TRUE TALK: 10 fight 10 งานนี้มีต่อ
ผมเชื่อว่ามีคนบางคนอยากเห็นดาราโดนชก ซึ่งหลายคนคงเห็นเสียสมใจอยาก จนบางทีอาจจะคิดว่า
“เฮ้ย มันแน่ว่ะ”
แม้ว่า 10 fight 10 ซีซั่นแรกจะจบลงไปแล้ว ผู้ชมหลายคนยังไม่จบ
บางคนถึงขั้นออกไปวิ่ง ฟิตออกกำลังกาย
บางคนยังพูดถึงอย่างเมามัน หรือกระทั่งนินทา ด่า สาปแช่ง
สิ่งที่รายการนี้เหลือทิ้งไว้ให้ในสังคมนั้นมีไม่น้อย รวมถึงค่านิยมบางอย่าง
หรือว่า…
มันเป็นเพียงแค่การเอาอีกด้านของคนเราออกมาสู่ที่แจ้งกันแน่
สำหรับแฟนรายการผู้หญิงอาจจะไม่เข้าใจเท่าไร ว่าทำไม 20 คนนี้ อยากมาต่อย มาเจ็บตัวกัน ทั้งที่รายได้จากการทำงานอื่นๆ น่าจะมากกว่าการมาต่อยออกรายการนี้
ยังไม่รวมการฟิตซ้อมที่แต่ละคนต้องฝึกกันถึง 3 เดือน
ลูกผู้ชายทุกคนล้วนแสวงหาความแข็งแกร่ง อยากต่อสู้ ชกต่อย และออกหมัด แต่ว่าสังคมในบ้านเรา หากจู่ๆ จะมาต่อยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันได้สักเท่าไร สังคมประนามว่าป่าเถื่อน หัวรุนแรง ไร้อารยธรรม นังเลง แต่ทันทีที่อยู่ในสังเวียน ไฟส่องหน้า กลับเป็นสิ่งที่น่าเชิดชู เทิดทูน ยกย่อง นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่
แต่ครั้นจะไปเข้าสู่วงการมวยเป็นอาชีพ กว่าจะได้สู้กัน มันก็ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะต่อสู้ไปตลอดชีวิตกันทุกคน อาจจะมีแค่เพื่อน หรือใครบางคนที่อยากจะต่อยหน้าสักหมัดสามหมัด
ในขณะเดียวกัน มันคือการแสดงความกล้าหาญ และแข็งแกร่ง รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเจ็บตัว แต่ไม่มีใครวิ่งหนีกลางงาน
ฉะนั้นมันจึงตอบสนองความต้องการอันเร่าร้อนของผู้ชาย และแสดงความเข้มแข็งให้หัวใจสาวอ่อนระทวย ผู้หญิงชอบผู้ชายแข็ง…จริงไหมครับ
ส่วนหนึ่ง ก็ลากเอาฐานแฟนดารา มาดูกีฬานั่นล่ะ ซึ่งอาจจะพัฒนาไปดู มวยสากล หรือMMAก็ได้
แต่นั่น มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ อาฟเตอร์แมทช์หรือหลังจากจบแต่ละคู่นั่นเอง
หลังจากจบคู่แรก ผู้ชมคงหายสงสัยว่านี่มันเหมือนมวยปล้ำ มีบทมีสคริป หรือเปล่า
ที่เห็นๆ ก็ต่อยจริง เจ็บจริง แล้วมวยปล้ำที่ว่ามีสคริปก็ยังเจ็บตัวจริงๆ เช่นกันนะขอบอก
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้ คือความคาดหวังที่คนจัดการต่อสู้ทุกคนอยากเห็นคือ สู้กันเสร็จ แล้วจบด้วยมิตรภาพ ค่านิยมอันดูดีชวนฝันใฝ่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาเข้าจริงๆ สังคมเราจะมอง จะนิยมแบบนี้กันมากขึ้นไหม
เพราะปัจจุบันเท่าที่เห็นเอะอะก็ยิง ก็แทง ก็ฆ่ากัน จนดูกลายเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
แม้กระแสของดารา และกีฬามวยจากรายการนี้จะแรง แต่ก็น่ากังขาว่า มันจะมีผลในด้านบวกต่อสังคมสักแค่ไหน
หลังจากผู้ชมเห็นดาราขวัญใจมหาชนไปยืนแลกหมัด ซัดกันบนเวที บางคนอาจจะคิดว่า หมอนี่มันเก่งไปหมดเลยแฮะ
แต่นี่คือผลการฝึกซ้อมกันตลอดสามเดือน บางคนยังซ้อมแถมนอกตารางอีก ซึ่งถ้ามองให้ดีๆ ที่เขาขึ้นไปชก ไปโชว์บนเวทีได้ ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงกาย ความทุ่มเทพยายาม เพื่อไม่ให้โดนต่อยจนร่วง ซะที่ไหนล่ะ เอาเป็นสรุปแค่ว่า พวกเขาเหล่านี้ ฝึกฝนและตั้งใจเต็มที่ละกัน
จนดูเหมือนว่าคนพวกนี้ทำอะไรได้ดีไปเสียทุกอย่าง แต่อย่าลืมว่าต้นไม้ที่ใหญ่โตย่อมหยั่งรากลึก ตึกที่สูงเสียดฟ้า เสาเข็มยิ่งดำดิ่ง คนจะมีไฟส่อง หรือยืนบนเวที ล้วนผ่านความทรหดที่ไม่มีใครเห็น
ถ้าคุณฮึด อยากฟิต เล่นกีฬา ก็ทำได้เหมือนกันนั่นล่ะ
เคยมีคนพูดว่าดูละครย้อนมาดูตัว แต่ดูกีฬาก็ย้อนมากระตุ้นต่อมตัวเองได้เหมือนกัน ต่อมที่ว่าคือต่อมยุติธรรม
ผมคงไม่มาบอกหรอกนะว่าเป็นการชกของคู่ไหน แต่ชีวิตคือชีวิต
บางสิ่งที่เราคิดว่าแน่นอน มันอาจจะไม่แน่นอน ในบางครั้ง โลกทั้งโลกก็ดูเหมือนเป็นศัตรูของเรา แต่บางทีก็เป็นเราเอง ที่ไม่เข้าใจกฏของโลก
ส่วนกรรมการในรายการจะถูกผิดอย่างไร อันนี้ผมไม่เกี่ยวนะ
และสุดท้าย เหตุการณ์ที่สะเทือนเลือนลั่นปิดฉากตอนจบเหมือนยังกับเตี๊ยมบทกันมา
จบการชกนี้ ทำให้คนหลายคนมีอาชีพเป็นตุลาการ เป็นผู้พิพากษากันทันที ซึ่งขอบอกว่า ชีวิตเราเองก็ถูกคนอื่นตัดสินแบบนี้เช่นกัน
ตัวเราเองมักจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ไม่มีใครรู้ว่าเราเจออะไรมาบ้าง พวกแกไม่มีทางเข้าใจหรอก
แต่เราเองก็ตัดสินคนอื่นแบบเดียวกัน ทั้งๆ ที่เป็นคน มีความเศร้า ดีใจ เสียใจเหมือนๆ กัน
ดาราก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเดินดินกินข้าวแกงเหมือนกันนั่นล่ะ บางครั้งเขาถูกเราตัดสินอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาจะอธิบายอะไร คำด่าทอนินทาสบประมาทมากมายก็ลอยล่องไปบนโลกออนไลน์แล้ว
กว่าเราจะรู้ตัวว่าผิด จะไล่ลบก็คงไม่ทัน ซ้ำบางคนก็ลืมว่าโพสต์ลงที่ไหนมาบ้าง คำขอโทษ คงไม่ทันความเน่าเหม็นของน้ำลาย
เราอ่านสื่อเสพสื่อ ก็ควรจะกลั่นกรองด้วย ก่อนที่จะกลายเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ
จบมวยสิบคู่ มีอะไรให้คุณเรียนรู้มากกว่าที่คิด
อย่าให้มันเป็นแค่บันเทิงแล้วจบกัน
อย่าให้แค่มัน แล้วก็ลืม
เราเอาเวลาที่แสนมีค่ามาดู
ถ้าได้ความรู้ด้วย ก็ถือว่ากำไรสองต่อครับ