รีเซต
TRUE OPINIONS : สมรภูมิ “เคียฟ” สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ (อาจจะ) จากไป ... by "Mr. BOSTON"

TRUE OPINIONS : สมรภูมิ “เคียฟ” สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ (อาจจะ) จากไป ... by "Mr. BOSTON"

TRUE OPINIONS : สมรภูมิ “เคียฟ” สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ (อาจจะ) จากไป ... by "Mr. BOSTON"
kentnitipong
10 พฤษภาคม 2561 ( 11:15 )
1.3K

Mr. BOSTON : อดีต… นับเป็นเวลายาวนานถึงครึ่งรอบ หรือ 6 ปี ที่ เชลซี เข้าชิงศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเอาชนะจุดโทษเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2012 ที่สนาม อลิอันซ์ อารีน่า บ้านของผู้พ่ายแพ้ในนครมิวนิค หลังจากนั้น สโมสรจากอังกฤษก็ไม่เคยปรากฏชื่อในรอบชิงชนะเลิศอีกเลย จนกระทั้งการพ่ายแพ้ต่อ อาแอส โรม่า แบบเอาตัวรอดได้ “หวุดหวิด” ในคืนวันพุธที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม) ทำให้ทีมจากอังกฤษปรากฏในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปถ้วยใหญ่อีกครั้ง

 

 

และเป็นเวลายาวนานถึง 4 ปีติดต่กัน ที่ถ้วย “บิ๊กเอียร์ส” ถูกนำไปเก็บไว้ยังดินแดนกระทิงดุ หลังจากจบเกมรอบชิงชนะเลิศ, สามใน 4 ครั้ง ถ้วยรางวัลใบนี้ ตกไปอยู่ในเมืองหลวงอย่าง มาดริด และอีกครั้งต้องไปอยู่ในแคว้นกาตาลัน ที่สโมสรบาร์เซโลน่า

โดยปีก่อน เรอัล มาดริด เพิ่งทำสถิติเป็นสโมสรแรก นับตั้งแต่ปี 1990 ที่ป้องกันแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ต่อจาก เอซี มิลาน และในปีนี้พวกเขา มีโอกาสในการต่อยอดประวัติศาสตร์ออกไป เพราะถ้าหากพวกเขาปราบ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์รายการนี้ได้ จะทำให้พวกเขากลายเป็นสโมสรแรกนับตั้งแต่ บาเยิร์น มิวนิค ปี 1976 ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรปได้ 3 สมัยติดอีกด้วย

ลำพังแค่เกริ่นมา 2 ย่อหน้า เชื่อว่าหลายๆ คน ก็คงพอจะเห็นภาพความสำคัญของสมรภูมิเคียฟ ในรอบยชิงชนะเลิศ ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แล้วว่าน่าสนใจอย่างไร

แต่เรื่องราวของรอบชิงที่เคียฟในปีนี้ มีมากกว่านั้น

….

…..

เรอัล มาดริด ถือเป็นราชาของฟุตบอลสโมสรยุโรปตัวจริง พวกเขาครองความยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ฟุตบอลรายการนี้ใช้ชื่อเดิมว่า ยูโรเปี้ยน คัพ จนเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาก็ยังอยู่ในจุดสูงสุดของถ้วยนี้อยู่ ด้วยสถิติ เข้าชิง 15 ชนะ 12 แพ้ 3

แต่ทว่า 1 ใน 3 ตราบาปของพลพรรคชุดขาว มีชื่อของคู่ชิงฯ ในปีนี้อย่าง ลิเวอร์พูล อยู่ด้วย

ส่วน ลิเวอร์พูล ถือเป็นทีมจากอังกฤษที่ทำผลงานในรายการนี้ได้ดีที่สุด พวกเขาคว้าแชมป์ไป 5 จากการเข้าชิงชนะเลิศ 7 ครั้ง และการพ่ายแพ้ในรอบชิงทั้ง 2 ครั้งของพวกเขาเป็นพ่ายต่อยอดทีมจากอิตาลี อย่าง ยูเวนตุส(1985) และ เอซี มิลาน(2007) นอกจากนี้พวกเขายังเคยปราบเรอัล มาแล้วในรอบนี้ในปี 1981 ด้วย

 

….

…..

ปัจจุบัน

 

 

เรอัล มาดริด ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศในปีนี้ ด้วยความตะกุกตะกัก พวกเขาต้องแย่งชิงแชมป์กลุ่มเอชกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้ต้องเข้ารอบมาในฐานะรองแชมป์กลุ่มเท่านั้น แต่หลังจากนั้นพวกเขาติดเครื่องปราบ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยสกอร์รวม 5-2 ก่อนจะผ่าน ยูเวนตุส ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์ 4-3 และปิดบัญชีใส่ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสกอร์เดียวกัน ทำสถิติในฤดูกาลนี้ ด้วยการลงเล่น 12 นัด ชนะ 8 เสมอ 2 และแพ้ 2 ยิงได้ 30 เสีย 15 ประตู

 

 

ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล เหมือนจะดูดีกว่า หลังผ่านรอบแบ่งกลุ่มจากการเป็นแชมป์กลุ่มอีแบบไร้พ่าย ก่อนถล่ม เอฟซี ปอร์โต้ สกอร์รวม 5-0, พลิกล็อคล้ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 5-1 และ เฉือน โรม่า หวุดหวิดด้วยสกอร์รวม 7-6 ทำสถิติในรายการนี้ทั้งฤดูกาลด้วยการลงเล่น 12 นัด ชนะ 7 เสมอ 4 แพ้นัดเดียว (ต่อโรม่า ในรอบรองฯ) ยิงได้มากที่สุดถึง 40 ประตู และเสียไป 13 ประตู

นอกจากสถิติทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ากันไปด้านบน ประเด็นใหญ่ที่สื่อพูดกันให้แซ่ด เป็นเรื่องของการพบกันของคลื่นลูกเก่าอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 33 ปี ดีกรีผู้นำดาวซัลโวในรายการนี้ที่ 15 ประตู กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในวัย 25 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้อีกด้วย

….

…..

อนาคต

แน่นอนว่าผลการแข่งขันเป็นที่คาดเดาไม่ได้ และเกมนี้เหมือนเป็นการเจอกันของสองมหาอำนาจแห่งฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างแท้จริง เพราะ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์มากที่สุดอันดับ 1 ได้ 12 สมัย ส่วน ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์มากที่สุดอันดับ 3* 5 สมัย และเป็น 2 สโมสร ที่มักจะทำผลงานในฟุตบอลรายการนี้ได้ดีเสมอ ไม่ว่าผลการแข่งขันในลีกของตัวเองจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ที่ผ่านมา ทั้งคู่เจอกันมา 5 ครั้ง และลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่า เล็กน้อย ชนะไปสาม และเรอัล มาดริด ชนะไป 2 ครั้ง แต่ แต่ทั้ง 5 เกม เป็นการแพ้-ชนะ กันด้วยสกอร์ 0 ทั้งสิ้น ซึ่งไม่น่าเชื่อ และเมื่อไปเช็คอัตราต่อรองกับบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ต่างลงความเห็นตรงกันว่า “โลส บลังโกส” เหนือกว่าอยู่ไม่น้อยแม้จะไม่ถึงเท่าตัวก็ตาม

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชัยชนะจะตกอยู่กับใคร แต่กูรูต่างประเทศเชื่อว่า เกมนี้น่าจะสนุกและเต็มไปด้วยแท็กติก มากกว่าที่ทั้งคู่จะเปิดหน้าแลกกัน เพราะต่างฝ่าย ต่างเล่นเกมสวนกลับได้ดี จึงไม่อยากมีใครเสียประตูก่อนเป็นแน่ และน่าจะเป็นเกมที่มีสกอร์รวมไม่สูงอย่างที่แฟนบอลคาดคิด  ซึ่งสอดคล้องกับทางอัตราต่อรองของทางบริษัทรับพนันถูกกฎหมายที่ออกมา

สุดท้ายแล้ว รักใครชอบใครก็เชียร์กัน หรือถ้าไม่รัก ไม่ชอบก็แช่งมัน และเชียร์อีกฝ่ายกันไป…

 

 

อ่อ ลืมไป มีข่าวลือด้วยนะครับว่า มาดริด จะออกปากทาบทามขอซื้อ โม ซาลาห์ จาก ลิเวอร์พูลในเกมนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ส่วนจะเจรจาจริงไหม ? ผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร ? คงต้องตามกันต่อไปยาวๆ เลยครับ

* ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรปได้ 5 สมัย เป็นอันดับ 3 ร่วมกับ บาเยิร์น มิวนิค และบาร์เซโลน่า โดยเป็นรอง เอซี มิลาน ที่คว้าแชมป์ได้ 7 สมัย ซึ่งรั้งอันดับที่ 2 อยู่ในปัจจุบัน

….

“Mr. BOSTON”

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้