รีเซต
TRUE OPINIONS : สววรค์ล่มที่โรงละคร ... by "บีม ภควิชญ์"

TRUE OPINIONS : สววรค์ล่มที่โรงละคร ... by "บีม ภควิชญ์"

TRUE OPINIONS : สววรค์ล่มที่โรงละคร ... by "บีม ภควิชญ์"
kentnitipong
14 มีนาคม 2561 ( 15:22 )
186

บีม ภควิชญ์ : ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา แฟนๆ “ปีศาจแดง” ทั่วทั้งจักรวาลคงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทีมของตนจะเป็นทีมจากอังกฤษทีมที่สามที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบแปดทีมสุดท้ายฟุตบอลยุโรปหูโตได้สำเร็จ

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าสู่เกมนี้แบบเสียเปรียบอาคันตุกะผู้มาเยือนเล็กน้อย หลังบุกไปเสมอ เซบีย่า แบบไม่มีสกอร์ในนัดแรก ทำให้ต้องเล่นด้วยความรัดกุม เนื่องจากถ้าโดนเปิดซิงเมื่อไหร่ จะทำให้ “ปีศาจแดง” ต้องเก็บชัยชนะให้ได้สถานเดียว มิฉะนั้นแล้วจะต้องตกรอบด้วยกฏ อเวย์ โกลล์

การจัดทัพของ โชเซ่ มูรินโญ่ จึงออกมาในลักษณะที่แพ็คมิดฟิลด์ตัวตัดเกมมาถึงสองคน ทั้ง เนมานย่า มาติช และมารูยาน เฟลไลนี่ ในขณะที่เกมรุกไว้ใจนักเตะทักษะสูงอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ, มาร์คัส แรชฟอร์ด และเจสซี่ ลินการ์ด โดยมี โรเมลู ลูกากู ค้ำเป้าในแดนหน้า

แน่นอนว่าการจัดทัพลักษณะนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติคงทำให้แฟนๆ ผีแดงบ่นกันขรม แต่ด้วยการที่แทคติกของ “น้ามู” ในเกมแดงเดือดได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทำให้พลพรรคซัพพอร์ตเตอร์จึงจำใจต้องเชื่อมั่นในฝีมือกุนซือชาวโปรตุกีสอีกครั้ง

และหวังว่ามันจะออกมาเวิร์ค…

 

 

ในวันนี้ มารูยาน เฟลไลนี่ ถูกวางให้มีส่วนร่วมทั้งเกมรุก และเกมรับ โดยในบางจังหวะเจ้าตัวยืนสูงกว่า เจสซี่ ลินการ์ด ในตำแหน่งกองกลางตัวรุกซะด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการ “เป้า” ในแดนหน้าเพิ่มเติมในยามที่ทีมเล่นบอลไดเร็คจากแนวหลัง เพื่อแก้ไขปัญหาในกรณีที่ ลูกากู มักจะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และโดนกองหลังฝั่งตรงข้ามรุมกินโต๊ะ

รูปเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงออกมาในลักษณะสาดบอลเข้าหาเป้าหมายในแดนหน้า ก่อนจะให้ บิ๊กรอม หรือ เฟลไลนี่ โขกชงให้กับตัวรุกสายจี๊ดทั้งหลายอย่าง ซานเชซ, แรชฟอร์ด หรือ “เมสซี่” ลินการ์ด

จากที่คิดว่าการจัด มาติช กับ เฟลไลนี่ ลงเล่น 11 ตัวจริง จะออกมาในลักษณะแบบรับลึกทั้งคู่แล้วอาศัยการทำเกมของสามตัวรุก แต่กลายเป็น เฟลไลนี่ ที่มีบทบาทเป็นแกนหลักในแนวรุกซะเอง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นบอลบุกแบบ “มูรินโญ่ สไตล์” ก็คงไม่ผิดนัก

ส่วนหนึ่งต้องขอชมที่บอสใหญ่ชาวโปรตุเกสจัดทีมแบบวิเคราะห์มาจากบ้าน คืออยากจะรุกเพื่อเอาประตูเข้ารอบ แต่ก็ไม่อยากทิ้งเกมรับที่ถ้าโดนยิงก่อนปุ๊บคือวงแตก จึงเลือกจิ้มให้กองกลางหัวฟูได้ลงเล่นในเกมนี้ ซึ่งผมว่าเจ้าตัวก็ทำได้ค่อนข้างดีนะในจุดที่สามารถสร้างสะพานเชื่อมเกมจากรับเป็นรุกได้หลายครั้ง และสามารถลงในช่วยประคองเกมรับในยามจำเป็น

ปัญหาคือการเล่นในลักษณะนี้มักจะขาดสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ซึ่งทำให้รูปเกมในครึ่งแรกไม่ถูกใจคนส่วนมาก รวมถึงแฟนๆ ที่เสียเงินไม่ใช่น้อยเพื่อเข้าชมเกมใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด

 

 

เข็มนาฬิกาตีบอกใกล้เคียง 60 นาที… “ความคิดสร้างสรรค์” ที่แฟนๆ คาดหวัง ถูกส่งลงสนามในรูปแบบของ “กองกลางจอมตัดผม” ปอล ป็อกบา พร้อมกับเสียงเชียร์ดังกระหึ่มโรงละครแห่งความฝัน

แต่หารู้ไม่ว่าความคาดหวังนั้นจะต้องแปรผันมาเป็น “ความฉิบหาย” ของเหล่า เร้ด อาร์มี่

จากเกมที่มีแบบแผนการรุก-รับชัดเจน สามารถเก็บบอลจังหวะหนึ่ง-สองได้ การส่งกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสดันทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหมือนมีผู้เล่นอยู่ในสนามแค่ 10 คนซะงั้น

เจ้าตัวไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งเกมรุก และเกมรับ หน้าที่การสร้างสะพานของ เฟลไลนี่ ในครึ่งเวลาแรก ไม่มีให้เห็นจากกองกลางผิวสีที่เคยมีค่าตัวแพงที่สุดในโลกเมื่อปีก่อน

 

 

หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเก็บบอลได้ จึงเปิดโอกาสให้ เซบีย่า ทำเกมได้มากขึ้น จนเป็นที่มาของการเสียประตูแรก และดั่งเคราะห์ซ้ำ-กรรมซัด พอมาเสียประตูที่สอง ทำให้โอกาสการเข้ารอบแทบจะปิดประตูลงไปเลย

เอาตรงๆ ผมก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไม โชเซ่ มูรินโญ่ ถึงเลือกเดินหมากนี้ มันอาจจะเพราะเขาเชื่อมั่นว่า ปอล ป็อกบา จะสามารถสร้างความแตกต่างได้ แต่สุดท้ายมันก็แค่อีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่ได้ออกผลเป็นจริง

นิสัยเสียอย่างนึงของ ปอล ป็อกบา คือเจ้าตัวไม่ใช่ “ทีม เพลย์เยอร์” และถ้าดูตามสันดานแล้วก็ไม่น่าจะมีวันนั้น ทำให้เขาอาจจะไม่ใช่ผู้เล่นที่เหมาะสมในทีมของ “กุนซือจอมแทคติก” อย่าง มูรินโญ่ ซึ่งถ้าสังเกตในระยะหลังจะเห็นว่าเจ้าตัวเป็นที่ชื่นชอบทั้งจากผู้จัดการทีม และแฟนบอลน้อยกว่า แม็คโทมิเนย์ กองกลางเด็กปั้นวัย 21 ปีซะด้วยซ้ำ

 

 

สุดท้ายแล้วเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องตกรอบไป เพราะการวางแทคติกนั้นถูกต้องแต่มาผิดพลาดที่การเปลี่ยนตัว

การเปลี่ยน เฟลไลนี่ ออก ทำให้เกมรับที่ มาติช ต้องแบกความรับผิดชอบมากอยู่แล้ว กลายเป็นเหลือเขาคนเดียวโดดเดี่ยวที่ต้องคอยสกรีนหน้าแผงกองหลัง

หากคนที่ลงมาแทนแทนกองกลางหัวฟูเป็น แม็คโทมิเนย์ ที่มีสันดานความรับผิดชอบสูง และสามารถช่วยเกมรับได้มากกว่า อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่น่าเกลียดขนาดนี้ แต่การเลือกที่จะเสี่ยงผลักดันให้เกมจบในเวลาปกติ ส่งผลให้เป็นจุดจบเส้นทางบอลยุโรปของ “ปีศาจแดง” ไปเสียฉิบ

เออ แต่ก็จริงนะ เกมมันจบลงใน 90 นาทีจริงๆ แต่กว่าจะได้แก้ตัวกับอีก 90 นาทีครั้งต่อไป คงต้องรอฤดูกาลหน้ากันแล้วล่ะจ๊ะพี่จ๋า…

 

“บีม ภควิชญ์”

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้