปอร์เซบายา สุราบายา และเปอร์ซิบา จาการ์ต้า ตามลำดับ

สุดท้ายลมไปพัดหวลให้แข้งรายนี้กลับมาค้าแข้งในลีกสูงสุดของเมืองไทยอีกครั้ง ในปี 2015 โดยในครั้งนี้เป็น บีอีซี เทโรศาสน ที่ได้ลายเซ็นกองหน้าของ เดอะ การูดา และดาวยิงอิเหนายังคงไว้ลายมือปืนของทัพมังกรไฟ หลังกระทุ้งไปถึง 11 ประตู จาก 19 นัดในสองฤดูกาล และย้ายกลับไปค้าแข้งในลีกอินโดนีเซีย กับ มาดูร่า ยูไนเต็ด ในปี 2017

 

 

ST : ฆาเบียร์ ปาตินโญ่ (ฟิลิปปินส์)

สไตรเกอร์ลูกครึ่งฟิลิปปินส์-สเปน บินตรงจากคอร์โดบา ใน เซกุนด้า ดิวิชั่น ลีกรองแดนกระทิงดุ เพื่อมาร่วมทัพ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งเวทีไทยลีก ก่อนที่ “ปาติโกล” จะสถาปนาตนเองเป็นดาวยิงนำของลีกฟุตบอลบนแผ่นสยาม ด้วยการซัดไปคนเดียว 41 ประตูจากการลงสนาม 67 นัด พร้อมพาทีมดังจากอีสานใต้ ประกาศศักดาด้วยการเป็นทีมแรก และทีมเดียวที่ทำได้ถึง 4 แชมป์ในหนึ่งฤดูกาลเมื่อปี 2013 ไล่ตั้งเเต่ ถ้วยพระราชทาน ก., แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก, แชมป์ เอฟเอ คัพ และแชมป์ ลีก คัพ รวมถึงการพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทะลุถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ คาร์เมโล่ กอนซาเลซ และ ออสมาร์ อิบันเญซ สองเพื่อนร่วมทีมชาวสเเปนิช ซึ่งทั้งสามคนถือเป็นคีย์เเมนสำคัญในความยิ่งใหญ่ทัพปราสาทสายฟ้า

ปาตินโญ่ ฝากผลงานส่งท้ายด้วยตำแหน่งรองดาวซัลโว และแชมป์ไทยลีค 2014 ก่อนจะย้ายไปโกยเงินหยวนกับ เหอหนาน เจียนยี่ ในไชนิส ซูเปอร์ลีก ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 40 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติการซื้อขายผู้เล่นที่แพงที่สุดของไทยลีกในขณะนั้น

 

ST : เซร์คิโอ ฟาน ไดจ์ค (อินโดนีเซีย)

คงไม่เกินไปหากจะกล่าวว่า ดาวยิงลูกครึ่งดัตช์-อินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของสุพรรณบุรี เอฟซี โดยอดีตเพื่อนร่วมทีมของ อาร์เยน ร็อบเบน เมื่อครั้งยังเล่นให้กับโกรนิงเก้น ในลีกฮอลแลนด์ ย้ายออกไปหาประสบการณ์นอกบ้านเกิดไม่ว่าจะเป็น บริสเบน โรอาร์ และอาดิเลด ยูไนเต็ด ในเอลีก ออสเตรเลีย ตามด้วย เปอร์ซิบ บันดุง ในอินโดนีเซีย บ้านเกิดของคุณเเม่ เเละเซปาฮาน ทีมยักษ์ใหญ่ของอิหร่าน ก่อนย้ายมาร่วมทัพ “ช้างศึกยุทธหัตถี” ในช่วงเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2014

ฟาน ไดจ์ค คือคีย์เเมนคนสำคัญในการพาต้นสังกัดจบด้วยอันดับ 3 ของลีก ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของ สุพรรณบุรี เอฟซี นับตั้งเเต่ก่อตั้งสโมสร ก่อนที่หัวหอกทีมชาติอินโดนีเซียจะย้ายกลับไปอยู่กับ อาดิเลด ยูไนเต็ด และเปอร์ซิบ บันดุง ในปี 2016 ฝากผลงานด้วยการกดไปถึง 27 ประตู จาก 40 นัด ในสีเสื้อของช้างศึกยุทธหัตถี

 

“MOSQUITO”

 

ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้