รีเซต
TRUE TALK : เมื่อ "4 ขงเบ้งลูกหนัง" ร่วมประชันกึ๋น คิงส์คัพ 2018 ... by "บก.เก้น"

TRUE TALK : เมื่อ "4 ขงเบ้งลูกหนัง" ร่วมประชันกึ๋น คิงส์คัพ 2018 ... by "บก.เก้น"

TRUE TALK : เมื่อ "4 ขงเบ้งลูกหนัง" ร่วมประชันกึ๋น คิงส์คัพ 2018 ... by "บก.เก้น"
kentnitipong
22 มีนาคม 2561 ( 16:57 )
335

บก.เก้น : หากถือเอาเวลาที่ผมกำลังจะเริ่มเนรมิตงานชิ้้นนี้ นั่นเท่ากับว่า ผม และแฟนบอลไทยทั้งประเทศเหลือเวลาไม่ถึง  ชั่วโมงแล้ว ที่ศึก “คิงส์คัพ 2018” จะถือฤกษ์เปิดฉากขึ้น ณ สังเวียนที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ลูกหนังที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอย่าง ราชมังคลากีฬาสถาน

 

 

ท่ามกลางทีมฟุตบอลระดับแถวหน้าของแต่ละทวีปทั้ง สโลวาเกีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และกาบอง ที่ต่างพร้อมใจตบเท้ามาร่วมแข่งขันใน คิงส์คัพ ครั้งนี้ โดยมีทั้งศักดิ์ศรี โทรฟี่แชมป์ และการคิดคะแนนในการจัดอันดับโลกของฟีฟ่าเป็นเดิมพัน เราเริ่มได้สัมผัสกลิ่นอายความดุเดือดที่เริ่มคุกรุ่น ทั้งมุมมองจากตัวโค้ช จากนักเตะระดับสตาร์ ที่ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาไม่ได้เดินทางมาประเทศไทยเพียงแค่ลงเล่นให้จบๆ เกมไป

หากแต่ทุกทีมล้วนแสดงความมุ่งมั่น รวมถึงแรงปรารถนาที่จะเอาหนึ่งในโทรฟี่ที่เก่าแก่ และขลังมากที่สุดรายการหนึ่งของโลกอย่าง “คิงส์คัพ”

นอกจากนักเตะระดับแม่เหล็กอย่าง มาร์ติน สเคอร์เทล อดีตภูผาหินของ ลิเวอร์พูล, มาร์ติน ดูบราฟก้า นายทวารจอมหนึบจาก “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, อาเหม็ด คาลีล ดีกรีนักเตะยอดเยี่ยมเอเชีย 2015, สองนักเตะจากเวทีพรีเมียร์ลีกทั้ง ดิดีเย่ร์ เอ็นด็อง และมาริโอ เลอมิน่า รวมถึงสามอรหันต์จากเจลีกทั้ง “เจ-มุ้ย-อุ้ม” แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตามองใน คิงส์คัพ หนนี้ก็คือ บรรดาสี่กุนซือที่มีประสบการณ์การทำทีมระดับ “ขงเบ้งลูกหนัง” ทุกคน

ความเก๋าเกม ความเขี้ยวลากดิน แทคติก จิตวิทยา ทุกกลเม็ดที่กุนซือทุกคนพร้อมจะงัดมาเล่น ถือเป็นเสน่ห์ที่จะทำให้ คิงส์คัพ หนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นบนผืนฟลอร์หญ้าสีเขียวอย่างแท้จริง

วันนี้เรามาทำความรู้จักของกุนซือแต่ละคนกันสักนิดครับ

….

…..

แยน โคซัค : ทีมชาติสโลวาเกีย

อดีตแข้งระดับตำนานของ โลโคโมทีว่า โกชิเซ่ (Lokomotiva Košice) อีกหนึ่งทีมเก่าแก่ของ สโลวาเกีย ที่ผันตัวเองมาเป็นอีกหนึ่งกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 5.4 ล้านคน

 

 

ในสมัยที่ แยน โคซัค ยังหนุ่มๆ เจ้าตัวถือเป็นอีกหนึ่งแข้งระดับแถวหน้าของประเทศเลยทีเดียว การันตีได้จากรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ เชคโกสโลวาเกีย เมื่อปี 1981 ตลอดจนเป็นกำลังหลักของทีมชาติเชคโกสโลวาเกียชุดคว้าอันดับสามฟุตบอลยูโร 1980 ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ โดย โคซัค ลงเล่นให้กับมาตุภูมิไปเบ็ดเสร็จ 55 นัด พร้อมกับทำไป 9 ประตูด้วยกัน

หลังจากแขวนสตั๊ดไปได้ราว 3 ปี แยน โคซัค เริ่มหันมาจับงานโค้ชโดยเริ่มจากสโมสรที่ปลุกปั้นเขามาโดยตลอดอย่าง โลโคโมทีว่า โกชิเซ่ (Lokomotiva Košice) แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โคซัค จึงตัดสินใจโยกไปกุมบังเหียนคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอฟซี วีเอสเอส โกชิเช่ (FC VSS Košice) แทน

ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของ โคซัค จะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ให้กับทั้งตัวเขา และทีม หลังกุนซือรายนี้สามารถพา เอฟซี วีเอสเอส โกชิเช่ (FC VSS Košice) ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ถึงสองซีซั่นติด (1996/1997 – 1997/1998) และที่สำคัญ โคซัค ยังนำทีมทะลุผ่านเข้าไปเล่นในถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกด้วย

การต้องฝ่าฟันลงเล่นรอบคัดเลือกตั้งแต่รอบแรก การดับเครื่องเขี่ยยักษ์ใหญ่แดนหมีขาวอย่าง สปาร์ตัก มอสโก ในรอบคัดเลือกรอบสอง ก่อนจะได้เข้าร่วมสังฆกรรมรายการนี้กลุ่มเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ยูเวนตุส และเฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของชายที่ชื่อว่า แยน โคซัค

ด้วยประสบการณ์การคุมทีมอย่างโชกโชน สุดท้าย แยน โคซัค ก็ถูกดึงมากุมบังเหียนทีมชาติสโลวาเกีย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2013

แม้จะออกสตาร์ทได้ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น หลังควานหาชัยชนะเจอเพียง 2 จาก 7 เกมแรกในปี 2013 แต่ โคซัค ค่อยๆ ฟูมฟักนักเตะสโลวาเกียให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นักเตะของพวกเขาเริ่มเดินทางออกไปค้าแข้งตามลีกใหญ่ๆ ของยุโรป มีนักเตะฝีเท้าดีเติมทีมเข้ามาไม่ขาดสาย

สุดท้าย สโลวาเกีย ในยุคของ โคซัค ก็สามารถฝ่าด่านหินผ่านเข้าไปอวดฝีเท้าในศึกยูโร 2016 ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติ

สเปน, เยอรมัน, โปแลนด์ และยูเครน คือเหยื่ออันโอชะที่ถูก สโลวาเกีย ยัดเยียดความปราชัยให้มาแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่เจ้าตัวสร้างชื่อไปกระฉ่อนโลก

แม้ สโลวาเกีย จะไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2018 ได้ แต่การเป็นทีมอันสดับสองของกลุ่มที่ไม่ได้เล่นเพลย์ออฟ ก็ถือเป็นผลงานที่ไม่ได้ขี้เหร่อะไรกับชาติเล็กๆ ที่มีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน

….

…..

โฆเซ่ อันโตนิโอ คามาโช่ : ทีมชาติกาบอง

นับว่าเป็นบุญของผมที่ครั้งหนึ่งเคยได้มีโอกาสบรรยาย คามาโช่ ในสมัยที่ยังเป็นนักเตะของ “โลส บลังโกส” !!!

 

 

ไม่ผิดครับ ผมได้พากย์ โฆเซ่ อันโตนิโอ คามาโช่ จริงๆ จากรายการแม็กกาซีนทีวีอย่าง มาดริด ทีวี ในยุคที่เจ้าตัวลงประจำการทางฝั่งซ้ายของ “ราชันชุดขาว” ในยุคที่มีแต่ตัวท็อปอย่าง “พญาแร้ง” เอมิลิโอ บรูตาเกนโญ่, มิเชล รวมไปถึง ฮูโก้ ซานเชซ หัวหอกระดับตำนานชาวเม็กซิกัน ร่วมกันสร้างความยิ่งใหญ่ให้ เรอัล มาดริด คว้าโทรฟี่แชมป์มากถึง 19 ครั้ง เรียกได้ว่า คามาโช่ เองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันในยามที่ค้าแข้ง

กระทั่งเจ้าตัวตัดสินใจเข้ามารับงานกุนซือ หนึ่งในอาชีพที่กดดันมากที่สุดในโลก คามาโช่ เริ่มต้นกับ ราโย่ บาเยกาโน่, เอสปันญ่อล, เซบีย่า ก่อนจะมีโอกาสได้กลับมายังชายคา ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แต่ทว่า คามาโช่ กลับไปมีปัญหากับบอร์ดบริหารจนอยู่ในตำแหน่งได้เพียงแค่ 22 วันเท่านั้น

แต่นั่นคงไม่เป็นที่น่าจดจำเท่ากับการที่ คามาโช่ ตัดสินใจมารับเผือกร้อนกับ “พญามังกร” ทีมชาติจีน หนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกที่ต้องการให้กุนซือสแปนิชรายนี้พา จีน ยกระดับขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของเอเชีย กระทั่งความพ่ายแพ้ต่อทีมชาติไทยคาบ้านถึง 1-5 กลายเป็นตราบาปที่ิติดตัว คามาโช่ มาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะได้ค่าฉีกสัญญามาร่วมๆ 3 ล้านยูโร แต่เชื่อว่านั่นคงยังไม่เพียงพอต่อการลบความผิดหวังในครั้งนั้นได้

เชื่อได้เลยว่า การพาทัพ กาบอง เดินทางมาลุยคิงส์คัพ ครั้งนี้ คามาโช่ คงมีเป้าหมายลึกๆ คือการคว่ำทีมชาติไทยให้ได้ตั้งแต่นัดแรก พร้อมพา กาบอง คว้าแชมป์ให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการทำให้คนไทยได้เห็นว่า การที่ไทยเอาชนะจีนในยุคของเขาได้นั้นเป็นเพียงแค่ “ความบังเอิญ” หรือ “อุบัติเหตุลูกหนัง” เท่านั้น

นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายชายที่ชื่อว่า คามาโช่ จริงๆ

….

…..

อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่  : ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์

หากคุณคือคอบอลแดนมักกะโรนีตัวจริง ชื่อของ “อิลซัค” น่าจะเข้าไปอยู่ในดวงใจของคุณได้ไม่ยาก เพราะ อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ คนนี้คือผู้เนรมิต “สคูเด็ตโต้” (แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา) ให้กับเหล่า “รอสโซเนรี่” ได้เชยชมกันในช่วงปลายยุค 90’s โดยมีแข้งระดับตำนานทั้ง จอร์จ เวอาห์ (ประธานาธิบดีแห่ง ไลบีเรีย (คนปัจจุบัน) – นักเตะแอฟริกันคนแรก และคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัลบังลงดอร์ได้) รวมถึง เปาโล มัลดินี่, ซัลโวนีเมียร์ โบบัน แม่ทัพเลือดโครแอต, จ้าวเวหา อย่าง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ และเลโอนาร์โด้ ศิลปินลูกหนังจากแดนกาแฟ เป็นส่วนผสมสำคัญ

ความสำเร็จในครั้งนั้น ทำให้ ซัคเคโรนี่ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในกุนซือที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการฟุตบอลยุโรป แม้ เอซี มิลาน ในยุค “อิลซัค” อาจจะไม่ใช่ทีมที่ยิงประตูถล่มทลาย หรือมีเกมรับที่แน่นปึ๊ก หากแต่ความเขี้ยวลากดินในเรื่องแทคติกของ ซัคเคโรนี่ ต่างหากที่สามารถนำทีมไปสู่ความสำเร็จได้

หลังจากนั้นเส้นทางกุนซือของ “อิลซัค” ก็พเนจรดุจสายลมด้วยการโบยบินไปรับหน้าที่กุนซือทีมต่างๆ มากมาย ทั้ง ลาซิโอ, อินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส กระทั่งบินลัดฟ้ามาเป็นบิ๊กบอสใหญ่ของทีมชาติญี่ปุ่น ก่อนจะโชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซด้วยการนำทัพ “ซามูไรบลู” เอาชนะ อาร์เจนติน่า ได้ในเกมอุ่นเครื่อง อีกทั้งยังพาทีมคว้าแชมป์เอเชียนคัพ 2011 ที่กาตาร์ได้สำเร็จ

แม้หลังจากนั้นชื่อของ ซัคเคโรนี่ จะค่อยๆ หายไป ตามวิถีลูกหนังที่เต็มไปด้วยกุนซือหนุ่มคลื่นลูกใหม่ ฟุตบอลในสไตล์ของ “อิลซัค” อาจจะดูโบราณ และล้าสมัยไปแล้ว แต่ท้ายที่สุด ก็เป็นสมาคมฟุตบอลยูเออีที่ยังคงเชื่อว่า ประสบการณ์ และกึ๋นทางศาสตร์ลูกหนังของ ซัคเคโรนี่ น่าจะเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้ ยูเออี บินได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่

โอมาร์ อับดุลราห์มาน และอาลี มับคุต คือสองแข้งซูเปอร์สตาร์ที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดคู่หนึ่งในตะวันออกกลาง แต่ ซัคเคโรนี่ ไม่เคยสนใจว่าคุณจะเก่งแค่ไหน เพราะถ้าคุณไม่อยู่ในระเบียบวินัย ก็คงไม่มีประโยชน์ที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ จะต้องมอบความไว้วางใจให้กับคุณ…

ทั้งสองคนโดน “อิลซัค” หั่นออกจากทีมชุดลุยศึกคิงส์คัพหนนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า ขรัวเฒ่ารายนี้ยังคงเฮี้ยบ และเอาอยู่จริงๆ

“หลายๆ คนแสดงความกังวลว่าการขาดสองนักเตะตัวหลังทั้ง โอมาร์ อับดุลราห์มาน และอาลี มับคุต อาจส่งผลกระทบกับทีม แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ใหญ่อะไรมากนัก เราต้องการให้นักเตะรายอื่นๆ ได้ลงสัมผัสเกมระดับคิงส์คัพด้วยเช่นกัน และที่สำคัญนักเตะที่เดินทางมาในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นนักเตะระดับชุดใหญ่ และเป็นตัวหลักของทีมแทบทั้งสิ้น”

“ผมคิดว่าการขาดหายไปของ โอมาร์ อับดุลราห์มาน และอาลี มับคุต จะไม่ทำให้ ยูเออี คลายความแข็งแกร่งไปจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะผมยังเชื่อมั่นในตัวของนักเตะที่เหลืออย่างเต็มเปี่ยม”

เดี๋ยวเราจะได้รู้กันว่า ยูเออี ในวันที่ไม่มีสองสตาร์ ภายใต้การนำของ “อิลซัค” จะยังดีพอกับโทรฟี่แชมป์คิงส์คัพ 2018 หรือไม่

….

…..

มิโลวาน ราเยวัช : ทีมชาติไทย

ว่ากันว่านี่คือหนึ่งในกุนซือที่มีโปรโฟล์ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังไทย จากที่เกือบจะไปนั่งเก้าอี้กุนซือทีมชาติเกาหลีใต้ สุดท้ายเป็นยักษ์ใหญ่แถบอาเซียนอย่าง ไทย ที่เอาชนะใจกุนซือรายนี้ได้แบบพลิกโผ

 

 

การก้าวมารับตำแหน่งแทนที่ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ถือเป็นหนึ่งในงานที่น่าหนักใจไม่น้อยของกุนซือเลือดเซิร์บ แต่ มิโลวาน ราเยวัช ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การพาทัพ “ช้างศึก” คว้าแชมป์คิงส์คัพได้เมื่อปีที่แล้ว สามารถเรียกศรัทธาจากแฟนบอลไทยกลับมาได้มากโขเลยทีเดียว

แต่ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทำให้แฟนบอลทั้งโลกตราตรึงใจกับผลงานของ ราเยวัช ก็เห็นจะเป็นการพาทัพ “ดาวดำ” ลงเล่นในเวิลด์คัพ 2010 ที่แอฟริกาใต้ ด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอด และเกือบจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมจากแอฟริกาทีมแรกที่ทะลุไปถึงรอบตัดเชือกได้ ก่อนจะพ่ายต่อ อุรุกวัย ที่มีทั้ง ดีเอโก้ ฟอร์ลัน, เอดินสัน คาวานี่ และหลุยส์ ซัวเรซ ไปแบบประทับใจแฟนบอลทั้งโลกในรอบควอเตอร์ไฟน่อล

สไตล์การทำทีมของราเยวัชอย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ การเน้นเกมรับให้แน่นเข้าไว้ ก่อนจะอาศัยการโต้กลับเร็วโดยมีศูนย์กลางของทีมอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีรศิลป์ แดงดา และตัวโฮลด์บอลอย่าง ธิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เช่นเดียวกับคู่เซนเตอร์ที่เปลี่ยนบอลไว และวิงแบ็กที่ต้องจัดการทั้งเกมรุก และรับได้ดี

แม้ทีมชาติไทยในยุค ราเยวัช อาจจะพ่ายไปถึง 3 จาก 8 เกม แต่ถ้าเรามาเจาะฟอร์มแต่ละนัดกันดีๆ แล้วจะพบว่า ความพ่ายแพ้ต่อ ออสเตรเลีย แบบน่าเสมอ หรือแม้แต่การโดนจุดโทษท้ายเกมในนัดที่เจอกับ อิรัก ไม่น่าจะเป็นประเด็นใหญ่อะไรมากนัก เพราะ ราเยวัช ได้เนรมิตให้ทีมชาติไทยกลับมาอยู่ในสายตาของคู่แข่งระดับทวีปที่ไม่กล้าประมาทพลังแข้งนักเตะแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกแล้ว

….

…..

และทั้งหมดนี้คือ “สี่กุนซือ “ที่จะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับคิงส์คัพให้ก้าวสู่การเป็นทัวร์นาเม้นต์ระดับโลกในอนาคตอันใกล้

ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วทีมไหนจะคว้าแชมป์
ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ว่าสิ่งที่กุนซือทั้งสี่คนกำลังคิดวางแผนต่อกรกันนั้นคืออะไร
ไม่มีใครรู้ว่าทีมชาติไทยจะไปได้ไกลแค่ไหนใน คิงส์คัพ 2018 ศรัทธาแฟนบอลที่พร้อมจะหายไป หรือถาโถมกลับมาให้กำลังใจอย่างยิ่งใหญ่คือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ได้เลย

แต่ผมรู้ว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามแล้ว และพร้อมจะเชียร์ทีมชาติไทยในฐานะ “คนไทย” ที่รัก “ช้างศึก” ทีมนี้ยิ่งกว่าทีมใดในโลก…

#ทรูเชียร์ไทย แล้วเจอกันครับ…

 

“บก.เก้น”

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้