รีเซต
EXCLUSIVE : ความยากจน หยุดฝันผมไม่ได้ : "น้ำ" ธีรพัฒน์ เกตุศรี แข้งช้างศึก U12 ... by "บก.เก้น"

EXCLUSIVE : ความยากจน หยุดฝันผมไม่ได้ : "น้ำ" ธีรพัฒน์ เกตุศรี แข้งช้างศึก U12 ... by "บก.เก้น"

EXCLUSIVE : ความยากจน หยุดฝันผมไม่ได้ : "น้ำ" ธีรพัฒน์ เกตุศรี แข้งช้างศึก U12 ... by "บก.เก้น"
kentnitipong
4 กันยายน 2561 ( 19:36 )
576

ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาในเมืองกรุงฯ ความวุ่นวายบนท้องถนนทั้งผู้คน และเสียงแตร สังคมที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กหนุ่มวัยเพียงแค่ 12 ปีจากสุพรรณบุรีจะเข้าใจ ใครจะเชื่อว่าชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยมีของเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นทั่วไป ไม่มีแม้กระทั่งรองเท้าสตั๊ดเพื่อใส่ลงเล่นฟุตบอล กลับสามารถพัฒนาฝีเท้าของตัวเองจนก้าวมาเป็นตัวแทนของชาติที่มีประชากรกว่า 70 ล้านคนได้

จากความฝันที่จะมีธงไตรรงค์ติดตรงหน้าอกข้างซ้าย เขาเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง ได้เพราะความเชื่อมั่นว่า “ฟุตบอล” สามารถ “เปลี่ยนชีวิต” ที่เต็มไปด้วยความยากลำบากให้กลับมามีแสงสว่าง และรอยยิ้มของคนที่เรารักได้…

วันนี้ TrueID Sports มีโอกาสที่ดีมากๆ ที่จะได้พูดคุยกับเรื่องราวที่ผ่านคราบน้ำตา ความเจ็บปวด สู่โอกาส และจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ “น้ำ” ธีรพัฒน์ เกตุศรี เยาวชนในโครงการซีพีสานฝัน รุ่นที่ 2 ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี ไปลุยมหกรรมลูกหนังรายการใหญ่อย่าง Toyota Junior Football Clinic ถึงประเทศญี่ปุ่น

 

 

จุดเริ่มต้นของ “น้ำ” ธีรพัฒน์

“ผมเองเริ่มติดตามฟุตบอลตั้งแต่ราว 6-7 ขวบได้ครับ ตามเชียร์ทีมบ้านเกิดอย่าง สุพรรณบุรี เอฟซี มาโดยตลอด แต่ถ้าทีมต่างประเทศก็คงเป็น ลิเวอร์พูล ครับ ตอนนั้นผมเองยังเตะบอลตามประสาเด็กทั่วไป ไม่ได้คิดจริงจังว่าตัวเองจะต้องมาเล่นฟุตบอลแบบจริงจัง เล่นกับเพื่อนมาจนถึงอายุ 9 ขวบ ก็มีโอกาสได้ลงเล่นให้กับทีมโรงเรียน”

แม้ว่า “น้องน้ำ” จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปีของประเทศไทย แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่ ด.ช.ธีรพัฒน์ จะก้าวมายืนในตำแหน่งศูนย์หน้า จริงๆ แล้วเจ้าตัวเริ่มต้นด้วยตำแหน่งที่ใช้ทักษะฟุตบอลทุกอย่างเพื่อป้องกันประตูอย่าง “นายทวาร” มาก่อน

จุดเปลี่ยนจากการมองเห็นเพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ในวันนั้น ได้ปลุกสัญชาตญาณ และความคลั่งในการลั่นกระสุนใส่คู่แข่งในตัว พร้อมเปลี่ยนความคิดให้เด็กหนุ่มรายนี้ขอเปลี่ยนมาเป็น “นักล่าประตู” แทน

“ผมเริ่มจากตำแหน่งผู้รักษาประตูก่อนครับ (มียิ้มเล็กๆ ) ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอวันหนึ่ง ทีมโรงเรียนของผม (ณ ขณะนั้นคือ วัดสวนแตง) ได้ลงแข่งขันรายการของ ปตท. จังหวะที่เพื่อมผมทำประตูได้มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมตื่นเต้นกับประตูนั้นมากๆ จนเก็บเอามาคิด และตัดสินใจว่าผมอยากจะเล่นในตำแหน่งกองหน้า เพราะเรารู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้เห็นลูกบอลลอยไปกระทบตาข่าย”

การตัดสินใจในวันนั้นจากผู้รักษาประตูสู่การเป็นแนวรุกแบบเต็มตัว ได้เปลี่ยนชีวิตของเจ้าตัวขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป เพราะตำแหน่ง “ศูนย์หน้า” คือจุดที่ทำให้ ด.ช. ธีรพัฒน์ ได้งัดเอาศักยภาพ และทักษะลูกหนังในตัวออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

“จากนั้นผมย้ายไปที่โรงเรียนวัดตะลุ่มครับ ที่นี่ทำให้ผมได้เผชิญกับโลกฟุตบอลที่แข็งแกร่งขึ้น ตัวผมเองก็ต้องกระโดดขึ้นมาเล่นในรุ่น 12 ปี ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุสักสิบขวบได้ เรียกได้ว่าข้ามรุ่นมาตลอดครับ (ยิ้ม) ถามว่ามันยากมั๊ย ยากครับเวลาที่เราต้องเจอกับคนที่ตัวโตกว่าในสนาม แต่ถ้าเราอยากจะแกร่ง เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่าอายุให้ได้ ผมก็เลยพยายามทำให้ดีที่สุดในทุกๆ ครั้งที่ได้รับโอกาส”

ชีวิตติดลบ สู่เส้นทางฟุตบอลเต็มตัว เพื่อครอบครัว

จากหนึ่งเป็นสอง จากเก้าเป็นสิบ ประตูแล้วประตูเล่าที่ “น้องน้ำ” ทำได้ ทำให้หลายๆ คนเริ่มเห็นแววความเป็นเพชรฆาตในตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้จนเจ้าตัวเองก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เหมือนกัน แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเส้นทางของเขาหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ

“ความยากจน” คืออุปสรรคที่คอยเข้ามาทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจน้องน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบากในการใช้ชีวิต สตั๊ดที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของบุพการี ต้องอาศัยติดรถเพื่อเดินทางไปคัดตัวตามที่ต่างๆ เพียงลำพัง รวมถึงการมาคัดโครงการ ซีพี สานฝัน ปันโอกาส “ปั้นเยาวชนเข้าสโมสรฟุตบอลอาชีพ” รุ่น 2

“ครอบครัวของผมมีฐานะยากจนครับ” น้องน้ำบอกกับผมแบบตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม แม้ว่ามันอาจจะเป็นดูเป็นคำที่ฟังแล้วเจ็บปวด แต่หนุ่มน้อยคนนี้ก็มีหัวใจที่แข็งแกร่งพอที่จะยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงโดยไม่ปฏิเสธ

“พ่อผมทำอาชีพรับจ้างทั่วไปครับ ไปเป็นลูกมือรับติดตั้งแอร์ ล้างแอร์อะไรประมาณนี้ครับ แต่ที่ผมเป็นห่วงพ่อมากๆ คือ พ่อมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางครั้งก็ปวดเท้าจนเดินไม่ได้ จนผมเองต้องหยุดเรียนเพื่อดูแลอาการป่วยของคุณพ่อที่บ้าน ส่วนคุณแม่ขายลูกชิ้นปิ้ง รายได้แต่ละวันไม่แน่นอน ในครอบครัวยังมีสมาชิกอีกหนึ่งคนคือ น้องชายของผมเองครับ ตอนนี้ก็อายุราวๆ 5 ขวบได้” น้องน้ำพูดถึงภาระที่ทางครอบครัวต้องแบก แถมยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และรายได้ที่ไม่แน่นอนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของครอบครัวเกตุศรี เฉกเช่นเดียวกับคำดูถูกเหยียดหยามที่ถาโถมเข้าใส่ราวกับพายุพัดโหมกระหน่ำ จนบางครั้งเด็กชายที่วัยยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนี้ก็มีท้อเหมือนกัน

“ความยากจน คำดูถูก เป็นสิ่งที่ผมต้องเผชิญมาตลอดครับ เราเห็นพ่อแม่ลำบาก ยอมเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อหารายได้มาจุนเจือเลี้ยงดูเรา ผมเห็นอย่างงั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร เลยอยากช่วยครอบครัวครับ จะทางไหนยังไงก็ได้ สุดท้ายเลยมาเล่นฟุตบอล เพราะผมเชื่อมาตลอดว่า ฟุตบอลเปลี่ยนชีวิตได้ ฟุตบอลสามารถทำให้ครอบครัวมีฐานะที่ดีขึ้น”

แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายเหมือนกับที่พูดครับ เพราะเมื่อก่อนผมยังไม่มีแม้แต่ลูกบอลเลยด้วยซ้ำ บ้านเราไม่มีเงินที่จะซื้อ ไม่สามารถซื้ออะไรได้ทั้งนั้น นั่นคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ

“แต่วันหนึ่ง พ่อของเพื่อนมาส่งที่บ้าน เขาเห็นว่าที่บ้านเราไม่มีลูกบอล เห็นแล้วเขาคงเกิดความสงสารครับ ก็เลยให้ลูกฟุตบอลผมมาลูกหนึ่งครับ ดีใจมากๆ ครับ ก็เลยอยากจะตอบแทนความเมตตาจากพ่อของเพื่อนด้วยการตั้งใจซ้อมครับ แต่ว่าก็ยังขาดรองเท้าสตั๊ดอยู่ดี ตอนนั้นสตั๊ดก็แพงมากครับ อย่างที่ทราบว่าบ้านเราไม่มีเงิน แต่คุณพ่อผมเห็นความตั้งใจว่าเรามีฝัน เรามุ่งมั่น คุณพ่อก็เลยไปซื้อรองเท้าตามตลาดนัดมาใส่แทนครับ จำได้เลยครับว่ารองเท้าคู่นั้นราคา 380 บาท เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดชิ้นหนึ่งในชีวิตผมเลยก็ว่าได้”

“ทุกอย่างมันไม่ได้ราบรื่น เพราะตอนนั้นตัวผมเองอาจจะยังเหยาะแหยะ ไม่ได้ตั้งใจ คุณพ่อก็หยิบรองเท้าคู่ 380 บาทนี่แหละ ถือมายืนอยู่หน้าบ้านแล้วถามว่า ถ้าไม่รักฟุตบอลจริง ก็เลิกไปเลย วันนั้นคุณพ่อจะเผารองเท้าทิ้งอยู่แล้ว ผมก็นั่งร้องไห้ไม่รู้จะทำยังไง ทุกอย่างมันมืดไปหมด แต่ก็มีบางอย่างที่มาดึงสติฉุกคิดขึ้นมาได้ในหัวว่า ถ้าเกิดเราเลิกเล่นฟุตบอลแล้วเราจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวเรายังไง หากเราตั้งใจขึ้นมาตอนนี้มันยังไม่สายนะ เราต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเลี้ยงครอบครัวได้ ผมตัดสินใจเดินไปบอกพ่อว่าขอโอกาสอีกครั้ง พ่อก็เลยไม่เผารองเท้าทิ้งแล้วบอกผมว่า ต้องตั้งใจให้มากๆ นะลูก แล้วก็สู้ต่อไป”

“หลังจากนั้นชีวิตผมอุทิศให้กับฟุตบอลเลยครับ (หัวเราะ) พอหลังเลิกเรียนเราก็วิ่งที่โรงเรียน ทุกวันวันละ 6 กิโลเมตรหลังเลิกเรียน เพื่อเรียกแรง ความแข็งแกร่ง เชื่อฟังโค้ช พยายามหาจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตครอบครัว ผมต้องเล่นฟุตบอลให้ดีที่สุด”

 

ดูถูก เหยียดหยาม

ในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย เรื่องราวอุปสรรคหลายๆ อย่างได้ถาโถมเข้ามากระหน่ำ คำดูถูก และแรงเสียดทานจากคำพูดของคนที่ไม่ได้รักเรา หลายๆ คนที่มีความสามารถล้วนแต่หลุดจากวงโคจรของความสำเร็จเพียงเพราะจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ แต่เรื่องแย่ๆ เหล่านั้นไม่สามารถทำลายฝันของ ธีรพัฒน์ ไปได้ เพราะเด็กคนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกินวัย จนธรรมชาติได้สร้างภูมิต้านทาน กลายเป็นวัคซีนชีวิตที่ติดตัวไปตลอดทั้งชีวิต

ความยากลำบากที่ “น้องน้ำ” ได้เล่าให้ฟังส่วนหนึ่งนี้ ถือเป็นจุดที่หลายๆ คนคงจะไม่เคยพบมาก่อน จนบางอารมณ์ระหว่างการสัมภาษณ์ ผมอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ได้บั่นทอนกำลังใจของเจ้าตัวหรือไม่ กับชีวิตที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ เช่นนี้…

“ตอนนั้นเล่นบอลลีกของทีมเทศบาลครับ ก็มักจะมีบางคนแถวๆ บ้าน บางคนก็เป็นครูบาอาจารย์ที่เข้ามาต่อว่า มาดูถูกผมด้วยคำพูด ด้วยการกระทำตอนผมยังไม่ติดกรุงเทพคริสเตียน ยังไม่ได้มาคัดโครงการซีพี สานฝันฯ จำได้เขาเคยพูดดูถูกว่า น้ำหน้าอย่างเนี่ยเหรอจะไปคัดโครงการใหญ่ ไม่มีวันได้เป็นนักฟุตบอลหรอก”

“ก็ไม่ได้ถือสาเขานะครับ เรามองแค่ว่า ยิ่งโดนดูถูก ก็ยิ่งต้องพัฒนา เราต้องอย่าเอาคำดูถูกมาใส่ใจ เอาคำดูถูกมาเป็นแรงผลักดันดีกว่า ผมเลยตั้งใจให้มากกว่าคนอื่น จนในที่สุดผมสามารถได้เล่นฟุตบอลให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้วเรามาติดทีมของโตโยต้าอีก เราสามารถลบคำดูถูกของเขาได้ แต่ว่าตัวของเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าเราสามารถทำได้”

“บางทีก็คิดนะครับว่า ทำไมเราไม่มีเหมือนคนอื่น แต่ผมบอกตัวเองตลอดว่า เราท้อได้แต่อย่าถอยครับ เราต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ถ้าเกิดเราหันหลังกลับไป ความฝันที่อยากจะช่วยครอบครัวก็คงพังทลายหมด”

ซีพี สานฝัน ปันโอกาส

“ผมเห็นประกาศรับสมัครโครงการ ซีพี สานฝัน ปันโอกาส ในอินเตอร์เน็ตครับ รู้สึกตื่นเต้นเพราะนี่คือโครงการใหญ่ ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าเราพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโครงการนี้ได้ เราตั้งใจเล่นฟุตบอล ตั้งใจเรียน ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะกรุงเทพคริสเตียน เป็นโรงเรียนระดับชั้นนำของประเทศ เด่นทั้งเรื่องการศึกษา และกีฬาโดยเฉพาะ ฟุตบอล”

“แต่ก่อนจะคัดตัว ผมเองเคยมีแผลในใจตอนสิบขวบ ผมไปคัดตัวที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี แต่ไม่ติดครับ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายออกมาว่ายังไง เสียใจ เสียดาย ถามว่าท้อมั๊ยมันก็มีครับ แต่เราจะจมอยู่กับความผิดหวังนานไม่ได้ พอมาเจอโครงการซีพี สานฝัน ปันโอกาส ผมลบความผิดหวังทุกอย่างออกจากหัวไปก่อนเลยครับ ผมบอกตัวเองอย่างเดียวว่าเราต้องมุ่งมั่น เราต้องทำให้ได้ เพื่ออนาคตของครอบครัว”

หลังเฟ้นหานักเตะฝีเท้าดีทั่วประเทศนานกว่า 2 เดือน จากยอดสมัครกว่า 5,000 คน คัดเหลือ 80 แข้งระดับหัวกะทิจากทั่วประเทศ มีเพียง 20 คนเท่านั้นที่จะถูกรับเลือกเข้าสู่โครงการ ซีพี สานฝัน ปันโอกาส รุ่นที่ 2 แน่นอนทุกคนที่ผ่านเข้ามาถึงการคัดตัวรอบสุดท้ายล้วนแต่เป็นแข้งระดับพระกาฬที่มีฝีเท้าแกร่งเกินวัย จริงอยู่ที่ทุกคนล้วนแต่มีฝัน และเป้าหมายเดียวกัน แต่เด็กต่างจังหวัดอย่าง “น้องน้ำ” ไม่ได้กดดันตัวเองแต่อย่างใด เจ้าตัวคิดเพียงแค่อย่างเดียวคือ ทำให้เต็มที่ และดีที่สุด

จนกระทั่ง ชื่อของ “ธีรพัฒน์ เกตุศรี” ถูกประกาศออกมาเป็นหนึ่งในเยาวชนนักเตะตัวจริง 20 คนรอบสุดท้าย ที่จะได้รับโอกาสเข้ารับการฝึกทักษะ และเทคนิคการเล่นฟุตบอลอย่างมืออาชีพกับสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เติมเต็มความฝันสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต พร้อมๆ กับได้รับทุนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ถือเป็นก้าวสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนสู่เส้นทางนักเตะอาชีพอย่างที่ “น้องน้ำ” รอคอยมาตลอดทั้งชีวิต

“ดีใจมากๆ ครับพี่ ดีใจสุดๆ เลยครับ ที่รู้ว่าเรากำลังจะได้มีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่ดี ได้ฝึกฟุตบอลกับทีมระดับท็อปของประเทศ ได้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของทางบ้าน ภูมิใจมากๆ ครับ”

การตบเท้าสู่รั้วทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี หลังจากนั้นไม่นาน… ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วราวกับฝันไป สติเท่านั้นที่จะช่วยดึงเด็กหนุ่มจากสุพรรณบุรีรายนี้กลับสู่โลกความเป็นจริง และโฟกัสสเต็ปต่อไปที่กำลังเข้ามาในชีวิต ในฐานะตัวแทนของชาติ

“เมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วไปคัดรายการโตโยต้า เพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติชุดอายุไม่เกินอายุ 12 ครับ เราอาศัยเพื่อนไปเหมือนกัน ไปกับเพื่อนแค่ 2 คนครับ ตอนนั้นรู้สึกผมจะเป็นคนเดียวที่ไม่มีผู้ปกครองไปเขียนประวัติให้ ไปนั่งอยู่คนเดียว คนอื่นก็พอคัดเสร็จเขาก็จะมานั่งกัน แล้วก็ให้ ผู้ปกครองเขียนประวัติ แต่ว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ไม่มีผู้ปกครองไป แต่ไม่ได้คิดไรมากครับ เพราะเข้าใจเรื่องฐานะครอบครัวด้วย”

“ผมมาคัดรอบสุดท้ายที่สนามธูปะเตมีย์ ตั้งใจว่าเราจะต้องติดให้ได้จาก 99 คน เขาเอาแค่ 24 คน สุดท้ายชื่อผมโดนประกาศออกมาเป็นคนที่ 20 ดีใจมากๆ ครับ ไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้เลย จากเมื่อก่อนเราเคยเป็นแค่คนดูในทีวี แล้วอยากติดทีมชาติ พอได้เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติไทยชุด U12 มาถึงจุดนี้ได้ครอบครัวเราภูมิใจมากครับ”

daykung / Shutterstock.com

พี่เจ ชนาธิป ไอดอลตัวจริง

“ผมอยากจะเป็นเหมือนพี่เมสซี่เจ (ชนาธิป สรงกระสินธ์) เพราะพี่เจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องของความตั้งใจ อีกอย่าง เมื่อก่อนพี่เขาเองก็มีฐานะที่ค่อนข้างลำบาก รูปร่างก็เสียเปรียบกว่าทุกคนในสนาม แต่พี่เจก็ใช้ฟุตบอลสร้างทุกอย่างขึ้นมาเพื่อครอบครัว พี่เจไม่เคยท้อ พี่เจพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าความตั้งใจเท่านั้นที่เอาชนะได้ทุกสิ่ง ผมอยากเป็นพี่เจ และผมจะทำให้ได้”

ฝันทีละสเต็ป จาก U12 สู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ?

ขึ้นชื่อว่าการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า การได้สวมเสื้อทัพ “ช้างศึก” คือสิ่งที่เปรียบดั่งรางวัลชีวิต มันคือความภูมิใจที่ติดตัวคุณไปทั้งชีวิต… น้องน้ำ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน และหวังที่จะพัฒนาตัวเองในทุกๆ ก้าวของเส้นทางลูกหนังเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในจุดการเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย

“หลายคนอาจจะมองว่าอีกนานกว่าที่ผมจะไปถึงการเป็นนักฟุตบอลทีมชาติชุดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเวลามันเดินไปทุกวัน แถมยังเดินเร็วมาก ถ้าเราไม่เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ ผมก็จะไปถึงจุดที่ พี่มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา), พี่เจ (ชนาธิป สรงกระสินธ์) ทำไม่ได้ ผมต้องตั้งใจให้มาก เพราะการติดทีมชาติไทย คือที่สุดของความภูมิใจแล้วในฐานะนักฟุตบอล ผมอยากจะต่อยอดการติดทีมชาติไทยให้ได้นานที่สุด”

“แต่ผมไม่เร่งตัวเองนะครับ ผมโชคดีที่พี่ๆ ผู้ใหญ่หลายๆ คนคอยสอน คอยให้ข้อคิดว่า ทุกอย่างมันมีจังหวะของมัน เราแค่ทำให้ดีที่สุดเป็นสเต็ปๆ ไป อย่างเส้นทางทีมชาติไทย วันนี้เราก็ต้องทำผลงานในชุด U12 ให้ดีซะก่อน เพื่อโอกาสขยับขึ้นสู่ชุด U14 หรือ U16 ต่อไปเรื่อยๆ”

“ครอบครัว” กำลังใจสำคัญที่สุดในโลก

ไม่มีกำลังใจไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าอ้อมกอด รอยยิ้ม และคำพูดจากพระในบ้านอย่าง พ่อแม่ อีกแล้ว แน่นอนว่า “น้องน้ำ” คงไม่สามารถมีวันนี้ได้หากไม่มีพ่อแม่ที่คอยสนับสนุน คอยให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างในวันที่เราลำบาก จนมาถึงในวันที่ชีวิตเริ่มลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น และนี่คือความในใจที่เจ้าตัวอยากจะพูดถึงคนที่รักที่สุดอย่าง พ่อ และแม่…

“อยากขอบคุณพ่อแม่ครับที่คอยให้กำลังใจ เป็นแรงที่สนับสนุนที่สุดยอดตลอดมา เวลาไปที่ไกลๆ พ่อแม่ก็ยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามไปดู ไปให้กำลังใจผมตลอด ขอบคุณพ่อแม่จริงๆ ผมสัญญาว่าจะพาครอบครัวเราไปอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ ใครจะรู้ว่าพ่อแม่ผมนี่แหละที่คอยสอน คอยเป้นคู่ซ้อมสอนให้ผมแปบอล ฝึกโหม่ง จับบอลจากลูกกลางอากาศ ทั้งๆ ที่คุณพ่อป่วย หรือทักษะการยิงประตู ก็เป็นคุณแม่ผมเองที่คอยยืนเป็นผู้รักษาประตูให้ ถ้าผมประสบความสำเร็จ ความสำเร็จทั้งหมดนี้คือเครดิตของพ่อแม่ผมครับ”

“ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่มีความสุข นั่นคือเป้าหมายของผม” ธีรพัฒน์ เผยความรู้สึกถึงครอบครัว เบื้องหลังสำคัญที่ช่วยให้เจ้าตัวก้าวข้ามจากเด็กบ้านนอก สู่รั้วทีมชาติไทย U12

“สัญญาครับว่าจะไม่ทิ้งโอกาสทองแบบนี้ไปอย่างแน่นอน ผมจะตั้งใจซ้อม เรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ผมคิดอยู่เสมอว่าทุกอย่างมันไม่มีคำว่าสิ้นสุด เราสามารถพัฒนาฝีเท้าไปให้ดีกว่านี้ได้ เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เพื่อต่อยอดไปสู่การติดทีมชาติไทย และก้าวออกไปค้าแข้งที่ ญี่ปุ่น ให้ได้ครับ” ธีรพัฒน์ ทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ในวันนี้

ท่ามกลางความสำเร็จ โอกาส ทุกสิ่งที่กำลังวิ่งตรงมาหาเด็กหนุ่มจากสุพรรณบุรีราวกับว่าทุกอย่างกำลังสวยงาม แต่น้องน้ำยืนยันว่า ทุกอย่าง ณ ตอนนี้ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น มันยังไม่ใช่ปลายทาง ตนยังจะต้องมุ่งมั่นต่อไปเพื่อเปลี่ยนฝันให้กลายเป็นจริง…

ขอขอบคุณ Maven Stylish Hotel Bangkok ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้เราได้มีโอกาสทำความรู้จักกับน้องน้ำแบบสุด Exclusive มา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

DID YOU KNOW ?

นอกจาก “น้องน้ำ” ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี รายการ Toyota Junior Football Clinic แล้ว ยังมีเยาวชนในโครงการ ซีพี สานฝัน ปันโอกาส “ปั้นเยาวชนเข้าสโมสรฟุตบอลอาชีพ” รุ่น 2 อีกสองคนด้วยกันที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ (รวมเป็น 3 คน) โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. ด.ช. ธีรพัฒน์ เกตุศรี (น้องน้ำ)
2. ด.ช. นนทพัทธ์ พลอยมี (น้องเฟิร์ส)
3. ด.ช. ศุภณัฐ สุดาทิพย์ (น้องโบนัส)

น้องๆ ทั้งสามมีภารกิจเดินทางไปป้องกันแชมป์ Toyota International Junior Cup 2018 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 15-17 กันยายน ที่จะถึงนี้ ยังไงขอเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ กับจุดเริ่มต้นในเส้นทางลูกหนังที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ขอขอบคุณโครงการ ซีพี สานฝัน ปันโอกาส “ปั้นเยาวชนเข้าสโมสรฟุตบอลอาชีพ” รุ่น 2 รวมถึงสโมสรทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่คอยเป็นฟันเฟืองสำคัญที่หว่านเมล็ด และผลิตบุคลากรเพื่อพัฒนาวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่รากฐาน

ผมกับ “น้องน้ำ” เองเรามีสัญญาใจต่อกันแล้วครับ เราคุยกันว่า สักวันหนึ่งผมคงจะได้บินไปพูดคุยกับน้องอีกครั้ง ในวันที่ ดช.ธีรพัฒน์ ก้าวสู่การเป็นอีกหนึ่งนักเตะไทยที่ไปค้าแข้งถึงประเทศญี่ปุ่นตามที่เจ้าตัวใฝ่ฝันเอาไว้… แม้ว่าเส้นทางจะอีกไกล แต่คงไม่ผิดอะไรถ้าเราจะวางเป้าหมายไว้ให้ชัดเจน และมุ่งตรงไปด้วยความแน่วแน่

จำชื่อนี้ไว้ให้ดีครับ…
“น้ำ” ธีรพัฒน์ เกตุศรี

“บก.เก้น”

 

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้