TRUE OPINIONS : "ซามูไร บลู" สุดยอดความภาคภูมิใจแห่งลูกหนังเอเชีย ... by "จอน"

หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาว ณ เอคาเตรินเบิร์ก อารีน่า ในเกมนัดที่สองของรอบแรก ศึกเวิลด์คัพ 2018 กลุ่ม เอช ระหว่าง ทีมชาติญี่ปุ่น ที่เสมอกับ “สิงโตแห่งเตรังก้า” เซเนกัล อย่างสนุก 2-2 ก็ได้สร้างความประทับใจกับทั้งผู้ชมในสนาม รวมถึงแฟนบอลที่ชมการแข่งขันจากการถ่ายทอดสดทั่วโลกอีกนับร้อยนับพันล้านคน

สองทีมจากสองทวีปที่ไม่เคยได้แชมป์โลก หรือจะพูดให้ละเอียดกว่านี้ พวกเขา คือ สองทีมจากสองทวีปที่ไม่เคยแม้แต่จะเคยได้สัมผัสการเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยซ้ำ

แต่จากผลชัยชนะนัดแรกของทั้งคู่ และการเสมอกันในคิวที่ต้องพบกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาสามารถเขี่ยทีมจากยุโรปให้พ้นทางไปได้แล้ว 1 ทีมในกลุ่มนี้ นั่นคือ “โปแลนด์” ทั้งที่เป็นทีมที่มีแรงกิ้งฟีฟ่าดีสุดของกลุ่มด้วยซ้ำ (โปแลนด์ อยู่อันดับ 8 ของโลก)

และหากลงดีเทลเพียงแค่ทีมชาติญี่ปุ่น… นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ เมื่อปี 2002 ที่ไม่แพ้ในการลงสนามสองเกมแรก และยังสามารถขึ้นนำเป็นจ่าฝูง (ร่วม) ของกลุ่มได้จนถึงจบเกมนัดที่สอง แถมยังเป็นครั้งแรกที่สามารถยิงได้สองเกมติดต่อกันในสองเกมแรกของเวิลด์คัพ รอบแบ่งกลุ่มด้วย และยิงไปแล้วถึง 4 ประตูด้วยกัน มากที่สุดหากนับแค่สองเกมแรก (มากกว่า ปี 2002 ที่เป็นเจ้าภาพ โดยครั้งนั้น ทีมชาติญี่ปุ่นเปิดสนามสองเกมแรก ยิงได้ 3 ประตู และเก็บได้สี่แต้ม ด้วยการเสมอเบลเยียม 2-2 กับ ชนะ รัสเซีย 1-0)

ย้อนกลับไปราวๆ สองเดือนเศษ คงไม่มีใครคิดว่า ทีมชาติญี่ปุ่น จะฟอร์มดีขนาดนี้ เพราะพวกเขาถูกมองว่าจะทำผลงานได้ย่ำแย่ และน่าจะจบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเฮ้ดโค้ชกะทันหัน หลังปลด วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช กุนซือชาวบอสเนียออกจากตำแหน่ง พร้อมตั้ง อากิระ นิชิโนะ ขึ้นคุมทีมแทน และมีผลงานช่วงอุ่นเครื่องที่ไม่ได้เรื่อง แพ้รวด 3 เกม จนกระทั่งนัดอุ่นเครื่องสุดท้ายที่ชนะ ปารากวัย 4-2 ก่อนหน้าเปิดเวิลด์คัพ เพียง 2 วันเท่านั้น ที่ทำให้สมดุลของทีมดูดีขึ้น

อะไรบ้างที่ทำให้พวกเขามาไกลขนาดนี้ และยังมีหวังในการผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ โดยขอเพียงแค่เสมอกับ โปแลนด์ ในเกมสุดท้ายเท่านั้น ก็จะสร้างประวัติศาสตร์ได้อีกครั้ง…

วิ่งให้เยอะ ช่วยกันเล่น ช่วยกันไล่
ทีมชาติญี่ปุ่น มีอันดับโลกอยู่ที่ 61 ในปัจจุบัน ซึ่งมากกว่าอันดับของอีกสามทีมรวมกันด้วยซ้ำ โปแลนด์ (8), โคลอมเบีย (16) และ เซเนกัล (27) แล้วอะไรหล่ะที่จะทำให้ทีมจากแดนปลาดิบมีโอกาสผ่านเข้ารอบ ทั้งที่ยากเย็นเหลือเกิน

ใช่แล้ว!! ความฟิตยังไงหล่ะ วิ่งให้เยอะสิ ช่วยกันเล่นสิ ช่วยกันไล่ไงพวก!!

สองเกมผ่านไป ญี่ปุ่น เคลื่อนที่รวมกันทั้งทีมไม่เคยต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อแมตช์ โดยเกมแรก พวกเขาวิ่งไป 101 กิโลเมตร ส่วนโคลอมเบีย วิ่งทั้งหมด 93 กิโลเมตร ต่อมาในเกมที่สอง พวกเขาต้องพบกับ สุดยอดทีมเจ้าความฟิตจากแอฟริกา อย่าง เซเนกัล ซึ่งวิ่งไปเมื่อคืน 102 กิโลเมตร แต่ทีมชาติญี่ปุ่น ก็ยังวิ่งมากกว่าอยู่ดี ด้วยการเคลื่อนที่ไปทั้งหมด 105 กิโลเมตรเลยทีเดียว

เคลื่อนที่เยอะ ได้บอลเยอะ และต้องจ่ายบอลให้แม่น
การเคลื่อนที่เข้าหาบอลเยอะ การเพรสซิ่งเกมบุกคู่แข่ง การวิ่งทำทาง และการเคลื่อนที่เพื่อให้เพื่อนเล่นง่าย รวมถึงความขยัน ทำให้พวกเขาได้รับสิ่งที่ต้องการ นั่นคือ การครองบอลที่มากกว่า จนทำให้ได้มาซึ่งผลลัพท์ที่ต้องการ นั่นคือ 4 แต้มจาก 2 เกมแรก โดยทั้งสองเกม จากการทำงานหนักของทีมชาติญี่ปุ่น ทำให้พวกเขาครองบอลมากกว่าคู่แข่งทั้งสองนัด (ญี่ปุ่น 59% – 41% โคลอมเบีย และ ญี่ปุ่น 54% – 46% เซเนกัล) และในจำนวนการครองบอลนี้ ทัพซามูไรบลู มีจำนวนการจ่ายบอลที่มากกว่าคู่แข่งทั้งสองนัด และมีเปอร์เซ็นต์การจ่ายบอลสำเร็จมากกว่าคู่แข่งอีกด้วย ซึ่งการจ่ายบอลสำเร็จที่มีเปอร์เซ็นต์สูงขนาดนี้ ย่อมเกิดจากการฝึกฝน และความเข้าใจกันของผู้เล่นอย่างสูงมาก

จำนวนการจ่ายบอล นัดระหว่าง ทีมชาติญี่ปุ่น กับ โคลอมเบีย
ญี่ปุ่น – จ่ายบอลทั้งหมด 565 ครั้ง สำเร็จ 491 ครั้ง (87 % การจ่ายบอลสำเร็จ)
โคลอมเบีย – จ่ายบอลทั้งหมด 352 ครั้ง สำเร็จ 290 ครั้ง (82 % การจ่ายบอลสำเร็จ)

จำนวนการจ่ายบอล นัดระหว่าง ทีมชาติญี่ปุ่น กับ เซเนกัล
ญี่ปุ่น – จ่ายบอลทั้งหมด 449 ครั้ง สำเร็จ 376 ครั้ง (84 % การจ่ายบอลสำเร็จ)
เซเนกัล – จ่ายบอลทั้งหมด 338 ครั้ง สำเร็จ 267 ครั้ง (79 % การจ่ายบอลสำเร็จ)

ประสบการณ์ในยุโรปช่วยท่านได้
11 ผู้เล่นตัวจริงของทีมชาติญี่ปุ่น ในสองเกมที่ผ่านมา ซึ่งจัดทัพเหมือนกัน ปรากฏว่า เล่นในลีกยุโรปถึง 10 คน โดยแบ่งเป็น ลีกเยอรมัน 4 คน, ลีกสเปน 2 คน, ลีกฝรั่งเศส 2 คน, ลีกตุรกี 1 คน, ลีกอังกฤษ 1 คน ซึ่งมีเพียง เกน โชจิ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ วัย 25 ปี จาก คาชิม่า อันท์เลอร์ส คนเดียวเท่านั้น ที่มาจาก เจ ลีก ญี่ปุ่น

นับว่าเป็นทีมที่มีตัวผู้เล่นอยู่ในยุโรปมากที่สุด ของทีมจากทวีปเอเชีย ซึ่งการลงเล่นในลีกระดับสูง ทำให้พวกเขารู้วิธีการจัดการกับเหล่านักเตะระดับท็อป ไม่มีความประหม่า ไม่ตื่นเต้น และไม่กังวลกับการเจอทีมที่ดูเหนือกว่า

ไม่มีซูเปอร์สตาร์
ถ้าหากมองในระดับเอเชีย พวกเขาอาจจะเป็นทีมที่อุดมด้วยซูเปอร์สตาร์ที่โลดแล่นในลีกยุโรป แต่เมื่อก้าวขึ้นไปเล่นระดับโลกแล้ว ทีมชาติญี่ปุ่น ก็คือทีมที่ไม่ได้มีนักเตะระดับเวิลด์คลาสในปัจจุบันเลย ฉะนั้น การไม่มีซูเปอร์สตาร์ในระดับโลกของพวกเขา กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี เมื่อทุกคนไม่มีใครต้องแบกรับความคาดหวังไว้ที่คนเดียว ไม่ต้องกดดันคนเดียว และที่สำคัญ พวกเขาเดินลงสนามเป็นทีม เล่นเป็นทีมอย่างจริงๆ (ลองเทียบกับ เกาหลีใต้ ที่ฝากความหวังไว้กับ ซน เฮือง มิน ไว้มากเกินไป ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น)

คาแรคเตอร์ผู้ไม่ยอมแพ้
ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องที่ควรชื่นชมอย่างยิ่งของทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งอันที่จริง พวกเราก็ได้เห็นอยู่แล้วจากการรับรู้เรื่องวิถีชีวิตของพวกเขา ที่เป็นคนขยัน และไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ซึ่งทัพซามูไรบลู ก็โชว์ให้เห็นในเกมลูกหนังอีกครั้งเมื่อวานที่ผ่านมา หลังตามตีเสมอ เซเนกัล ได้สำเร็จ 2-2 ในช่วงท้ายเกม…

หากยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดยาว พวกเขาไม่เคยคิดยอมแพ้ ตามแบบฉบับเลือดซามูไร แม้ว่าจะมีสกอร์ที่ตามหลังก็ตาม นี่แหละ คาแรคเตอร์ที่ยอดเยี่ยม ที่ทุกทีมรองต้องมี!!

…

เหลืออีก 1 เกม เหลือเวลาอีก 90 นาทีเป็นอย่างน้อยที่พวกเขาจะโชว์ให้เห็นว่า “ทีมชาติญี่ปุ่น” กำลังก้าวข้ามผ่านการเป็นเต้ยทวีปเอเชีย ไปสู่ทีมระดับโลกได้แล้ว ด้วยการทะลุสู่รอบน็อคเอาท์ได้อีกครั้ง

และผมหวังว่า ทัพซามูไรบลูจะเขียนประวัติศาสตร์ลูกหนังที่ยอดเยี่ยมได้ทุกเกมที่เหลือนับจากนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่สำหรับชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นในนามความภาคภูมิใจของแฟนลูกหนังทวีปเอเชียทุกคน…

“จอน”

โปรแกรมการแข่งขัน พร้อมช่องถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2018

ดูฟุตบอลโลก 2018 ย้อนหลัง เต็มแมตช์  สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าทรู

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports