รีเซต
TRUE OPINIONS : ฤา “ศรัทธาฟ้า-น้ำเงิน” ของฉลามชลคนกันเอง กำลังจะหายไป ... by "จอน"

TRUE OPINIONS : ฤา “ศรัทธาฟ้า-น้ำเงิน” ของฉลามชลคนกันเอง กำลังจะหายไป ... by "จอน"

TRUE OPINIONS : ฤา “ศรัทธาฟ้า-น้ำเงิน” ของฉลามชลคนกันเอง กำลังจะหายไป ... by "จอน"
kentnitipong
28 กุมภาพันธ์ 2561 ( 14:46 )
2K

จอน : ปี 2017 ปีแห่งการครบรอบทศวรรษ ของการเถลิงบัลลังก์แชมป์ไทยลีกครั้งแรก และครั้งเดียวของ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี พวกเขามีสโลแกน “THE NEXT” (เดอะ เน็กซ์) ที่หมายถึงการก้าวต่อไปของพวกเขาเหล่าบลูชาร์ค

 

 

แต่แล้วการเปิดตัว 4 เกมแรก ที่เก็บได้เพียง 2 แต้ม ทำให้พวกเขารู้ว่า การลืมความสำเร็จที่เคยมีไว้เบื้องหลัง และล่าโทรฟี่ในก้าวต่อไปนั้น ยากเย็นแค่ไหน

แม้สุดท้ายจะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ไม่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้นอย่างที่แฟนบอลหวาดกลัวในช่วงแรก แต่นั่นก็คือการจบอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี ที่พวกเขาอยู่ไทยลีกเลยทีเดียว (ปี 2006 ชลบุรี เอฟซี ที่เข้าแข่งไทยลีกครั้งแรก จบอันดับที่ 8 ก่อนจะเป็นแชมป์ไทยลีกได้ในปีต่อมา)

ล่วงเลยมาจนถึงปี 2018 เหล่าแฟนบอลแห่งยอดทีมชายทะเลภาคตะวันออก ต่างก็ยังคิดว่า ทีมของตัวเองมีดีพอ ที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และทำอันดับได้ดีกว่าปีที่แล้ว

อาจจะสู้ยิบตา หวังได้ถึงการหยิบแชมป์บอลถ้วยสักใบเลยด้วยซ้ำ

 

 

พวกเขาเริ่มต้น ปี 2018 ปรับแต่งปรุงทีมได้น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยการอิมพอร์ตโค้ชยุโรปคนแรกของสโมสรอย่าง โกรัน บาร์ยัคทาเรวิช กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามาคุมทัพ พร้อมทั้งดึงตัวนักเตะต่างชาติดีกรีพอตัวหลายคนเข้ามาสู่ทีม ทั้ง ซิโร่ อัลเวส อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิล ชุด ยู-20, มาร์เคล ซานโต๊ส กองหน้าดีกรีรองดาวซัลโวลีกอินโดนิเซีย, คิม คยอง มิน กองหลังชาวเกาหลีใต้ ลูกหม้อของ อินชอน ยูไนเต็ด และ ซุลฟะห์มี อาริฟิน กองกลางชาวสิงคโปร์

ยังไม่นับ นักเตะไทยอีกหลายคนที่เข้ามา อย่าง ธีระพงษ์ ดีหามแห, ปฏิภาณ ปิ่นเสริมสูตรศรี, คมกริช คำโสกเชือก, ณภัทร ธำรงศุภกร รวมถึง อภิชัย หมั่นอุตส่าห์ หัวหอกเลือดสยามจากลีกสวีเดน และดึง “เจ้าย้า” สิทธิโชค ภาโส กลับจากญี่ปุ่น

ซึ่งแข้งเหล่านี้ ทำให้ความแข็งแกร่งของทีม “เหมือนจะ” ถูกเติมเต็ม โอเคหล่ะ แม้จะไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ค้างฟ้าอะไรมากมาย แต่ก็เป็นการเสริมทัพที่เบิกหัวใจชาวฉลามให้บานก่อนซีซั่นจะเปิด

แถมยังมีการประกาศจากผู้บริหารถึงแผนการสร้างสนามแห่งใหม่ ในชื่อ “นิว ชลบุรี สเตเดี้ยม” ซึ่งจะมีความจุมากถึง 25000 ที่นั่ง ในพื้นที่อำเภอศรีราชา ออกมาก่อนฤดูกาลจะเปิด ให้ชาวชลบุรี ได้กดว้าวถูกใจใช่เลยกันทุกคนอีก

ใครๆ ก็คิดว่า ปีนี้นี่แหละ จะเป็นปีแห่งการทวงศักดิ์ศรีลูกน้ำเค็ม หรือตรงกับสโลแกน “Fight For Chonburi” อย่างแท้จริง

ผมเองก็คิดเช่นนั้น เพราะติดตามทีมชลบุรี มายาวนานเหมือนกัน…

 

ขอบคุณภาพ : ชลบุรี เอฟซี

 

แต่ที่ไหนได้ 3 เกมแรกผ่านไป พวกเขาเก็บได้แค่ 1 แต้ม ด้วยผลงานสุดบู่ บอลที่ไร้ทรง แทบจะไม่มีประสิทธิภาพการทำประตู และอ่อนแอในเรื่องการป้องกัน รวมถึงความกระหายในการเป็นผู้ชนะ มีน้อยเหลือเกิน จนเกิดกระแสที่ไม่สู้ดีนัก มีข่าวคราวการปลดโค้ชระหว่างลีกครั้งแรกของทีม ออกมาเป็นระยะๆ

ผมได้ชมเกมเต็มๆ ในนัดที่ไล่ตีเสมอ ราชนาวี 1-1 และแทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือ ชลบุรี ที่ผมเคยรู้จัก

 

จากบอลเท้าสู่เท้า ที่เล่นวันทัชได้อย่างน่ากลัว สู่การเล่นที่ไร้ทรง สะเปะสะปะ ขาดๆ เกินๆ
จากทีมที่เต็มไปด้วยสปิริตสุดยอด สู่ทีมที่เล่นกันโดยไร้ทีมเวิร์ค
จากทีมที่เคยมีคนดูติดอันดับ อย่างน้อยก็มีราวๆ 6-7 พันคน เกือบเต็มความจุ เป็นฐานแฟนคลับที่แน่นอน แน่นหนา สู่ทีมที่มีกองเชียร์ทั้งสนามไม่ถึง 3 พันคน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับชลบุรี??”
“เกิดอะไรขึ้นกับ ศรัทธา ฟ้า-น้ำเงิน”

….

…..

จังหวะฉับพลันที่กำลังจรดนิ้วพิมพ์ลงบนแป้น ผมคิดถึง ชลบุรี ในหลายยุคเลยนะ ยุคหนึ่งที่ชอบมากคือการมี คาซูโตะ คูชิดะ กับ อดุล หละโสะ คุมเกมแดนกลาง ต่อมาก็ยุคของ นูรูล ศรียานเก็ม กระชากด้านขวา มี เกริกฤทธิ์ กระชากด้านซ้าย ย้อนกลับไปหน่อยก็มี เทิดศักดิ์ ใจมั่น เป็นเพลย์เมกเกอร์ และมี พิภพ อ่อนโม้ คอยจบสกอร์ และถูมือเมื่อยามยิงเข้า

คิดถึง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ที่ไว้ใจได้หน้าปากประตู คิดถึงยุคที่มี ณัฐพงษ์ สมณะ คอยตะลุยร่วมกับ ชยพัทธ์ (อนุชา) กิจพงษ์ศรีธาดา ทางกราบซ้าย อ้อ แล้วก็ยุคที่มี ติอาโก้ คุนญ่า คอยป่วนชวนคู่แข่งทะเลาะในแดนหน้า

แล้วยุคนี้หล่ะ เสน่ห์ฟุตบอลของพวกเขาที่เคยมี มันหายไปไหนหมด

นัดล่าสุดของพวกเขา ผมอาจจะไม่ได้ชมเกมแบบเต็มๆ นัก แต่ดูเหมือนว่า หลายอย่างยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ชลบุรี ปรับเปลี่ยนทุกนัด และเกมล่าสุด พวกเขาเข้าสู่ยุคที่มีกองกลางสี่รายอย่าง อลงกรณ์ ประทุมวงศ์, ซุลฟะห์มี อาริฟิน, ธีระพงษ์ ดีหามแห และ ภานุพงษ์ พลซา ซึ่งต้องยอมรับว่า แผงมิดฟิลด์สี่คนนี้ มีดีกรีห่างไกลจากที่พวกเขาเคยมียิ่งนัก และสุดท้าย ทีมที่เคยมีคู่กองกลางสุดยอดที่สุด ก็ต้องพ่ายแพ้ สุโขทัย เอฟซี ต่อหน้าต่อตาแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์แค่ 3 พันปลายๆ

มีคำถามมากมายจากแฟนบอลว่า นักเตะแม่เหล็กดีกรีทีมชาติไทยของทีมอย่าง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, วรชิต กนิษศรีบำเพ็ญ หรือจะตัวต่างชาติลูกหม้ออย่าง ปริ้นซ์ อัมพร็องซ่า ทำไมถึงมีชื่อเพียงแค่ตัวสำรอง

“แล้วนัดต่อไป จะปรับเปลี่ยนทีมอีกไหม
เมื่อไรทีมจะมี 11 ตัวจริงที่แน่นอน และมั่นคงสักที
มันเป็นคำถามที่เกิดขึ้น และดูเหมือนว่า คำตอบยังไม่มีอยู่จริง”

ผลงานของทีมที่กำลังสวนทางกับความคาดหวัง ในปีที่มีจำนวนทีมตกชั้นถึง 5 ทีม
ศรัทธาฟ้า-น้ำเงิน กำลังลดลงตามจำนวนผู้ชมที่เพิ่มขึ้นกลับกลายเป็นเสียงโห่จากแฟนบอลเมื่อทีมแพ้ ที่ดังเป็นระลอกๆ มากระแทกหู เมื่อยามจบเกม

ในวันที่ยังมีเสียงโห่ นั่นหมายถึง ยังมีแฟนบอลที่ศรัทธาพวกเขาอยู่ในสนาม รอให้ฉลามชลตัวเดิมกลับมาร้ายดั่งเพชฌฆาตเจ้าทะเลอีกครั้ง เสียงโห่เหล่านั้น บ่งบอกว่า พวกเขายังอยากให้สโมสรที่เคยถูกยกย่องหลายด้าน มีทิศทางที่ดีขึ้น

แต่ถ้าวันหนึ่ง อะไรๆ ยังไม่ถูกแก้ไข อาจจะไม่มีแม้แต่เสียงโห่ เสียงเชียร์กลายเป็นเสียงที่เงียบหาย…

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าเราทำในวันที่ทุกอย่างมันสายไป”

…ยังรอคอยฉลามชลคนกันเอง กลับมาดุดันอีกครั้ง

 

“จอน”

 

ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้