รีเซต
สวัสดีบอลโลก 2018 : หรือ "เยอรมัน" จะเป็นทีมที่ 3 ที่รักษาแชมป์ฟุตบอลโลกไว้ได้ ?  ... by "PUP Tuntat"

สวัสดีบอลโลก 2018 : หรือ "เยอรมัน" จะเป็นทีมที่ 3 ที่รักษาแชมป์ฟุตบอลโลกไว้ได้ ? ... by "PUP Tuntat"

สวัสดีบอลโลก 2018 : หรือ "เยอรมัน" จะเป็นทีมที่ 3 ที่รักษาแชมป์ฟุตบอลโลกไว้ได้ ?  ... by "PUP Tuntat"
armcasanova
6 มิถุนายน 2561 ( 19:11 )
4.6K

 

เยอรมัน
(โซนยุโรป : อันดับ 1 ของโลก)
(FIFA Ranking Update : 07 June 2018)

PROFILE

ลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย : 18 ครั้ง

แชมป์ : 4 สมัย
– 1954 ชนะ ฮังการี 3-2
– 1974 ชนะ ฮอลแลนด์ 2-1
– 1990 ชนะ อาร์เจนติน่า 1-0
– 2014 ชนะ อาร์เจนติน่า 1-0

ทีมที่ดีที่สุดในโลก ในยุคปัจจุบัน การันตีด้วยอันดับฟีฟ่า แรงกิ้งอันดับ 1 แชมป์โลกสมัยล่าสุด และแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นปีที่ผ่านมา ด้วยตัวผู้เล่นชุดสำรองที่ เลิฟ ทดลองใช้ก่อนลุย ฟุตบอลโลก 2018

ฟุตบอลโลก 2018 เยอรมัน จัดเต็มเรียกบรรดาผู้เล่นชั้นนำเข้ามาสู่ทีม นำทัพโดย มานูเอล นอยเออร์ ที่บาดเจ็บปิดฤดูกาลทั้งซีซั่น ไม่ได้ลงเล่นให้ต้นสังกัดเลนแม้แต่นัดเดียว แต่เลิฟ ยังเชื่อใจ เรียกติดทีมพร้อมตำแหน่งมือหนึ่ง

ส่วนประเด็นที่น่าสนใจคือ การตัดชื่อ เลรอย ซาเน่ ออกจาก 23 คนสุดท้าย ทั้งที่ๆ ปีกความเร็วสูงรายนี้ โชว์ผลงานยอดเยี่ยมให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้ แต่ดันไปเลือกผู้เล่นอย่าง ดรักซ์เลอร์, บรันด์ท หรือรอยส์ ที่ไม่ได้โชว์ผลงานที่น่าจดจำนักในรอบปีที่ผ่าน

ทั้งหมดนี้เป็นข้อพิสูจน์ความแข็งแกร่งจอง เลิฟ และ”อินทรีเหล็ก” อีกรอบว่าจะสามารถรักษาแชมป์โลก เป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ได้หรือ และเพื่อพิสูจน์คำที่ว่า

“ฟุตบอลเป็นเกมที่เรียบง่าย แค่คน 22 คนวิ่งไล่ล่าลูกบอลกัน 90 นาที และสุดท้ายพวกเยอรมันก็ชนะเสมอ” 

….

…..

รายชื่อ 23 นักเตะทีมชาติเยอรมัน
ชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย

ผู้รักษาประตู : มานูเอล นอยเออร์ (บาเยิร์น มิวนิค), มาร์ค-อังเดร แทร์ สเตเกน (บาร์เซโลน่า), เควิน ทรัปป์ (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง)

กองหลัง : มาร์วิน แพล็ตเทนฮาร์ดต์ (แฮร์ธ่า เบอร์ลิน),โยนาส เฮ็คเตอร์ (โคโลญจน์),มัตธิอัส กินเตอร์ (โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค),มัตส์ ฮุมเมิลส์ (บาเยิร์น มิวนิค),นิคลาส ซูเล่(บาเยิร์น มิวนิค),อันโตนิโอ รูดิเกอร์ (เชลซี),เยโรม บัวเต็ง (บาเยิร์น มิวนิค),โยชัว คิมมิช(บาเยิร์น มิวนิค)

กองกลาง : ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง),ซามี่ เคดิร่า (ยูเวนตุส),โทนี่ โครส (เรอัล มาดริด),เมซุส โอซิล (อาร์เซน่อล),เซบาสเตียน รูดี้ (บาเยิร์น มิวนิค),เลออน โกเร็ทซ์ก้า (ชาลเก้ 04),ยูเลี่ยน บรันด์ท (เลเวอร์คูเซ่น),อิลคาย กุนโดกัน (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

กองหน้า : มาริโอ โกเมซ (โวล์ฟสบวร์ก), โธมัส มุลเลอร์ (บาเยิร์น มิวนิค), มาร์โก รอยส์ (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), ติโม แวร์เนอร์ (แอร์เบ ไลป์ซิก)

….

…..

รู้จักเฮดโค้ช : โยอาคิม เลิฟ

katatonia82 / Shutterstock.com

ชีวิตที่ไม่สู้ดีนักกับอาชีพนักฟุตบอล เฮดโค้ชเจ้าของฉายา “จกดม” รายนี้ สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีเมื่อยู่กับสโมสรไฟร์บวร์ก เพียงทีมเดียว แต่เมื่อย้ายไปทีมอื่นทั้ง สตุ๊ตการ์ท (ค.ศ. 1980-1981), แฟร้งเฟิร์ต (ค.ศ. 1981-1982) หรือกระทั่งคาร์ลสรูห์ (ค.ศ. 1984-1985) ก็ไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งเหมือนตอนโม่แข้งกับไฟร์บวร์กได้ เหตุนี้จึงทำให้ชื่อของโยอาคิม เลิฟ ไม่ถูกจดจำในคราบนักฟุตบอลที่โด่งดังเฉกเช่นโค้ชคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากแขวนสตั๊ด ด้วยโอกาสจากทัพ “หมาป่าเมืองเบียร์” สตุ๊ดการ์ท ที่มอบให้เลิฟ ได้เข้ามาเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตเฮดโค้ชลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลก หลังจากที่เคยคว้าน้ำเหลวจากการเป็นนักฟุตบอลเมื่อทศวรรษ 80

เลิฟ คุมทัพ “หมาป่าเมืองเบียร์” เพียง 2 ฤดูกาล ( 1996-1997 และ 1997-1998 ) ก็ฉายแววการเป็นกุนซือเพชรเม็ดงามคนใหม่แห่งวงการลูกหนัง ซึ่งเจ้าตัวฝากผลงาน 2 ฤดูกาล เอาไว้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย และรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย

หลังย้ายออกจากสตุ๊ดการ์ท ฝันร้ายสมัยที่เคยเกิดขึ้นขณะที่เป็นนักเตะของเฮดโค้ชรายนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ได้รับโอกาสคุมทัพทั้ง เฟร์เนบาห์เช่ ยอดทีมแห่งแดน “ไก่งวง” คาร์ลสรูห์ อดีตต้นสังกัดเดิมของเจ้าตัว แต่ก็คว้าน้ำเหลว ปราศจากโทรฟี่ตลอดระยะเวลาการคุมทัพ และถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือในที่สุด ถัดจากนั้นไม่นาน เลิฟ ตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศออสเตรีย และคว้าถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือมาได้ เมื่อสามารถพาต้นสังกัดในขณะนั้นอย่างไทรอล อินนส์บรัค คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2001-2002

โยอาคิม เลิฟ ได้เริ่มงานใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้งในโทรฟี่ฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลกใหญ่ อย่างศึกฟุตบอลโลก 2006 กับโอกาสเป็นมือขวาของ เจอร์เก้น คลินส์มันน์ เฮดโค้ช ในทัพ “อินทรีย์เหล็ก” ณ ขณะนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากเยอรมันค้วาอันดับที่ 3 ในรายการนี้ อย่างเหนือความคาดหมายของสื่อในยุโรปหลายสำนัก พร้อมทั้งสร้างนักเตะสายเลือดใหม่มาประดับวงการฟุตบอลเยอรมันได้อย่างมากมาย

ถัดมา เลิฟ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชอย่างเต็มตัวและประเดิมตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการกับรายการฟุตบอลใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างศึกยูโร 2008 ต่อด้วยศึกฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 ตามลำดับ ด้วยความกดดันจากแฟนบอล และสื่อในประเทศที่มากขึ้น การคว้าเพียงรองแชมป์ยูโร 2008 ตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012 คงไม่เพียงพอ
ด้วยความตั้งใจจริงถึงขั้นพร้อมแลกความผิดพลาดด้วยตำแหน่ง ทำให้เลิฟตั้งเป้าหมายในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่แดนแซมบ้า ว่า ถ้าตนไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้เขาจะลาออกทันที

จนกระทั่งเลิฟ ปลดระวางความกดดันของตนและชาวเยอรมันได้สำเร็จ หลังจากคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี โดยการเอาชนะอาร์เจนติน่า 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
การเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ของนักเตะทีมชาติเยอรมันดูจะเป็นอุปสรรคต่อการทำทีมของโยอาคิม เลิฟ อยู่ไม่น้อย เนื่องจากฟอร์มการอุ่นเครื่องของทัพ “อินทรีเหล็ก” ดูจะไม่สู้ดีนัก หลัง 2 นัดล่าสุด เสมอ ทัพ “กระทิงดุ” 1-1 ต่อด้วยพ่าย ทัพ “เซเลเซา” 0-1

ถึงแม้ว่าฟอร์มในช่วงหลังของทีมแชมป์โลกปี 2014 จะไม่ค่อยน่าชื่นชม แต่ด้วยความเป็นเยอรมัน ระบบที่การเล่นที่ลงตัวจนถูกนำไปเป็นต้นแบบให้กับหลายทีมทั้งในยุโรป และเอเชีย ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินฝันกับการคว้าตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

ทั้งนี้ผู้กำหนดฝัน ด่านแรกของทีมชาติเยอรมันคือเพื่อนร่วมกลุ่ม เอฟ อย่าง เม็กซิโก สวีเดน และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

….

…..

สตาร์เด่น : โธมัส มุลเลอร์

AGIF / Shutterstock.com

การทำประตูที่เฉียบคมโดยเฉพาะในเขตโทษ พร้อมทั้งสัญชาตญาณกองหน้าเต็มเปี่ยม เขามักอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ แปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมให้เห็น หลังจากที่ โธมัส มุลเลอร์ เถลิงคว้าดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2010 ด้วยผลงาน 5 ประตู พร้อมพ่วงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ ทำให้ชื่อของโธมัส มุลเลอร์ เริ่มติดหู และเป็นที่ประจักษ์ให้แฟนบอลทั่วโลกรับรู้ว่าเด็กคนนี้มันมีของ

มุลเลอร์ใช้เวลา 10 ฤดูกาล กับการสวมบทบาทปีกขวา กองหน้าตัวต่ำ และกองหน้าตัวเป้า ให้กับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค โดยพังประตูคู่แข่งไป 192 ประตู จาก 475 นัด นับทุกรายการ ซึ่งสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีช ที่ดาวยิงทีมชาติเยอรมันรายนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการพาสโมสรบาเยิร์น มิวนิค คว้า แชมป์ลีก 7 สมัย รวมถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย

ในระดับทีมชาติก็ไม่น้อยหน้า เจ้าตัวสามารถพาทีมชาติเยอรมัน ก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 เป็นหนแรกในรอบ 24 ปี ของประวัติศาสาตร์ลูกหนังเยอรมัน และประดับผลงานส่วนตัวเอาไว้ด้วยการทำ 5 ประตู รางวัลระดับชาติ, สโมสร และเกียรติยศส่วนตัว เหล่านี้ ทำให้ มุลเลอร์ คงเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าเขาคนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการเปลี่ยนบทบาทจากนักเตะดาวรุ่งสู่ยอดเยี่ยมการเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาต้องการอีก 6 ประตูในฟุตบอลโลก เพื่อลุ้นก้าวขึ้นไปทาบสถิติ ดาวยิงสูงสุดในฟุตบอลโลก ของ  มิโรสลาฟ โคลเซ่ ที่ทำไว้ที่ 16 ประตูอีกด้วย

เยอรมันจะสามารถฝ่าด่านหักปากกาเซียนผ่านยอดทีมทั้งหลายในศึกครั้งฟุตบอลนี้ได้หรือไม่ ขุนพลทัพ “อินทรีย์เหล็ก” ที่นำโดยหัวใจสำคัญในแนวรุกอย่างโธมัส มุลเลอร์ รวมถึงเพื่อนร่วมทีม และสตาฟฟ์โค้ช ทุกคน จะเป็นผู้พิสูจน์ให้แฟนบอลทั่วโลกได้ประจักษ์ในอีกไม่ถึงเดือนนับจากนี้

 

….

…..

“PUP Tuntat”

โปรแกรมการแข่งขัน พร้อมช่องถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2018

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้