รีเซต
TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 7 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 7 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 7 ... by "Mr.BOSTON"
Supanat
4 ตุลาคม 2561 ( 14:28 )
126

กลับมาเช่นเคย กับเรื่องราวที่เราเรียนรู้หลังจบเกมพรีเมียร์ลีกในสัปดาห์นี้ และหลังจากแมตช์เดย์ 7 ของลีกใหญ่อังกฤษ เราก็ได้จ่าฝูงทีมใหม่เป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่วน จ่าฝูงเก่าก็หล่นลงมาเป็นทีมอันดับ 2 หลังผลเสมอในเกม ซูเปอร์ บิ๊กแมตช์

นอกจากเรื่องราวของบรรดาทีมแย่งแชมป์ 3 ทีมที่ว่าไปแล้ว เรายังมีอีก 2 เรื่องร้อนที่ไม่ควรมองผ่านมาฝากกันด้วย ว่าแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านได้เลยครับ

วิกฤต ยูไนเต็ด

AP Photo/Tim Ireland

เกินไปไหมถ้าจะใช้คำว่า “วิกฤต” กับสถานการณ์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังพ่ายต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อวันเสาร์ แน่นอนแหละ ถ้าพวกเขาเป็น เอฟเวอร์ตัน หรือ เลสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 10 ของตารางพรีเมียร์ลีก หลังผ่าน 7 นัดก็คงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้…แต่นี่มัน ยูไนเต็ดนะ!

อันที่จริงแล้ว ไอ้ที่วิกฤตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องของฟอร์มการเล่นที่ไม่เอาอ่าว หรือ บรมห่วย ในเกมกับ “ขุนค้อน” หรือนะ ที่น่าเป็นห่วง แต่ปัญหาจริง ๆ มันอยู่ที่หลังบ้าน หรือ “ปัญหาภายใน” มากกว่า ที่ทำให้ “ปีศาจแดง” เป็นเช่นนี้

การงัดขอของ ปอล ป็อกบา และ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เกิดขึ้น ส่งผลร้ายแรงกว่าที่คิดนะครับ มันไม่ใช่ปัญหาของคน 2 คนด้วย ลองนึกภาพตามนะฮะ…

สมมุติคุณทำงาน แล้ว เพื่อร่วมงาน(ที่สนิทหรือไม่ก็ตาม) ทะเลาะกับบอสของคุณ ทะเลาะกันทุกวี่วัน เย็นชาใส่กันตลอดเวลา แต่คุณต้องทำเหมือนว่า เดี๋ยวมันก็จะดี แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ถามว่า ออฟฟิศนี้ น่าทำงานไหม…แน่นอน คำตอบคือ ไม่เลย…ไม่เลยแม้แต่น้อย

บรรยากาศในทีมของยูไนเต็ด ก็คงประมาณนี้ ล่าสุด ยิ่งมีการแบ่งทีม “เพื่อนป็อก” กับ “เลียขามู” ออกมาตามสื่อดังของอังกฤษอีกด้วย บอกเลยว่า “ไปกันใหญ่” แล้วล่ะ และแบบนี้ มันยิ่งทำให้ทีมฟื้นยากไปอีก แล้วปัญหามันจะไปจบตรงไหนก็ไม่รู้

รู้แค่…ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวกับซีเนดีน ซีดาน แรงเหลือเกิน…ก็เท่านั้นเองครับ

แล้วก็ถึงเวลาของ ซิตี้

Martin Rickett/PA via AP

ว่ากันตามตรง ไอ้นัดที่เสมอ วูล์ฟแฮมป์ตันน่ะ ผมเคยเขียนไปแล้ว ว่าพวกเขาแค่เจอ “วันซวย” เท่านั้นเอง ทั้งเสา, ทั้งคาน เหมือนมันต้นใหญ่เบ่อเร่อ ยิ่งเท่าไหร่ ก็ติด ส่วนมือของ รุย ปาทริซิโอ ก็เหมือนมีแม่เหล็ก ยิงเท่าไหร่ก็ยังไม่พ้นมือไปได้สักที แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อไม่มีคราวเคราะห์มายุ่งเกี่ยว ซิตี้ ก็ไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่สักที

ฟอร์มกับไบรท์ตัน ถึงยิงได้แค่ 2 ประตู แต่รูปเกมนี่ บอกได้คำเดียวว่า “ขาด” ครองบอล 80% ต่อ 20% ยิงรวม 20 ต่อ 2 ครั้ง เอาแค่ 2 อย่างนี้ก็คงพอนึกภาพออกแล้วมั่งครับ ว่ารูปเกม “เละ” กว่า “สกอร์” ขนาดไหน

ถึงแม้จะขึ้นเป็นจ่าฝูง แต่ “เรือใบ” ก็ยังมีคะแนนเท่า “หงส์แดง” อยู่ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นจ่าฝูงได้คือประตูได้เสียที่มากกว่าลิเวอร์พูลถึง 6 ลูก โดย 7 นัดที่ผ่านมา ซิตี้ ยิง 21 เสีย 3 เฉลี่ยต่อนัดพวกเขายิงได้นัดละ 3 ประตู ซึ่งยิ่งสถานการณ์การลุ้นแชมป์เป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ประตูได้เสียที่ดีกว่า มีค่าเท่ากับ “ครึ่งคะแนน” เลยทีเดียว

และ ซิตี้ ก็เข้าใจการเล่นบอลในพรีเมียร์ลีกดีพอ ที่จะเดินหน้าฆ่าทีมเล็ก ๆ ให้ตายสนิทชนิดไม่ผ่อนเกียร์ เพราะพวกเขารู้ว่า ประตูที่ได้เพิ่มมาอีกลูกหรือ 2 ลูกในแต่ละเกม มันมีค่าเท่าไหน และนี่คือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล มีไม่เท่า ซึ่งทำให้พวกเขาต้องลงมาไล่หลังอยู่ตอนนี้

อาร์เซน่อล น่ากลัวกว่าที่คิด

AP Photo/Tim Ireland

ตั้งแต่อาร์เซน่อล ชนะนัดแรกเหนือเวสต์แฮม ยูไนเต็ดได้ มันทำให้เชื่อมาตลอดว่า พวกเขาน่าจะชนะไปได้ยาว ๆ เพราะวันนั้นพวกเขาค้นพบ “สูตร” ในการเล่น ที่ส่ง อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ไปเล่นหน้าคู่กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยัง แล้วนั่นเอง

และมาถึงวันนี้ พวกเขายิงยาว กดชัยไป 5 นัด ติดต่อกันในลีกแล้ว และเป็นชัยชนะติดต่อกัน 7 เกม ในทุกรายการที่พวกเขาลงแข่งขัน ถ้าบอกว่า ไม่ร้อนแรงก็โกหกกันแล้ว จริงไหม?

แล้วถ้าใครได้ดูเกมกับ วัตฟอร์ด เมื่อสุดสัปดาห์ อาจจะมีบางคนมองว่า “ปืนใหญ่” มีดวงที่ได้ประตูจากการสงเคราะห์ของ เกร็ก แคธคาร์ท แต่ เราก็สามารถมองได้ว่า เป็นพวกเขาเองไม่ใช่เหรือ ที่บทอยู่ฝั่งเดียวจนสามารถบีบให้วัตฟอร์ดพลาดกันเองจนเสียประตู

นอกจากนี้ ทีมของ อูไน เอเมรี่ ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มากขึ้นเรื่อย ๆ กับพัฒนาการในทางที่ดีเป็นลำดับ จากแพ้เละ-แพ้เฉือน-ชนะ-ชนะขาด-ชนะ+คลีนชีต เหล่านี้ล้วนแสดงถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของอาร์เซน่อล เป็นอย่างดี

น่าเสียดายที่พวกเขาไปพ่ายมาใน 2 นัดแรก แต่ช่องว่าง 4 คะแนน กับ 31 นัดในลีก ใครจะกล้ากาชื่ออาร์เซน่อลทิ้งบ้างไหมล่ะ?

ลิเวอร์พูล ปีนี้ มีดีที่สำรองด้วย

AP Photo/Kirsty Wigglesworth

เหมือนจะเคยเกริ่น ๆ แตะ ๆ ถึงไปแล้ว กับขุมกำลังบนม้านั่งของลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนไป แต่ในเมื่อภาพในเกมกับเชลซีมันชัดเสียเหลือเกินแบบนี้ ก็อยากจะมาชี้ให้เห็นกันอีกรอบเช่นกัน

ซิมง มิโญเลต์, อัลแบร์โต้ โมเรโน่, โจเอล มาติป, นาบี เกอิตา, ฟาบินโญ่, เซอร์ดาน ซากิรี, และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ คือ 7 ผู้เล่นสำรองในเกมที่พบเชลซี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ทั้ง 7 คน สามารถลงมาแล้วทำประโยชน์กับทีมได้ทุกคนเมื่อเทียบกับตัวสำรองในสัปดาห์ที่ 7 ของฤดูกาล 2017-18 ที่เสมอนิวคาสเซิ่ล 1-1 ซึ่งประกอบไปด้วย ลอริส คาริอุส, เจมส์ มิลเนอร์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่, รักนาร์ คลาวาน, อเล็กซ์ อ็อคเลด-เชมเบอร์เลน, เอ็มเร่ ชาน, และ โดมินิค โซลันเก้ ก็ต้องยอมรับว่าดีกว่าเห็น ๆ

ตรงนี้เองที่สำคัญ ตัวสำรองที่เปลี่ยนเกมได้ รวมไปถึง แทนกันได้ เป็นคุณสมบัติสำคัญของทีมระดับแชมป์ และสิ่งนั้น “หงส์แดง” พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีในปีนี้

ไม่เชื่อ ลองไปดูลูกยิงของ “หริด” ดูอีกรอบก็ได้ครับ

หรือจะถึงเวลา อาซาร์ ได้บัลลงดอร์?

AP Photo/Kirsty Wigglesworth

ไม่ได้บอกว่า เอเด็ง อาซาร์ จะประสบความสำเร็จคแน่นอน แต่ทว่า เขามีโอกาสดีงามมาก ที่จะคว้าบัลลงดอร์ ในปี 2019 ได้

อาซาร์ อยู่ในอายุที่เป็นช่วง พีค ที่สุดของนักฟุตบอล เขามีเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยม มีโค้ชที่ดี และมีพัฒนาการที่โดดเด่น สังเกตได้จากการจบประตูใน 2 นัดที่พบกับลิเวอร์พูล ทั้งใน คาราบาว คัพ และ พรีเมียร์ลีก ลองย้อนกลับไป 3 ปี อาซาร์ ไม้ได้มีเทคนิคการจบสกอร์ที่ดีแบบนี้แน่นอน

นอกจากนี้ อาซาร์ ยังมีภาษีดีในการเก็บแรงไว้พีคในปีหน้าซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายที่จะตัดสินบัลลงดอร์ อีกครั้งด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องเจองานหนักในฟุตบอลยุโรปเหมือน ซิตี้, ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม หรือ ลิเวอร์พูล ทำให้งานเขาจะง่ายกว่า ในการพาทีมคว้ายูโรป้าลีก

เอาจริง ๆ บัลลงดอร์ นอกจากความสามารถนักเตะต้องโดดเด่นแล้ว ความสำเร็จของทีมก็สำคัญ ถ้าปีนี้ เชลซี จบด้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก, แชมป์ ยูโรป้า ลีก และได้บอลถ้วยอีกสักรายการ โดยที่ อาซาร์ เล่นได้อย่างโดดเด่น เชื่อว่า บัลลงดอร์ 2019 ไม่พ้นอาซาร์ แน่ ๆ

แล้วที่สำคัญคือ มันเป็นไปได้เสียด้วย…แบบนี้ ก็อยู่ที่ อาซาร แล้ว ว่าจะทำได้หรือเปล่า.

 

“Mr.BOSTON”

ดูบอลสดฟรี ไม่มีสะดุด ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับเน็ต 2GB ดูทรูไอดีฟรี เปิดทรูไอดีทุกวันรับฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ – 30 พ.ย.61  คลิกเลย

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้