รีเซต
TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 26 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 26 ... by "Mr.BOSTON"

TRUE TALK : 5 สิ่งที่เรารู้หลังผ่าน พรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 26 ... by "Mr.BOSTON"
boston2018
14 กุมภาพันธ์ 2562 ( 05:41 )
261
1

หลังจากผู้เขียนขอตัวลาหยุดไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นกลับมา สถานการณ์ของพรีเมียร์ลีกหลังจบสัปดาห์ ที่ 26 ก็เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาก่อนไปยังแดนอาทิตอุทัยเสียแทบจำไม่ได้ รู้ตัวอีกที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า ก็ขึ้นมานำหัวตารางเสียแล้ว ถึงแม้จะแข่งขันมากกว่า ลิเวอร์พูล ก็ตาม

สถานการณ์แบบนี้ มันทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ในเกมนัดที่มีในมือของทีม “หงส์แดง” และนั่นอาจจะเป็นตัวตัดสินแชมป์ของฤดูกาลนี้ก็เป็นได้

แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราไปดูกันว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากเกมพรีเมียร์ลีกสัปดาห์นี้กันบ้าง?

 

แมนฯ ซิตี้ คือทีมที่จบสกอร์เฉียบขาดที่สุดในลีก

(AP Photo/Jon Super)

6 ประตู ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงใส่ เชลซี ใน เอติฮัด สเตเดี้ยม กลายเป็น 6 ประตูที่แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เหนือชั้น, ยอดเยี่ยม และประสิทธิภาพของแชมป์เก่าที่กลับมาอยู่ในฟอร์มพร้อม “ถล่มทุกทีม” อีกครั้ง

สถิติในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน และ เกมกับเชลซี ชี้ชัดว่า พวกเขาใช้โอกาสไม่เปลืองเลย โดยเกมกับ “ท็อฟฟี่” พวกเขายิงเข้ากรอบ 4 ครั้ง เป็น 2 ประตู ส่วนเกมล่าสุด เข้ากรอบ 9 ครั้ง ได้ 6 ประตู

เรียกได้ว่า คมกริบ!

ย้อนกลับไปช่วงปลายเดือนมกราคม ความพ่ายแพ้ต่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ของ “เรือใบสีฟ้า” เกือบกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ และทำให้หลายคนกังขาถึงศักยภาพของพวกเขา แต่เหมือนโชคชะตายังเข้าข้างให้ในสัปดาห์เดียวกันนั้น “หงส์แดง” ก็พลาดการเก็บ 3 คะแนน และแต้มที่ควรจะห่าง ยังกระชั้นอยู่

แต่หลังจากนั้น ซิตี้ ที่ได้คีย์แมน อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ มาในสภาพสมบูรณ์ ก็เริ่มติดเครื่อง และทะยานด้วยการชนะคู่แข่งด้วยผลต่างเกิน 2 ประตู ทั้ง 3 นัด เหนือ อาร์เซน่อล 3-1, เหนือ เอฟเวอร์ตัน 2-0 และ เหนือ เชลซี 6-1 ทำให้ไม่เพียงแค่ได้ 3 คะแนนเต็มเท่านั้น เพราะตอนนี้ ผลต่างประตูของพวกเขา และ ลิเวอร์พูล ห่างกันถึง 10 ประตู

และในลีกที่ใช้ผลต่างประตูได้เสียตัดสินอันดับในกรณีคะแนนเท่ากันอย่างพรีเมียร์ลีก มันเหมือนว่าตอนนี้ พวกเขามีแต้มนำที่ 2 อยู่ ครึ่งคะแนนเลยทีเดียว

จากการจบสกอร์ที่เฉียบคมนี่เอง ที่เป็นแต้มต่อให้พวกเขา ดูดีกว่าทีมผู้ตามในตอนนี้ ถึงแม้จะแข่งขันมากกว่าก็ตาม

แล้วทีมที่มีโอกาสไม่กี่ครั้ง ก็เป็นประตูได้ แบบนี้…มันจะแพ้ง่าย ๆ อีกอย่างนั้นหรือ?

 

เชลซี ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง?

(AP Photo/Jon Super)

มีเส้นบาง ๆ ขั้นระหว่างความเชื่อมั่น กับ ความดื้อ ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ยืนยันเสียงแข็ง ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแผนการเล่น ถึงแม้ทีมจะพ่ายต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เละเทะ ก็ตาม

แต่ แบบนั้น จะดีแน่หรือ?

“ซาร์รี่บอล” ในช่วงแรก โดดเด่น และ มีประสิทธิภาพจากการทำเกมของ จอร์จินโญ่ ที่มีพื้นที่เล่น ทำให้เขาเลือกจ่ายบอลได้ไม่ยาก แต่ปัจจุบัน ไต๋ของหัวหน้าโค้ชชาวอิตาลี เป็นที่รู้กันทั่วลีกแล้วว่า แค่บีบ จอร์จินโญ่ เชลซีก็ทำอะไรไม่เป็น

นั่นทำให้ นอกจาก ซาร์รี่ แล้ว จอร์จินโญ่ ยังโดนค่อนค่อด ว่าเล่นไม่ดีไปด้วย ทั้งที่อันที่จริงแล้ว เขาแทบไม่มีทั้งเวลา และ โอกาส ในการทำเกมแบบช่วงต้นฤดูกาลอีกเลย

นอกจากนี้ ซาร์รี่ ยังชอบใช้ผู้เล่นชุดเดิม ๆ กับ แผน เดิม ๆ ในการทำทีมด้วย ให้หลับตาเดาผู้เล่นในเกมต่อไป ก็คงจะมาในระบบ 4-3-3 มี เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า, มาร์กอส อลองโซ่, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล กองเต้, รอส บาร์กลี่ย์, เอเด็ง อาซาร์, เปโดร โรดริเกวซ, กอนซาโล่ อิกวาอิน…ผิดจากนี้เต็มที่ก็ 3 คน

ขาดแฟนบอลอย่างเรา ๆ ยังเดาได้ แล้วทำไมโค้ชทีมอื่นจะเดาไม่ได้

มันอาจจะต้องถึงเวลาเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว ลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง ไม่เช่นนั้น การเปลี่ยนแปลง อาจจะเกิดที่ตำแหน่งโค้ช ไม่ใช่ตัวผู้เล่นที่จะลงในสนามก็ได้นะ…

 

แมนฯ ยูไนเต็ด กับที่ 4 ของตาราง

(AP Photo/Matt Dunham)

หลังจากไม่ได้ลืมตาอ้าปากใน ยุค โชเซ่ มูรินโญ่, โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ใช้เวลา 9 นัดในลีก พาทีมชนะ 8 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร ขึ้นมารั้งอันดับ 4 ของตาราง ซึ่งเป็นเป้าหมายของทีมในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

ชัยชนะ 8 นัดของ โซลชาร์ นี้ ยังมากกว่าที่ มูรินโญ่ ทำได้ตลอดเวลาในฤดูกาลนี้ก่อนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วย โดยผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีส พา “ปีศาจแดง” ชนะคู่แข่งในลีกได้ 7 นัดเท่านั้น

การกลับมารั้งอันดับที่ 4 ของตารางในหนนี้ พวกเขามีภาษีดีกว่าทีมที่ 5 กับที่ 6 อย่าง อาร์เซน่อล และ เชลซี อยู่พอสมควร หลัก ๆ ก็เป็นเรื่องของฟอร์มการเล่น ที่เห็นกันได้เด่นชัด

แต่การพ่ายนัดแรกในยุคของ โซลชาร์ ต่อ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็อาจจะมีผลไม่น้อยเช่นกัน ทั้งนี้ ทั้งนั้นต้องดู “ใจ” ของผู้เล่น “ปีศาจแดง” ว่าแข็งแค่ไหน

ถ้าเกมต่อไปกับ ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาล พวกเขาไม่แพ้ หรือ ถึงชนะ ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่พวกเขาจะจบที่ 4 หรือดีกว่านั้น ก็เปิดกว่ามาก ๆ เลยทีเดียว

 

อาร์เซน่อล ที่หาคลีนชีตไม่ค่อยเจอ

(Mike Egerton/PA via AP)

3 นัด คือจำนวนเกมที่ อาร์เซน่อล ของ อูไน เอเมรี่ เก็บคลีนชีตได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ พวกเขาทำได้แค่เพียงราว 11.5% เท่านั้น

และการเสียประตูต่อ “ทีมบ๊วย” ของตารางอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ถึงแม้จะเป็นเกมเยือน ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายอมให้เกิดขึ้นเท่าไหร่นักด้วย

ปัญหาในเกมรับ เล่นงานอาร์เซน่อล มาตลอดฤดูกาลนี้ และการไม่ได้คลีนชีตเลย มันส่งผลถึงความมั่นใจในเกมรับต่อทั้งกองหลัง และผู้รักษาประตูอย่าง แบรนด์ เลโน่ หนักเข้าไปอีก

สถิติระบุว่า ถ้าพวกเขา เสียประตูน้อยลงเพียง 1 ลูกในทุกเกมที่ลงเล่น พวกเขาจะมีคะแนนบวกเพิ่มถึง 10 แต้ม นั่นหมายความว่า ตอนนี้ พวกเขาจะขึ้นไปรั้งอันดับ 4 โดยเป็นรอง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เพียงประตูได้เสีย และ ตามหลังจ่าฝูงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียง 5 คะแนนเท่านั้น

ไม่ใช่แค่ พื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ถึงขั้นลุ้นแชมป์เลย

นี่เป็นการบ้านที่ทีมต้องแก้ และคนที่ต้องแก้ อาจจะต้องร้อนถึง สแตน โครเอ็นเก้ เจ้าของทีม ที่ถ้าอยากให้ทีมประสบความสำเร็จในระยะยาว ซัมเมอร์หน้า อาจจะต้องมีกองหลังดี ๆ เข้ามาบ้าง

แต่ไม่รู้ว่า โครเอ็นเก้ จะหายเช็ง จากการที่ “ลูกรัก” อย่าง ลอสแองเจลิส แรมส์ พ่ายใน ซูเปอร์ โบวล์ แล้วหรือยังนะ?

และถ้าหายเช็งแล้ว จะยอมอนุมัติงบให้ “ปืนใหญ่” บ้างหรือเปล่าด้วย?

 

ซาลาห์-โอบา-อเกวโร่ ใครจะคว้ารองเท้าทองคำ?

(AP Photo/Jon Super)

แฮตทริกที่ 11 ของ เซร์คิโอ้ อเกวโร่ ในเกมกับ เชลซี นอกจากจะทำให้เขาก้าวขึ้นมาทาบสถิติยิงแฮตทริกมากที่สุดตลอดกาลของ อลัน เชียเรอร์ แล้ว ยังทำให้เขายิงประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้เท่ากับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ 17 ประตูด้วย

การปิดเทอมยาวชนิดเจอกันอีกทีเดือนหน้าของ แฮร์รี่ เคน ทำให้ แคนดิเดท ดาวซัลโวตอนนี้ น่าจะเหลือแค่ สามคน คือ ซาลาห์, อเกวโร่ และ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยัง โดย 2 คนแรกยิงคนละ 17 อีกคนยิง 15 แต่ก็ยังกาชื่อทิ้งไม่ได้

นอกจากนี้ การลุ้นดาวซัลโว ปีนี้ มันยังมันส์ตรงที่ ทั้ง อเกวโร่ และ ซาลาห์ ต้องพาทีมลุ้นแชมป์ลีกด้วย ส่วน โอบา ก็ต้องเข็นทีมไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ เช่นกัน

แน่นอน ตอนนี้ มันยังเร็วไปที่จะบอกว่าใครจะเป็นดาวซัลโว แต่ บริษัทรับพนันถูกกฎหมาย เล่นปรับราคาใหม่ หลังจาก อเกวโร่ ยิงแฮตทริกที่ 11 ให้เขาเป็นตัวเต็งแทน ซาลาห์ เสียแล้ว

งานนี้ ดาวซัลโว จะเป็นคนที่พาทีมคว้าแชมป์ด้วยหรือไม่ หรือ รางวัลรองเท้าทองคำ จะเป็นรางวัลปลอบใจของใครหรือเปล่า งานนี้ รอลุ้นกันเอานะครับ

“Mr.BOSTON”

 

อ่านข่าว ตลาดซื้อขายนักเตะไทยลีก 2019

 

อ่านข่าว ตลาดซื้อขายนักเตะพรีเมียร์ลีก 2018/19

 

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

ดูบอลสด – ไฮไลท์บอล แบบจัดเต็มได้ ที่นี่

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ดูไฮไลท์บอล พรีเมียร์ลีก ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

 

ยอดนิยมในตอนนี้