รีเซต
TRUE TALK : วันที่กิเลน "ไม่ผยอง" ดังเดิม เศษ 4 ส่วน 5 ที่เหลือของ เอสซีจี เมืองทองฯ ... by "จอน"

TRUE TALK : วันที่กิเลน "ไม่ผยอง" ดังเดิม เศษ 4 ส่วน 5 ที่เหลือของ เอสซีจี เมืองทองฯ ... by "จอน"

TRUE TALK : วันที่กิเลน "ไม่ผยอง" ดังเดิม เศษ 4 ส่วน 5 ที่เหลือของ เอสซีจี เมืองทองฯ ... by "จอน"
kentnitipong
4 เมษายน 2562 ( 18:03 )
964
5
  • จมรองบ๊วยของตารางไทยลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หากนับเฉพาะ 6 นัดแรก
  • แพ้ถึง 4 เกมจาก 6 นัดแรกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งที่ นี่คือสโมสรที่เคยคว้าแชมป์ไร้พ่ายมาแล้ว
  • ทำประตูไม่ได้ถึง 4 เกมจาก 6 เกมแรกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทั้ง 4 เกมก็ต้องจบลงที่ความพ่ายแพ้
  • ออกสตาร์ทย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังเก็บได้เพียง 6 แต้มจาก 6 นัด ซึ่งน้อยที่สุดที่เคยทำได้ใน 6 เกมแรก
  • ประตูได้เสีย -4 ซึ่งเป็นจำนวนการติดลบที่มากที่สุดในบรรดาทีมศึกไทยลีก 2019 หลังผ่านไป 6 นัดแรก
  • เปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชตั้งแต่จบนัดที่ 5 และยังไม่มีการเปิดตัวกุนซือคนใหม่

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในศึกไทยลีก ซีซั่น 2019 กับสโมสรอดีตแชมป์เก่าไทยลีก 4 สมัย ที่มีตำนานเล่าขานมานับทศวรรษ อย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หลังจากผ่านไปทั้งหมด 6 เกม

สโลแกน “FOOTBALL’S COMING HOME” กลายเป็นประโยคที่ถูกหยอกล้อจากแฟนบอลทีมอื่นๆ เพราะดูเหมือนว่า โอกาสที่แชมป์จะได้กลับบ้านหลังเก่า ณ เมืองทอง จะไม่เป็นความจริงดังที่ผู้บริหารทีมหวังเอาไว้

ปัญหาของ เมืองทอง ในปีนี้ มีเยอะแยะมากมายเหลือเกินครับ ผมได้ดูหลายต่อหลายเกมของพวกเขา ไล่ตั้งแต่หลังไปหน้า เพราะเสียประตูแทบทุกนัด และยิงไม่ได้ก็แทบทุกเกมเช่นกัน เริ่มต้นจากแนวรับ ที่หากไม่นับ ดัง วาน ลัม ผู้รักษาประตูชาวเวียดนาม ก็ต้องบอกว่า นักเตะที่เหลือ ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ดีพอเลยว่า จะสามารถพาทีมเป็นแชมป์ได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ โอ บัน ซอค กองหลังชาวเกาหลีใต้ มีอาการบาดเจ็บ ช่องโหว่ก็มีให้โจมตีเพียบเลย

ศฤงคาร พรหมสุภะ และอดิศร พรหมรักษ์ ยังไม่ใช่คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่จะกำราบแนวรุกฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งต้องรอแข้งแนวรับต่างชาติเข้ามาเติมเต็ม และตอนนี้ก็มีเพียง โอ บัน ซอค คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟธรรมชาติชาวต่างชาติ

ศุภนันท์ บุรีรัตน์ และวีรวุฒิ กาเหย็ม แบ็คขวาและแบ็กซ้ายลูกหม้อที่สโมสรดึงกลับมาสู่ทีม แต่ฟอร์มของทั้งคู่ก็ทำให้ต้องคิดถึง ทริสตอง โด และพีระพัฒน์ โน้ตชัยยา ที่ย้ายไป “บียู” หรือแม้แต่ ธีราทร บุญมาทัน ที่ถูกยืมตัวไปอยู่ เจลีก

วัฒนา พลายนุ่ม ไม่สามารถกลับไปสู่ฟอร์มที่เคยพีคก่อนหน้านี้ได้ และการถูกโยกไปเล่นหลายตำแหน่งก็ทำให้เขาไม่มีฟอร์มที่เสถียรพอ

ฟอร์มการท่อนกระแท่น บวกอาการบาดเจ็บของแนวรับ ก็ทำให้แต่ละนัดของเมืองทองนั้น ลงเล่นในระบบที่แตกต่างกัน สลับไปมาระหว่าง กองหลัง 4 ราย และในระบบแบบเซนเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน และนี่คืออีกเหตุผลที่ทำให้ความบาลานซ์ของฟอร์มการเล่น และวิธีการเล่นในเกมรับต้องสูญเสียไป

ขอบคุณภาพ : Muangthong United FC.

มากันที่แดนกลาง ซึ่งถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง เพราะแฟนบอลหลายคนมองว่า นักเตะในแดนกลางที่เป็นหัวใจสำคัญในการเคลื่อนที่บอลจากเกมรับไปรุกนั้น เล่นฟุตบอลที่ “เชื่องช้า วิ่งน้อย และขาดความกระหาย” ซึ่งพอเจอเกมเพรสซิ่งเร็ว ก็จะถูกตัดบอลได้ และไม่สามารถคอนโทรลบอลไปที่แดนหน้าได้ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขายิงไปได้แค่ 5 ประตูเท่านั้น

ส่วนแนวรุก อันที่จริงพวกเขามีนักเตะที่ยอดเยี่ยมมากๆ นะ หากเทียบจากชื่อชั้น ทั้ง กรวิชญ์ ทะสา, ธีรศิลป์ แดงดา, อดิศักดิ์ ไกรษร, เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส, อ่อง ธู หรือแม้กระทั่ง มาริโอ ยูรอฟสกี้ ที่ยังไม่ฟิตสักที

แต่พอเอาเข้าจริง สุดท้ายแล้ว เรื่องเกมรุกก็ต้องฝากไว้ที่ เฮแบร์ตี้ เป็นส่วนใหญ่ ดูได้จากทุกประตูที่เมืองทองได้นั้น อดีตดาวซัลโวไทยลีกรายนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องทุกลูก แบ่งเป็น ยิง 1 ประตู และแอสซิสต์ 4 ครั้ง ซึ่งลูกที่ยิงนั้น ก็เป็นลูกโทษซะด้วย

ขอบคุณภาพ : Muangthong United FC.

เจอเพรสซิ่งใส่แดนกลาง
พยายามปิดตาย เฮแบร์ตี้ เพื่อปิดความอันตรายของ เมืองทองฯ
โดนเล่นเกมฉาบฉวย และฟุตบอลไดเร็ค โจมตีกองหลัง

ซึ่งไม่ว่าจะเจอทีมใดก็ตาม เมืองทองฯ ก็จะเจอสถานการณ์การเล่นเกมแบบนี้จากคู่แข่ง และสุดท้าย หากความหวังสุดท้ายอย่าง “เดอะแบก” เฮแบร์ตี้ ฟอร์มไม่มา แอสซิสต์ไม่เกิด ระเบิดประตูไม่ได้ ก็แทบจะปิดประตูคว้าชัยเลย

ขอบคุณภาพ : Muangthong United FC.

ไม่น่าเชื่อนะครับว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ ที่มีการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เพื่อหวังจะกลับมาเป็นแชมป์ไทยลีกอีกครั้งในรอบ 3 ปี และหวังจะเป็นแชมป์ไทยลีกแตะหลัก 5 สมัยเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายแล้ว ความหวังเหล่านั้น ก็อาจจะเป็นแค่ความหวัง เพราะผ่านไป 6 นัด จาก 30 นัด หรือ 1 ใน 5 แล้วของซีซั่นนี้ พวกเขายังคงจมอยู่เพียงรองบ๊วยของตาราง

กลับมามองที่ความจริง ทิ้งความหวังแชมป์ไว้ข้างหลัง
ยังเหลืออีกถึงเศษ 4 ส่วน 5 ที่เหลือในซีซั่นนี้ หรือ คิดเป็น 80 % (24 จาก 30 เกม)

มันเยอะพอ ที่จะสามารถล่าคะแนน และกลับมาเป็นแชมป์ได้ เพราะคะแนนห่างจากจ่าฝูงแค่ 6 แต้มเท่านั้น
มันเยอะพอ ที่จะกลับมาเรียกศรัทธาจากแฟนบอลได้ หากแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทัน
มันเยอะพอ ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เลวร้าย ให้กลายเป็นดีได้
มันเยอะพอ ที่จะทำให้แฟนบอล “กิเลนผยอง” มาชมเกมด้วยรอยยิ้ม และกลับบ้านไปพร้อมกับความอิ่มเอม

ซึ่งผมว่า นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะขวัญ และกำลังใจของแฟนบอล คือ สิ่งที่ดีที่สุดของการเดินหน้าสโมสรฟุตบอลอาชีพ

“เพราะจริงๆ แล้ว การคืนรอยยิ้มสู่แฟนบอล และเล่นฟุตบอลในแบบที่เมืองทองเคยเป็น…

มันอาจจะดีเท่าหรือดีกว่า การนำแชมป์กลับบ้านก็ได้”

“จอน”

 

ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย

 

ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID

ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!

ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

ยอดนิยมในตอนนี้