รีเซต
TRUE FOCUS : บทสรุป "ทีมชาติไทย" ในปี 2560 ... by "MOSQUITO"

TRUE FOCUS : บทสรุป "ทีมชาติไทย" ในปี 2560 ... by "MOSQUITO"

TRUE FOCUS : บทสรุป "ทีมชาติไทย" ในปี 2560 ... by "MOSQUITO"
kentnitipong
5 มกราคม 2561 ( 15:10 )
1.6K

TRUE FOCUS : ทันทีที่บทความฉบับนี้ถูกตีพิมพ์มาถึงมือผู้อ่านทุกท่าน วันเวลาคงหมุนผ่านไปถึงหน้าแรกของปฏิทินปี 2018 เฉกเช่นเดียวกันกับปฏิทินของโลกฟุตบอล

 

 

ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ทัพช้างศึกของเราล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ คือ การเผชิญหน้ากับทีมชั้นนำของทวีปเอเชียในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รวมไปถึงการเปลี่ยนแม่ทัพจาก ” ซิโก้ ” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เคยพาทีมชาติไทยเป็นจ้าวอาเซียนมาแล้วถึงสองครั้งสองครา เป็น มิโลวาน ราเยวัช กุนซือมากประสบการณ์ชาวเซอร์เบีย มาดูกันว่า ในปี 2017 ที่ผ่านมานี้ เกิดอะไรขึ้นบ้างกับทีมฟุตบอลแห่งสยามประเทศ

และนี่คือ “บทสรุปของทีมชาติไทย ประจำปี 2560 : All ABOUT CHANGSUEK IN 2017”

 

***********

 

“NEW ERA”

ขอบคุณภาพ : ฟุตบอลทีมชาติไทย

 

เริ่มกันด้วยเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ต้องบอกว่าชุดแข่งขันของทีมชาติไทยในปีนี้นั้นออกมาแปลกตาอยู่พอสมควร ไล่ตั้งแต่แบรนด์ผู้สนับสนุน หลังจากที่เเกรนด์สปอร์ต แบรนด์กีฬาเก่าแก่ของเมืองไทย ที่ดูเเลชุดเเข่ง-ของทีมชาติไทยมาตั้งเเต่ ปี 2012 ก็ถึงตาเปลี่ยนมือมาเป็น วอร์ริกซ์ (บริษัท วอร์ริกซ์ สปอร์ต จำกัด) แบรนด์กีฬาน้องใหม่ไฟเเรง ซึ่งปัจจุบันให้การสนับสนุน สโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี เอฟซี ในไทยลีก 1

โดยในปีนี้ได้ทำการปรับสีเสื้อชุดเหย้า-เยือน ของทัพช้างศึกจาก น้ำเงิน-เเดง ที่เราคุ้นเคย มาเป็น ดำ-ขาว เพื่อถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ นักรบคนที่ 12 ” คือ ไชยานุภาพ (ชุดเหย้าสีดำ) และ ปราบไตรจักร (ชุดเยือนสีขาว) สำหรับ ” วอร์ริกซ์ ” ซึ่งได้รับสิทธิเป็นผู้ผลิตสินค้าของทีมชาติไทย ไล่ตั้งแต่ ชุดแข่ง , ชุดซ้อม , ชุดลําลอง , ชุดเดินทาง , ถุงเท้า , รองเท้า ให้กับนักเตะทีมชาติไทยทุกชุด รวมไปถึง เสื้อเชียร์ และเสื้อที่ระลึกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นระยะเวลา 4 ปี (2560-2563) รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท

 

***********

 

“FIFA RANGKING”

 

 

ถัดมาที่เรื่อง FIFA World Ranking หรือ อันดับโลกของทีมชาติไทยนั้น ตกลงมาจากอันดับที่ 126 ในเดือนมกราคม เเล้วรูดลงมาถึงอันดับที่ 138 ในเดือนตุลาคม ก่อนจะขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 130 ซึ่งเป็นอันดับโลกล่าสุดของทัพช้างศึกก่อนสิ้นปี 2017 โดยเป็นอันดับที่ 25 ของทวีปเอเชีย และอันดับ 3 ของอาเซียน เป็นรองทีมชาติเวียดนามและทีมชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 112 และ 124 ตามลำดับ

 

***********

 

“THANK YOU COACH Z13O”

 

 

เส้นทางของทัพช้างศึกนั้นถูกยุติไว้ หลังเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก นัดที่ 7 ซึ่งทีมชาติไทยบุกไปพ่ายทีมชาติญี่ปุ่น 0-4 ที่ไซตามะ สเตเดียม เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้หมดลุ้นเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จะไขก๊อกออกจากการเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยในอีกสามวันถัดมา

ตำนานดาวยิงทีมชาติไทยตัดสินใจลาออกจากการคุมทัพช้างศึก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หลังเก็บได้เพียงแต้มเดียว จาก 7 นัดในเวิลด์ คัพ 2018 รอบคัดเลือก

 

***********

 

“WELCOME  มิโลวาน ราเยวัช”

 

 

หลังจาก “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ลงจากตำแหน่ง ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จึงเฟ้นหากุนซือทีมฟุตบอลทีมชาติไทยคนใหม่เพื่อเข้ามารับช่วงต่อ โดยมีกุนซือทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างตบเท้าเข้ามาเป็นแคนดิเดท ไม่ว่าจะเป็น วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย , เรเน มูเลนสตีน อดีตมือขวาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อครั้งยังกุมบังเหียนปีศาจแดง ,โชคทวี พรหมรัตน์  อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยดีกรีแชมป์ซีเกมส์ 2015 ก่อนจะมาลงเอยที่ “มิโลวาน ราเยวัช”

กุนซือขรัวเฒ่ามากประสบการณ์รายนี้ เคยพาทีมชาติกาน่าเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2010 และรอบชิงชนะเลิศ  แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่น 2010 มาแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ “โค้ชมิโล” ถูกรับเลือกให้มารับตำแหน่งที่ว่ากันว่ากดดันที่สุดในวงการกีฬาไทย

มิโลวาน ราเยวัช เข้ามากุมบังเหียนช้างศึกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2017 พร้อมกับ  เนบอยซา สตาเมนโควิช (ฟิตเนสโค้ช) ,ซาซ่า โทดิช (โค้ชผู้รักษาประตู) และโซรัน ยานโควิช (ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน) โดย ราเยวัช ถือเป็นกุนซือชาวเซอร์เบียคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลทีมชาติไทยอีกด้วย

สำหรับผลงานของ ราเยวัช ในปีนี้คือ ชนะ 4 นัด , เสมอ 1 นัด , แพ้  3 นัด คิดเป็น 50 % และพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 มาครองได้สำเร็จ

 

***********

 

“2017 TEAM  RESULTS”

 

 

ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยได้ลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการทั้งหมด 10 นัด แบ่งออกเป็น ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 5 นัด ,ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ 2 นัด และ ฟุตบอลนัดกระชับมิตร 3 นัด

ตลอดทั้งปี : ชนะ 4 นัด , เสมอ 1 นัด , แพ้  5 นัด คิดเป็น 40 % (ได้ 10 ประตู , เสีย 14 ประตู)
นัดเหย้า : ชนะ 3 นัด , เสมอ 1 นัด , แพ้  2 นัด คิดเป็น 50 % (ได้ 6 ประตู , เสีย 6 ประตู)
นัดเยือน : ชนะ 1 นัด , แพ้  3 นัด คิดเป็น 25 %  (ได้ 4 ประตู , เสีย 8 ประตู)
ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก : เสมอ 1 นัด , แพ้  4 นัด คิดเป็น 0 %  (ได้ 3 ประตู , เสีย 11 ประตู)
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45 :  ชนะ 2 นัด คิดเป็น 100 %  (ได้ 3 ประตู , เสีย 0 ประตู)
ฟุตบอลชิงนัดกระชับมิตร : ชนะ 2 นัด , แพ้ 1 นัด คิดเป็น 66.66 %  (ได้ 4 ประตู , เสีย 3 ประตู)

 

***********

 

“All ABOUT PLAYERS”

 

 

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีนักเตะถึง 39 คนที่ได้สวมยูนิฟอร์ม ลงสนามในนามทีมชาติไทย สำหรับบางคนในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกกับการติดธงไตรรงค์รับใช้ชาติ บางคนในปีนี้ถือเป็นปีสุดท้ายที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดในชีวิตนักฟุตบอล และนี่คือสถิติของ 39 ขุนพลช้างศึกทีมชาติไทย

 

***********

 

TOP SCORES : มงคล ทศไกร

 

 

มงคล ทศไกร เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มักตกเป็นจำเลยของแฟนลูกหนังบ้านเราอยู่เสมอในช่วงต้นปี (ปลายยุคโค้ชซิโก้)  ก่อนจะกลับมาเกิดใหม่ในยุคของ มิโลวาน ราเยวัช

“จ่าเย็น” ไม่ใช่นักเตะที่มีลีลาการเล่นหวือหวา ไม่ใช่กองหน้าธรรมชาติ แต่ทุกประตูของเขาในปีนี้ล้วนแต่เป็นประตูสำคัญของทีมชาติไทยทั้งสิ้น โดยกดไปทั้งสิ้น 3 ประตู ขึ้นแท่นดาวซัลโว ประจำปี 2017 ตามด้วย ธีรศิลป์ แดงดา และธิติพันธ์ พ่วงจันทร์ คนละ 2 ประตู

 

***********

 

TOP ASSISTS : พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา

 

 

พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา คือนักเตะที่จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้มากที่สุดในรอบปีนี้ โดยดาวเตะวัย 24 ลงสนามให้ทัพช้างศึกมากถึง 8 เกม ประกอบกับการที่มิโลวาน ราเยวัช ดัน ธีราธร บุญมาทัน แบ็คซ้ายรุ่นพี่ขึ้นไปเป็นปีก ทำให้โอกาสในการเก็บชั่วโมงบินของเขาเพิ่มขึ้น

ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องทั้งเกมรุก และเกมรับ ก่อนจัดการแอสซิสต์ไป 2 ครั้งในเกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รองลงมาคือ ธีราธร บุญมาทัน , อดิศักดิ์ ไกรสร และสรรวัชญ์ เดชมิตร คนละ 1 แอสซิสต์

 

***********

 

MOST CAPS : อดิศร พรหมรักษ์

 

 

อดิศร พรหมรักษ์ คือนักเตะที่ได้ลงสนามมากที่สุดทั้งในยุคของโค้ชซิโก้ และมิโลวาน ราเยวัช  คิดเป็น 761 นาที จาก 9 นัด โดย “เก่ง” พลาดการลงสนามไปเพียงนัดเดียวตลอดปี 2017 ลองลงมาเป็น พรรษา เหมวิบูลย์  ซึ่งอยู่ที่ 720 นาที จาก 8 นัด

“โย่ง” คือนักเตะเพียงคนเดียวที่ได้ลงเล่นครบทุกนาทีในนามทีมชาติไทย ภายใต้การนำทัพของ มิโลวาน ราเยวัช ตลอดปี 2560 และพีระพัฒน์ โน้ตชัยยา 650 นาที จาก 8 นัด

 

***********

 

อายุมากที่สุด : สินทวีชัย หทัยรัตนกุล

 

 

 

สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ลงเฝ้าเสาในเกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก นัดสุดท้ายที่ทีมชาติชาติไทยออกไปเยือนทีมชาติออสเตรเลีย ด้วยวัย 35 ปี 5 เดือน 13 วัน ทำให้

“ซูเปอร์ตี๋” กลายเป็นขุนพลช้างศึกที่มีอายุมากที่สุด น่าเสียดายที่สถิตินี้ไม่ดำเนินต่อไป เนื่องจากนายด่านจอมเก๋าตัดสินใจอำลาทีมชาติหลังจบเกมในวันนั้นทันที ส่วนอันดับที่สองไม่ใช่อื่นไกล ดัสกร ทองเหลา ที่ลงสนามครบ 100 นัดในนามทีมชาติ ด้วยวัย 33 ปี 9 เดือน 9 วัน ในเกมนัดกระชับมิตรกับทีมชาติเคนย่า และธีรเทพ วิโนทัย 32 ปี  5 เดือน จากเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45 กับทีมชาติเบลารุส

 

***********

 

อายุน้อยที่สุด : สุภโชค สารชาติ

 

 

วันเดอร์คิดจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถูกมิโลวาน ราเยวัช เรียกเข้ามาติดทีมชาติในเกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ในนัดที่ 5 ซึ่งทีมชาติไทย เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือน ของทีมชาติอิรัก และถูกส่งลงสนามไปแทน ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ด้วยวัยเพียง 19 ปี 3 เดือน 9 วัน ซึ่งน้อยกว่า เควิน ดีรมรัมย์ ที่ได้ประเดิมสนามนัดแรกในนัดกระชับมิตรกับทีมชาติอุซเบกิสถาน เพียงไม่กี่เดือนโดยแบ็คซ้ายลูกครึ่งไทย-สวีเดนสวมยูนิฟอร์มบ้านเกิดของคุณแม่ เมื่อมีอายุได้ 19 ปี 6 เดือน 25 วัน ส่วนอันดับที่สาม ตกเป็นของ ชัยวัฒน์ บุราณ ปีกซ้ายจากทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีสุดท้ายของเกมการแข่งขันด้วยวัย  20 ปี 7 เดือน 10 วัน

 

***********

 

FIRST CAP

 

 

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีขุนพลช้างศึกถึง 14 รายที่ได้สัมผัสเกมลูกหนังในระดับทีมชาติ ไล่ตั้งแต่ พรรษา เหมวิบูลย์, เฉลิมพงศ์ เกิดแก้ว, มานูเอล ทอม เบียรห์, สุพรรณ ทองสงค์, เควิน ดีรมรัมย์ , สุริยา สิงห์มุ้ย, ฟิลิปป์ โรลเลอร์, วัฒนา พลายนุ่ม, บดินทร์ ผาลา, ชุติพนธ์ ทองแท้, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, สุภโชค สารชาติ, ชัยวัฒน์ บุราณ และสุพจน์ จดจำ

 

***********

 

“THE ATTENDANCE”

 

 

ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

23 มีนาคม 2017       :  พบกับ  ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย                    ยอดผู้ชม : 41,613
6 มิถุนายน 2017       :  พบกับ  ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์         ยอดผู้ชม : 24,417
31 สิงหาคม 2017     :  พบกับ  ทีมชาติอิรัก                                       ยอดผู้ชม : 22,604

 

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45
14 กรกฎาคม 2017   :  พบกับ  ทีมชาติเกาหลีเหนือ                        ยอดผู้ชม : 11,192
16 กรกฎาคม 2017   :  พบกับ  ทีมชาติเบลารุส                               ยอดผู้ชม : 22,483

 

ฟุตบอลนัดกระชับมิตร
8 ตุลาคม 2017          :  พบกับ ทีมชาติเคนยา                                     ยอดผู้ชม : 8,129

 

***********

 

“ตำนานบอลไทย”

 

 

 

หลังเกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก นัดสุดท้าย ที่ทีมชาติชาติไทยออกไปพ่ายทีมชาติออสเตรเลีย 1-2 เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูที่ลงเฝ้าเสาให้ทัพช้างศึกในเกมวันนั้น ตัดสินใจอำลาทีมชาติด้วยวัย 35 ปี 5 เดือน 13 วัน หลังสวมยูนิฟอร์มช้างศึกมานานถึง 14 ปี

“ 14 ปีในนามทีมชาติไทย ถ้าจะมีอะไรให้จดจำได้บ้าง ผมขอให้ทุกคนจดจำผมในฐานะนักสู้คนหนึ่ง ที่สู้จนวินาทีสุดท้าย” นายด่านจอมเก๋ากล่าวในวันสุดท้ายกับเกียรติประวัติสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอล

สำหรับสินทวีชัย เฝ้าเสาให้กับทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม  2003 ในแมตช์กระชับมิตรกับ เรอัล มาดริด หลักจากถูกดันขึ้นมาจากทีมชาติ ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ซึ่ง “ซูเปอร์ตี๋” เป็นหนึ่งในขุนพลช้างศึกชุดฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ที่ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อปี 1999 ร่วมกับ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว และธีรเทพ วิโนทัย

ก่อนที่มือกาวจากจังหวัดสกลนคร จะกลายเป็นเทพพิทักษ์หน้าปากประตูทีมชาติไทย โดยฝากผลงานจากการลงสนามไป 78 นัด ด้วยคลีนชีตถึง 24 นัด พร้อมคว้าแชมป์คิงส์ คัพ 3 สมัย (2007, 2016, 2017) , แชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 1 สมัย (2016) และซีเกมส์ 2 สมัย (2003, 2005)

 

 

เด็กชายหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ยอมจากบ้านเกิดที่จังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่อายุ 12 เพื่อเดินทางร่วม 500 กม. เข้ามาตามหาความฝันในเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร โดยฝันนั้นคือ ” อยากเป็นนักฟุตบอล”

จากเด็กวัดมีเสื่อผืนหมอนใบ สู่ “เด็กระเบิด” ดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย, ติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 , กัปตันทีมชาติไทยในยุคที่ตกต่ำ, ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชี่ยล จากวันนั้นจนวันนี้ กาลเวลาผ่านไป 16 ปี 

ดัสกร ทองเหลา ถูกเรียกตัวเข้ามาติดทีมชาติ ในรอบ 3 ปีครึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้กองกลางหมายเลข 7 ลงสนามรับใช้ช้างศึกครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2014 ในเกมเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก ที่ทีมชาติไทยเปิดบ้านพ่ายให้กับทีมชาติเลบานอน 2-5  ก่อนที่สถิติการลงสนามรับใช้ชาติของจะหยุดที่ 99 นัดในเกมดังกล่าว

ในเกมนัดกระชับมิตรกับทีมชาติเคนย่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา “ตำนานเบอร์ 7” สวมปลอกแขนกัปตันทีมนำนักเตะรุ่นน้องลงสนามอีกครั้งในวัย 33 ปี 9 เดือน 9 วัน ทำให้ “ เด็กระเบิด ” กลายเป็นนักเตะคนที่สี่ที่ลงสนามในนามทีมชาติไทยครบ 100 นัดถัดจาก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และธชตวัน ศรีปาน

 

***********

 

“NEW ADVENTURE”

ในขวบปีที่ผ่านมา มีนักเตะไทยถึง 3 คน ที่ได้โอกาสไปค้าแข้งยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีลีกฟุตบอลระดับชั้นนำของทวีปเอเชีย ได้แก่ สิทธิโชค ภาโส , ชนาธิป สรงกระสินธ์ เเละจักรกฤษณ์ เวชภิรมย์

มาดูกันว่าผลงานของพวกเขาจะเป็นอย่างเมื่อต้องไปประกอบอาชีพพ่อค้าแข้งยังต่างแดน…

 

ขอบคุณภาพ : J LEAGUE

 

 

สิทธิโชค ภาโส คือนักเตะไทยคนแรกที่ได้สัมผัสฟุตบอลลีกของประเทศญี่ปุ่นในรอบปีนี้ โดยวันเดอร์คิดวัย 18 ปีจากอะคาเดมีของ ชลบุรี เอฟซี ย้ายมาร่วมทีม คาโงชิมะ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล ก่อนจะเปิดสนามเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมาซึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 86 ในเกมเจลีก 3 ที่ คาโงชิมะ ยูไนเต็ด ออกไปเยือน คาเทลเลอร์ โทยาม่า

ทว่าชีวิตที่ต้องจากบ้านมาไกลของเด็กหนุ่มจากจังหวัดสมุทรปราการ ค่อนข้างยากลำบากนักทั้งเรื่องโฮมซิก และอุปสรรคในเรื่องภาษา รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นชิน แต่สุดท้าย “เจ้าย้า” ก็ยังมีชื่อในเกมลีก 10 นัด และได้ลงสนามไปทั้งสิน 5 เกมด้วยกัน คิดเป็น 100 นาที โดยเป็นการเปลี่ยนตัวลงไปทั้งสิ้น  และได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงเพียงเกมเดียวในเกมฟุตบอลถ้วย

 

ขอบคุณภาพ : J.League(เจลีก-ลีกฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศญี่ปุ่น)

 

ดาวเตะร่างเล็กย้ายจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปร่วมทีม คอนซาโดเล ซัปโปโร ในช่วงเลกที่สองของไทยลีกด้วยสัญญายืมตัว “เมสซี่เมืองไทย” ประเดิมสวมยูนิฟอร์มสีแดงดำในเกมฟุตบอลถ้วยที่พบกับ เซเรโซ โอซาก้า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ก่อนกลายเป็นนักเตะไทยคนแรกบนลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น

“ชนาคุง” ลงสนามให้ทัพ “คอนซะ” ในเจลีก 1 ฤดูกาล 2017 ไปทั้งสิ้น 16 นัด และออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 15 นัด คิดเป็น 1,301 นาที ทำได้ 1 แอสซิสต์ พร้อมพา คอนซาโดเล ซัปโปโร จบอันดับที่ 11 ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของทีมจากเกาะฮอกไกโดบนลีกสูงสุดของแดนอาทิตย์อุทัย

 

ขอบคุณภาพ : J LEAGUE

 

แบ็คขวากึ่งปีกของทีมชาติไทยชุด U-23 เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ออกไปหาความท้าทายนอกแผ่นดินเกิด จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์  ย้ายมาอยู่กับเอฟซี โตเกียว อีกหนึ่งทีมในลีกสูงสุดด้วยสัญญายืมตัวในช่วงกลางปี 2017 ทว่ายังไม่มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสร ทำให้เข้าถูกส่งไปเล่นกับทีมชุดอายุไม่เกิน 23 ปีซึ่งอยู่ในเจลีก 3 ก่อนจะถูกส่งลงไปประเดิมสนามในนาทีที่ 62 ของเกมที่ออกไปเยือนอาซูล คลาโร นุมาซุ

“เจ้าไอซ์” ยิ่งเล่นยิ่งดีก่อนจะรับสัมปทานในตำแหน่งแบ็คขวา ด้วยความเร็วที่พร้อมปั่นป่วนแนวรับคู่แข่ง รวมไปถึงลูกเปิด และการตามชนิดกัดไปปล่อยยามที่เล่นเกมรับ ทำให้ดาวเตะวัย 20 ปี ลงสนามเป็นตัวจริงมากถึง 8 นัด จาก 11 นัด เบ็ดเสร็จแล้วคิดเป็น 695 นาที และเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ทำประตูได้ในเจลีก 3

 

***********

 

“INTRO TO 2018”

 

 

เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในปีหน้า ชุดแข่งของทีมชาติไทยจะกลับมาเป็นสีน้ำเงิน-เเดง(เหย้า-เยือน) ตามเดิม รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโลโก้ของทีมชาติไทย ที่ได้รับการออกแบบจาก นายต่อพงศ์ บูรณพิเชษฐ์ ผู้ชนะในการประกวดการออกแบบโลโก้ใหม่ของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย รวมไปถึงทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ให้ อินเตอร์แบรนด์ (Interbrand) บริษัทที่ปรึกษาเรื่องการสร้างแบรนด์ระดับโลก พัฒนาจนต่อเสร็จสมบูรณ์

โลโก้ช้างศึกใหม่นี้ได้รับการเปิดตัว อย่างเป็นทางการ ภายในงาน FA Thailand Award เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา และจะประเดิมใช้ ในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศจีน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่จะถึงนี้…

 

“MOSQUITO”

 

 

ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้