รีเซต
TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 5 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 5 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 5 ... by "Mr.BOSTON"
Supanat
19 กันยายน 2561 ( 19:06 )
280

การนั่งเขียนคอลัมน์นี้ หลังจากฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จบไปแล้วนัดหนึ่ง ทำให้เราเห็นอะไรเพิ่มเกี่ยวกับภาพรวมของพรีเมียร์ลีก หลังจบสัปดาห์ที่ 5 มากขึ้น

อย่างที่ทราบกัน ว่า จากเมื่อก่อน ที่พรีเมียร์ลีก “โนสน โนแคร์” ทีมใหญ่ที่ไปเล่นในฟุตบอลสโมสรยุโรป ด้วยการจัดตารางให้เตะวันอาทิตย์ ส่งผลให้ทีมเหล่านั้นได้พักน้อย และทำผลงานดิ่งเหวจนค่าสัมปะสิทธิ์ยูฟ่าตกฮวบ และเกือบโดนอิตาลี แซงไป ทำให้ พรีเมียร์ลีก ต้องปรับโปรแกรมแข่งขันกันใหม่

ดังนั้น ถ้าสัปดาห์ไหน มี UCL วันอาทิตย์สุดสัปดาห์ก่อนหน้านั้น จะมีแต่บอล เล็ก ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงรอให้บอลจบทุกคู่ก่อน ถึงค่อยเขียนคอลัมน์ในสัปดาห์นี้ เพราะไม่อยากให้อะไรตกหล่นไปจริง ๆ

ลิเวอร์พูล แกร่ง…แต่บททดสอบ ยังไม่หมด

AP Photo/Tim Ireland

กลายเป็นรองจ่าฝูงไปเสียแล้ว สำหรับ ลิเวอร์พูล หลัง เชลซี เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ได้ (เดี๋ยวเราจะพูดกันในหัวข้อต่อไป) แต่กระนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเกมนี้ เป็นเกมที่พวกเขาโชว์ฟอร์มได้เกือบดีอีกเกม…ที่ว่าเกือบ เพราะเราพูดว่าดีได้ไม่เต็มปากเต็มคำ จากการไปปล่อยให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เกือบตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม (จริง ๆ คงเสมอไปแล้ว ถ้า พรีเมียร์ลีก มี VAR)

แต่กระนั้น การที่พวกเขาเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันเช่นนั้นไปได้ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ ว่าพวกเขามีดีพอในการลุ้นแชมป์ปีนี้ แต่บททดสอบของแชมป์ นอกจากฝีมือ หรือดวง หรือ การเอาตัวรอดนั้น ลิเวอร์พูล ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะ “สะดุด” ให้ดีด้วย

ไม่เคยมีทีมไหนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้โดยชนะ 100% และแน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ก็เช่นกัน ต่อให้แกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ต้องมีวันที่พลาด…วันที่เล่นไม่ดี ฟ้าไม่เป็นใจ หรืออะไรก็ตามทำนองนั้น ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้พวกเขาเสมอ หรือ อาจจะถึงแพ้เลยก็ได้

สิ่งที่พลพรรค “หงส์แดง” ต้องทำให้ได้คือ ลุกขึ้นในนัดต่อไปให่ได้ เพราะในฟุตบอลลีก เราเห็นแล้วว่า มันมีทีมที่สะดุดแล้วล้มยาวบ่อย ๆ ดังนั้น ในโปรแกรมหฤโหด ที่พวกเขาจะเจอต่อไปหลังจากนี้ อาจจะเป็นบททดสอบที่ดีที่สุดก็ได้

เชลซี ภาษีดีที่โปรแกรม

AP Photo/Alastair Grant

จริง ๆ แล้ว เชลซีก็ไม่ต่างจากลิเวอร์พูล ด้านบนเท่าไหร่ แต่สาเหตุที่ผมไม่คิดว่าเชลซี จะมีปัญหาแบบลิเวอร์พูล หรือ ต้องได้รับบททดสอบแบบเดียวกัน เพราะเกินครึ่งทีมของพวกเขาผ่านมันมาแล้ว (ในฤดูกาล 2016/17) ปีที่พวกเขาได้แชมป์นั่นเอง ทำให้คิดว่า ความกดดัน และอารมณ์เมื่อตอนสะดุดล้มเหล่านั้น น่าจะส่งผลกับ “สิงห์” น้อยกว่า “หงส์”

จากฟอร์มอันแข็งแกร่งในการเล่นงาน คาร์ดิฟฟ์ เรารู้ว่าพวกเขานี่แหละ จะเป็นอีกทีมที่ขึ้นมาลุ้นแชมป์ในปีนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ เชลซี ได้เปรียบทั้ง ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล คือเรื่องของโปรแกรม …ผมไม่ได้หมายถึง โปรแกรมลีก แต่ผมหมายถึง บอลยุโรป

“หงส์แดง” และ “เรือใบ” พวกเขาต้องเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับบรรดาทีมที่ดีที่สุดของแต่ละลีก ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขาต้องทุ่มกำลังอย่างมาก ในการจะไปต่อในแต่ละนัด …แต่ละรอบ ต่างกับเชลซี ที่เล่นใน ยูโรป้า ลีก ซึ่งพูดได้ว่า สโมสรที่พวกเขาจะเจอนั้น “คนละเกรด” และรับมือง่ายกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

เอาแค่นัดแรกก็พอ ลิเวอร์พูล เจอ เปแอสเช, แมนฯ ซิตี้ เจอ ลียง แต่ เชลซี เจอ พีเอโอเค …แค่นี้ก็พอจะเห็นภาพกันแล้ว

เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความที่ ความสำคัญ และ มูลค่า ของรายการมันต่างกัน เพราะ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นรายการที่ยังไงก็ “ต้องเอา” คือต้องสู้เต็มที่ ต้องลุ้นแชมป์ จะทิ้งไม่ได้ ต่างจากยูโรป้า ลีก ที่ถ้าจวนตัว จะตัดสินใจทิ้งได้ง่ายกว่า ดังนั้นในกรณีที่ เมาริซิโอ ประเมินแล้วว่า มีลุ้นแชมป์ลีก พวกเขาอาจจะ “ทิ้ง” ถ้วยนี้ก็ได้ เพราะถ้าตัดสินใจแบบนั้น จะยิ่งทำให้เชลซี ลดโปรแกรมเตะลง และมีตัวผู้เล่นพร้อมสำหรับบอลลีกมากขึ้น ต่างจาก 2 ทีมก่อนหน้านี้ เพราะ ชปล. มันทิ้งไม่ได้

ข้อนี้จึงถือเป็นข้อดีจากข้อด้วยในปีที่แล้วไปโดยปริยาย

แมนฯ ยูไนเต็ด ต่ำกว่าเรดาร์ ดราม่าเป็นเหตุ

AP Photo/Frank Augstein

ถ้าว่ากันตามตารางคะแนนแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รั้งอันดับที่ 8 ของตาราง มีคะแนนอยู่ 9 แต้ม เท่า ทีมอันดับ 6 และ 7 อย่าง สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล โดยทั้งหมด ตามหลังจ่าฝูงเชลซี อยู่ 6 คะแนน จริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นใช่ไหมครับ

แต่อย่างว่า สื่ออังกฤษ ก็ยังคงเป็นสื่ออังกฤษ พวกเขาเล่นข่าวของ โชเซ่ มูรินโญ่ หนักจนเราคิดว่า ยูไนเต็ด ต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤตแน่ ๆ ซึ่ง จริง ๆ มันก็ไม่ใช่

โอเค, อาจจะมีคนบอกว่า “ปีศาจแดง” ชนะไม่สวย แต่ถามจริง …ตั้งแต่จ้างมูรินโญ่ เข้ามาทำทีม แมนยู เคยชนะสวย ๆ สักกีนัด

ถ้าเราไม่ได้ตามกระแสข่าวจนหลงอยู่ในนั้นเกิดไป เราจะเห็นว่า เกมที่ชนะวัตฟอร์ด หรือย้อนกลับไป เกมที่ชนะเบิร์นลี่ย์ ฟอร์ม “ผี” ก็ประมาณนี้แหละ เปิดเกมบุกดีในตอนแรก/ยิงนำได้/ครึ่งหลังผ่อน/โดนบุก/รถบัส/แต่ก็ชนะ มันเป็นแบบนี้จริง ๆ ไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น อย่ามอง ยูไนเต็ด ว่าทีมเขากำลังแย่เหมือนที่สื่อพยายามประโคมครับ ทีมของมูรินโญ่ ยังมีเขี่ยวเล็บอยู่ ถึงมันจะไม่น่ากลัว (ปนน่าเบื่อ) แต่พวกเขาก็พร้อมจะล้มทุกทีมได้ แบบที่ล้ม ชิตี้ ในปีก่อน และก็พร้อมจะหงายหลัง แบบที่แพ้ ไบร์ทตัน นั่นแหละ

อาร์เซน่อล สูตรที่ลงตัวของ เอเมรี่

Owen Humphreys/PA via AP

อาร์เซน่อล น่ากลัวนะครับ ดีไม่ดีน่ากลัวพอ ๆ กับ ซิตี้, เชลซี หรือ ลิเวอร์พูล เลยด้วย…

ไม่รู้ว่าจะมีใครเห็นด้วยกับประโยคด้านบนสักกี่คน (ฮา) แต่ผมหมายความตามนั้น จริง ๆ นะ

จากเกมล่าสุด ที่พวกเขาชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-1 มันทำให้เรารู้อยู่ 2 อย่าง แน่ ๆ คือ เกมรุกของพวกเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ และ เอเมรี่ หาสูตรสมการการจัดทีมของเขาเจอแล้ว

สองเรื่องนี้ จริง ๆ ว่าพูดว่ามันคือเรื่องเดียวกันคงไม่ผิด เพราะมิดฟิลด์ ของทีมทำหน้าที่สนับสนุนกองหน้าได้ดี พวกเขาเลยส่งหน้าลงมา 2 คน หรือ เพราะพวกเขาส่งกองหน้าลงมา 2 คน กองกลางเลยสนับสนุนเกมรุกได้ดีผมก็ไม่ใคร่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ใจคือ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ลงคู่กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยัง แล้ว เวิร์ค แน่นอน

ซึ่งสูตรนี้เอง ที่ทำให้ทีมของ เอเมรี่ ชนะมาได้ใน 3 นัดหลังสุด ด้วยผล 4-2-3-1 โดยตามผัง โอบาเมยัง เล่นเหมือนปีก แล้ว ลากาแซ็ตต์ ยืนหน้าเป้า แต่เอาเข้าจริง เวลาเล่นมันเหมือน 4-4-1-1 ที่สองคนนี้ พลัดกันยืนเหน้าเป้าเสียมากกว่า

นี่คือสิ่งที่ เอเมรี่ ลองผิด ลองถูก มาตั้งแต่นัดเปิดสนาม กับ แมนฯ ซิตี้ แล้ว แต่เขาเพิ่งมาค้นพบมันในเกมที่ 3 กับ เวสต์แฮม แต่ถึงอย่างนั้น แผนนี้แหละ ที่จะพาให้อาร์เซน่อล ต่อกรกับบรรดาทีม Big 6 ได้ เพราะพวกเขาเจอสิ่งที่เขาทำได้ดีแล้วนั่นเอง

เวสต์แฮม ภาพลวงตาที่ว่าแย่

Peter Byrne/PA via AP

นี่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ผมเขียนมา ที่มีทีมนอกเหนือจาก big 6 ที่เข้ามาแทรงใน 5 เรื่องราวนี้ได้ แต่ในฐานะ ที่ผมดูเวสต์แฮมมาทุกนัด (ทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ) จึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจและคิดว่าน่าจะเล่าสู่กันฟัง

ถ้าไม่นับเกมเปิดฤดูกาลที่เล่นกันไม่เป็นสัปปะรด เวสต์แฮม เป็นทีมที่เล่นแล้วสู้ได้ทุกทีมมาตลอด ต่าสุดท้ายก็ต้องมาแพ้ไปแบบช้ำ ๆ ทุกสัปดาห์

จนวีคล่าสุดกับเอฟเวอร์ตัน แน่นอน ว่าสัปดาห์นี้ ทุกคนมองว่าพวกเขาเล่นได้ดีที่สุด ซึ่งก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ดีกว่านัดที่พวกเขาแพ้มากมายนัก ถ้าไปดูสถิติการจ่ายบอล ส่งบอล ครองบอล หรือการวิ่ง พวกเขาทำได้ใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ทำให้ลูกทีมของ มานูเอล เปเยกรินี่ ไม่มีคะแนนมาเลยก่อนหน้านี้ คือเรื่องของจังหวะจบสกอร์ และ จังหวะป้องกันไม่ให้คู่แข่งจบสกอร์เท่านั้น

และเมื่อพวกเขาแก้ปัญหาพวกนั้นได้ในเกมล่าสุด ผลมันก็ออกมาแบบที่ควรจะเป็นเสียที แล้วคราวนี้ มันจะมีผลเทางจิตวิทยาเรื่องความมั่นใจด้วย

ดังนั้นหลังจากนี้ อยากให้ลองจับตา เวสต์แฮมดูครับ เพราะพวกเขาอาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือ เป็นหลังมือเลยก็ได้

 

“Mr.BOSTON”

 

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้