TRUE TALK : "รางวัลแด่คนช่างฝัน" ขวบปีที่แสนวิเศษของ มุ้ยซัง, บุญจัง และ ชนาคุง ... by "จอน"
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2018 ที่พวกเราทุกคนเตรียมจะต้องบอกลาขวบปีที่กำลังผ่านพ้นไป เพื่อรับศักราชใหม่ที่กำลังจะหมุนมาถึง…
กว่า 300 วันที่ผ่านมา มันคงเป็นขวบปีที่แสนวิเศษสำหรับใครหลายคน จบการศึกษาเอย แต่งงานเอย เลื่อนขั้นการทำงานเอย มีแฟนแล้วเอย สมหวังในหน้าที่การงานเอย ไร้โรคภัยไข้เจ็บเอย
และแน่นอน ทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่สมดุล มีคนสุขก็ต้องมีคนทุกข์ หลายท่านก็อาจจะอยากผ่านปีปฏิทินปัจจุบันนี้ไปเร็วๆ ในช่วง 20 วันเศษๆ ที่เหลือ เพราะเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงขวบปีที่ผ่านมา
“ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อไปครับ”
ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันว่า มีนักเตะไทย จำนวน 3 คนที่ได้โอกาสไปเล่นฟุตบอล เจ ลีก ญี่ปุ่น ลีกที่ว่ากันว่า “แข็งแกร่ง” ที่สุดในทวีปเอเชีย นั่นคือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร, ธีราทร บุญมาทัน กับ วิสเซิ่ล โกเบ และ ธีรศิลป์ แดงดา กับ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า
ปัจจุบันทั้งสามรายก็ได้จบภารกิจตามล่าความฝันของตนเองในปีนี้เรียบร้อยแล้ว และแม้การเดินทางบนถนนลูกหนังอันแสนน่าตื่นเต้นนี้ของทั้งสามคน จะจบลงในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปี ผมเชื่อว่า มันคือรางวัลชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป มันจะอยู่ในความทรงจำของพวกเขา และแฟนบอลอย่างแน่นอน
พี่ใหญ่สุดอย่าง “มุ้ยซัง” ธีรศิลป์ แดงดา จบปีแรก และอาจจะเป็นปีเดียวของเขาในลีกญี่ปุ่น ด้วยการได้โอกาสลงสนามกับ “พลธนูม่วงทอง” ไป 32 เกมในลีก (ตัวจริง 13 นัด ตัวสำรอง 19 นัด) ทำได้ 6 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ และได้เล่นฟุตบอลถ้วยไปอีก 5 เกม และทำได้ 1 ประตู
“มุ้ยซัง” จารึกประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะไทยคนแรกที่ทำประตูได้ในลีกสูงสุดของญี่ปุ่น โดยพังสกอร์ได้ตั้งแต่เกมแรกที่ได้โอกาสลงสนาม ให้ทีมสามารถเอาชนะ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร 1-0 เมื่อต้นฤดูกาลที่ผ่านมา
อันที่จริง เขาน่าจะเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ได้สัมผัสการเป็นแชมป์ เจ ลีก ญี่ปุ่น ซะแล้ว ถ้าต้นสังกัดไม่แผ่วปลายเสียก่อน โดย 9 นัดสุดท้าย ทีมของมุ้ย เก็บได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น และทำให้ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ แซงคว้าแชมป์ไปได้แบบช็อกเล็กๆ เพราะซานเฟรซเซ่ นำโด่งมาตั้งแต่แรก
แม้จะจบฤดูกาลไม่ได้แชมป์ แต่การยังทรงตัวคว้ารองแชมป์ได้ พร้อมทั้งได้ตั๋วลุยโควตา เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ถือว่า เป็นการจบซีซั่นที่ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไรเลย
น้องเล็กสุดอย่าง “ชนาคุง” นับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเส้นทางเดินทางครั้งนี้ เพราะด้วยฟอร์มการเล่น และความแข็งแรงในเรื่องของแบรนด์ “ชนาธิป” นอกสนาม ทำให้เขาสามารถแปรเปลี่ยนสัญญายืมตัวกลายเป็นสัญญาซื้อขาดได้ โดยสัญญาดังกล่าวจะเริ่มต้นปีหน้า หลังหมดสัญญายืมตัว 18 เดือนนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
“ชนาคุง” มีช่วงเวลาปรับตัวก่อนใครเพื่อน 6 เดือน ซึ่งต้องยอมรับว่า ช่วงแรกนั้นเขายังปรับตัวได้ไม่ดีเท่าที่ควร แถมช่วงเปิดซีซั่นใหม่ เขากลับต้องเผชิญปัญหาส่วนตัวที่กลายเป็นเรื่องส่วนรวมชนิดดังคับประเทศ
“แต่ขวากหนามระหว่างเส้นทาง คงไม่สำคัญ หากคุณเดินไปถึงจุดหมายได้”
ชนาธิป ไม่ปล่อยให้แฟนคลับต้องรอคอยนาน เขาสลัดเรื่องนอกสนาม และสวมสตั๊ดที่เขารัก ทำไปทั้งสิ้น 8 ประตู และ 3 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 30 เกมในลีก โดยเป็นตัวจริงทุกเกม
จากคนที่เพื่อนยังไม่ไว้ใจมากนัก
จากคนที่มักจะเกรงใจเพื่อนเวลาที่บอลอยู่กับตัว
เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขากลายเป็นศูนย์กลางของทีมในการสร้างสรรค์เกมรุกภายใต้หมากบนกระดานของ มิไฮโล เปโตรวิช
และสุดท้ายเขาก็สร้างชื่อให้กระฉ่อนได้ เมื่อได้รับเลือกจากเพื่อนร่วมทีม ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ประจำปี 2018 และแน่นอน ซีซั่นหน้า เราจะยังได้เชียร์ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” อีกแน่นอน ในลีกต่างประเทศ
คนสุดท้าย “บุญจัง” ธีราทร บุญมาทัน ซึ่งเป็นคนที่ได้รับโอกาสน้อยที่สุดในบรรดาสามนักเตะไทย และทีมของเขาก็จบในอันดับที่ต่ำที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมทีมชาติไทย โดยเขาได้ลงสนามให้กับ วิสเซิ่ล โกเบ ในซีซั่นนี้ ไป 28 เกม แบ่งออกเป็นตัวจริง 23 นัด และ ตัวสำรอง 5 นัด โดยทำไป 2 แอสซิสต์
แม้ “เจ้าอุ้ม” จะมีส่วนร่วมกับการเดินทางในครั้งนี้น้อยที่สุด และมีส่วนร่วมกับประตูน้อยที่สุด (ด้วยตำแหน่งที่เล่นแบ็คซ้ายด้วย) แถมดูเหมือนจะมีช่วงเวลาที่เขาท้อ และเหนื่อยกับการต่อสู้ ปรับตัวในเจลีกด้วย (อุ้มเคยโพสต์ถึงฟอร์มของตัวเองในช่วงคิงส์คัพ 2018 โดยตอนนั้น เขายังไม่สามารถสอดแทรกตำแหน่งตัวจริงในต้นสังกัดได้)
แต่สำหรับผม ที่ได้ดูเกมที่ ธีราทร ลงสนามอยู่บ่อยครั้ง ก็ต้องบอกว่า โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า เขายังคงมีมาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยม และมีช็อตคลาสสิคแบบ “เอาอยู่” หลายช็อตให้หายคิดถึง โดยเฉพาะจังหวะเอาตัวรอดในพื้นที่แคบๆ ม้วนหลบ และออกบอลอย่างชาญฉลาด และยังคงเชื่อเสมอว่า เขาเป็นผู้เล่นกราบซ้ายที่ดีที่สุดของเมืองไทยในเวลานี้อยู่ (เป็นโจทย์ของ ราเยวัช พอสมควร เพราะ “มิงค์” กรกช ก็เล่นได้ดีมากๆ เช่นกันในช่วงเวลานี้)
แต่แม้เส้นทางของเขา ที่อาจจะดูไม่ราบรื่น ทว่าเขาก็เป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุด สมชื่อญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า “บุญจัง” เพราะเขาได้ลงเล่นฟุตบอลกับนักเตะดีกรีแชมป์โลกที่เป็นไอดอลของแฟนบอลมากมายทั่วโลก ทั้ง ลูคัส โพดอลสกี้ และ อันเดรส อีเนียสต้า (และได้พบกับ ดาบิด บีย่า อีกคน ในช่วงหลังเกมนัดสุดท้ายด้วย)
อุ้มมักจะพูดถึงซูเปอร์สตาร์ที่เขาได้ร่วมทีมด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งเชื่อว่า นั่นคือ สิ่งวิเศษมากๆ ที่เขาได้สัมผัสมาใน เจ ลีก
… การเดินทางบนถนนลูกหนังของนักฟุตบอลมากมาย ที่ต่างก็มีความใฝ่ฝันที่จะได้เล่นในลีกที่สูงกว่า
ความสำเร็จมันไม่ได้มาจากการแค่จำนวนถ้วยรางวัล หรือรายได้ที่ได้รับเท่านั้นหรอกครับ
การเล่นฟุตบอลอาชีพมันก็เหมือนงานหนึ่งงาน ความสำเร็จของงานนี้ มันอาจจะแค่ได้เล่นอย่างมีความสุข ได้เล่นแบบมีรอยยิ้ม ได้เล่นเคียงข้างกับนักฟุตบอลระดับโลก ก็พอแล้ว
เพราะทุกๆ การเดินทางเพื่อตามหาความฝัน ไม่ว่าจะจบลงแบบไหนก็ตาม
มันมี “รางวัลแด่คนช่างฝัน” รออยู่เสมอ…
“เมื่อดอกไม้แย้มบานให้คนหาญสู้ไม่หวั่น
คือรางวัลแด่ความฝันอันยิ่งใหญ่ให้เธอ..”
“จอน”
ดูบอลสดฟรี ไม่มีสะดุด ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับเน็ต 2GB ดูทรูไอดีฟรี เปิดทรูไอดีทุกวันรับฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ – 30 พ.ย.61 คลิกเลย
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports