สกู๊ปซีเกมส์ : "เหรียญทองซีเกมส์คือความฝันนักฟุตบอลทีมชาติทุกคน" นิรุจน์ สุระเสียง อดีตแชมป์ซีเกมส์ 2001
สัปดาห์นี้เข้าสู่การแข่งขันซีเกมส์ 2019 แบบไม่เป็นทางการ แม้จะยังไม่มีการชิงชัยเหรียญทองแต่หลายชนิดกีฬาก็เริ่มแข่งขันกันแล้ว โดยเฉพาะกีฬามหาชนอย่างฟุตบอลที่ได้เริ่มแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไปบ้างแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันแต่ละครั้งนั้นชื่อของทีมชาติไทยมักผูกอยู่ในกลุ่มทีมลุ้นแชมป์เสมอมา ซึ่งบรรยากาศแบบนั้นความรู้สึกแบบนั้นเราอาจไม่รู้ได้นอกจากไปพูดคุยกับผู้ที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว วันนี้ผมมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับ”พี่ตั้ม”นิรุจน์ สุระเสียง อดีตนักเตะทีมชาติไทยซึ่งเคยไปคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2001 มาแล้ว ซึ่งปัจจุบันในวัย 40 ปี เขาได้ผันตัวมาเป็นโค้ชและผ่านการทำทีมระดับเยาวชนทั้งทีมชาติและสโมสรมามากมาย ล่าสุด ก็ได้ผันตัวเองมาเป็นแมวมองในศึกฟุตบอลคิง เพาเวอร์ คัพ เพื่อเฟ้นหาเยาวชนฝีเท้าดีผ่านเข้าสู่โครงการฟ็อก ฮันท์ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมว่าเราไปพูดคุยกัย”พี่ตั้ม”ถึงความทรงจำกับซีเกมส์และความเป็นไปได้ของขุนพลช้าศึกในซีเกมส์ 2019 รวมถึงแนวทางการพัฒนาเยาวชนจากประสบการณ์ของเขากันเลยครับ
เมื่อพูดถึงซีเกมส์”พี่ตั้ม”ก็ยิ้มด้วยแววตาที่มีความสุขก่อนจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความทรงจำที่ภาคภูมิใจในวันนั้น
“ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเลยเนี่ยความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลแต่ละคนคือการติดทีมชาติ ซึ่ง 1 ในรายการที่อยากไปเล่นก็คือซีเกมส์เพราะเป็นรายการแห่งศักดิ์ศรีของอาเซียน ซึ่งเมื่อก่อนก็จะกำหนดให้เป็นทีมชาติชุดใหญ่ลงแข่งขันกัน จึงใฝ่ฝันว่าอยากจะเล่นสักครั้ง จนมาปี 2001 ก็เปลี่ยนกฎมาใช้นักฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี จึงมีโอกาสได้ติดทีมไปเล่นในครั้งนั้นที่ประเทศมาเลเซีย แล้วสุดท้ายก็ได้เหรียญทองกลับมา ก็เลยเป็นซีเกมส์ครั้งเดียวที่ได้เล่นและประทับใจที่สุด”
“ผมเชื่อว่าเหรียญทองซีเกมส์คือความฝันแรกๆของนักฟุตบอลทีมชาติทุกคน เพราะนี่คือก้าวแรกของการขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่”
แล้วแมตช์ที่พี่ประทับในการแข่งขันซีเกมส์ 2001 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียล่ะครับ
“ซีเกมส์จริงๆแล้วประทับใจทุกนัดที่ลงแข่งขันเลย แต่ถ้าให้เลือกก็คงเป็นนัดชิงชนะเลิศที่เอาชนะเจ้าภาพมาเลเซียได้ 1-0 จนคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุดเพราะตอนนั้นถือว่ากดดันสุดๆ แต่สุดท้ายก็ได้ตามเป้าหมาย”
18 ปีผ่านไปจากนักเตะกลับกลายมาเป็นโค้ช ซึ่ง”พี่ตั้ม”เองก็เคยทำทีมและพัฒนานักเตะเยาวชนมามากมายหลายชุด ซึ่งหลายๆคนที่เคยถูกขัดเกลาจากพี่ ก็มีชื่อติดในทีมชุดซีเกมส์ 2019 นี้ด้วย ผมจึงอดถามกับ”พี่ตั้ม”ไม้ได้ว่าพี่เขานั้น มองว่าใครที่พร้อมจะแจ้งเกิดในรายการนี้บ้าง
“สำหรับซีเกมส์ 2019 น้องๆทั้ง 20 คนที่ติดทีมไปหลายคนที่น่าจับตามองและจะแจ้งเกิดได้ เช่น ฉัตรมงคล ทองคีรี กองกลางจากชัยนาท ฮอร์นบิล ฤดูกาลที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้โดดเด่นและผมเองเคยร่วมงานกับเขามาที่เชียงใหม่ เอฟซี ก็เป็นนักเตะที่มีพัฒนาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ อีกคนก็เป็นกฤษดา กาแมน เด็กคนนี้มีประสบการณ์เยอะแถมเล่นได้ทั้งกองกลางและกองหลัง”
แล้วโอกาสที่ไทยจะคว้าแชมป์ซีเกมส์ครั้งนี้”พี่ตั้ม”คิดว่าเรามีโอกาสมากน้อยขนาดไหนกัน
“ผมเชื่อว่าตอนนี้นิชิโนะกำลังปรับตัวให้เข้ากับนักฟุตบอลไทยอยู่ แล้วนักฟุตบอลเองก็ต้องปรับตัวเข้ากับสไตล์การทำทีมของนิชิโนะเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัยเป็นหลักซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเรื่องความสามารถนักเตะไทยมีอยู่แล้วหากเติมตรงนี้เข้าไปน่าจะไปได้ไกลแน่นอน ซึ่งชุดซีเกมส์ 2019 ส่วนตัวก็มองว่านักเตะทั้ง 20 คนมีคุณภาพอยู่แล้ว เรื่องประสบการณ์ทุกคนก็เล่นอยู่ในไทยลีกจึงไม่มีอะไรน่าไปห่วง รวมถึงทั้งหมดเล่นร่วมกันมานาน ผมมั่นใจว่าน้องๆจะคว้าแชมป์มาครองได้อีกสมัยแน่นอน สุดท้ายอยากฝากน้องๆว่า “พี่เฝ้ารอและติดตามผลงานน้องๆมาตลอด สิ่งสำคัญคือไม่ต้องกดดันตัวเอง ตั้งใจซ้อม เชื่อฟังโค้ช เล่นเพื่อประเทศชาติ แค่นี้เหรียญทองแน่นอน!!!!”
เมื่อพูดถึงระเบียบวินัย ความเป็นมืออาชีพของฟุตบอลไทย พัฒนาการต่างๆ แน่นอนว่าไม่มีใครให้คำตอบได้ดีกว่า”พี่ตั้ม”ผู้เคยผ่านฟุตบอลไทยมาตั้งแต่ตอนตั้งไข่ จนมาถึงฟุตบอลอาชีพในปัจจุบัน
“ฟุตบอลไทยระดับอาชีพในปัจจุบันถือว่าพัฒนามาในทางที่ดีขึ้น แต่องค์ประกอบบางอย่างยังคงเป็นการลองผิดลองถูกอยู่ ส่วนสิ่งที่เห็นอย่างแรกคือ รายได้และความเป็นอยู่ของนักกีฬา, ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชและสโมสรสุขสบายมากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ก็เป็นแค่เพียงบางสโมสรที่มีความพร้อม ซึ่งในทางกลับกันสโมสรเล็กที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ก็ยังมีอีกมาก จึงเป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันดูแลไม่งั้นสโมสรเหล่านี้ก็จะค่อยๆหายไปจากสาระบบแน่นอน”
“สปอนเซอร์มีส่วนสำคัญมากในเรื่องความมั่นคงของฟุตบอลระดับอาชีพ ซึ่งรายได้จากสปอนเซอร์ของแต่ละสโมสรก็ขึ้นอยู่กับผลงาน แต่ทีมที่ไม่มีสปอนเซอร์จะให้ผลงานดีก็คงไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณสนับสนุนมากพอ ซึ่งตรงนี้ก็อยากฝากบอกไปถึงแฟนบอลด้วยว่าต้องดูงบประมาณทีมของตัวเองด้วยว่าไปได้ถึงขนาดไหน เช่น จะให้ไปชนะทีมที่ดีกว่าทุกครั้งก็คงไม่ได้ เรียกง่ายๆคือต้องเข้าใจพื้นฐานและความพร้อมของสโมสรก่อน”
สุดท้ายนี้หลังจากคุยกันอยู่นานถึงฟุตบอลระดับอาชีพ เราคงพูดถึงแต่รายได้อันมหาศาลของนักฟุตบอล แต่เราอาจลืมจุดเริ่มต้นความสำเร็จของพวกเขาไปเพราะกว่าพวกเขาจะก้าวมาเป็นนักเตะอาชีพ พวกเขาเหล่านี้คือนักเตะที่ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน ซึ่ง”พี่ตั้ม”ย้ำว่านี่คือจุดที่สำคัญที่สุดของการสร้างฟุตบอลอาชีพ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นรากหญ้าของฟุตบอลอาชีพ ก็คือนักเตะเยาวชนของแต่ละสโมสร จะเห็นได้ว่าสโมสรใหญ่ๆในไทยลีกบางทีมยังไม่มีอะคาเดมี่เยาวชนเป็นของตัวเองเลย ซึ่งถือว่าผิดหลักการของการทำฟุตบอลอาชีพ ยกตัวอย่างเช่นญี่ปุ่น ทุกทีมในลีกอาชีพของเขามีอะคาเดมี่เยาวชนทั้งหมดไล่ตั้งแต่รุ่น 12, 14, 18, 21 ปีขึ้นไป แต่ในบ้านเรายังเป็นการไปเซ็นสัญญากับทีมโรงเรียนต่างๆในการใช้ตัวผู้เล่นแทนการสร้างทีมเยาวชนของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่สามารถลงรายละเอียดในการพัฒนาได้อย่างเต็มที่”
“การพัฒนานักเตะเยาวชนสิ่งสำคัญที่สุดนอกจากรายการการแข่งขันที่ถือเป็นเวทีของพวกเขาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ควรจะเป็นคือการแบ่งการแข่งขันที่ชัดเจนระหว่างรายการระหว่างสโมสรหรืออะคาเดมี่ กับ รายการสำหรับนักเรียน นักเตะควรลงแข่งขันในแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันในบ้านเราจะเห็นได้ว่านักเตะบางคนที่เก่งก็จะเล่นทั้งทีมโรงเรียนและสโมสรที่สังกัดอยู่ไปพร้อมๆกัน รวมถึงรายการแข่งขันที่ทับซ้อนกันมากเกินไป จนบางครั้งทำให้เด็กคนนั้นไม่ได้หยุดเพื่อหาเวลาพัฒนาตัวเองให้ถูกจุดเลย ดังนั้นผมว่าควรแยกนักเตะระดับโรงเรียนกับสโมสรออกจากกันอย่างชัดเจนเพราะฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศจะทำแบบนี้กัน”
สัมภาษณ์ / เรียบเรียง : ต้อง แคลปแฮม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
>> พรีวิว ฟุตบอลซีเกมส์ : ทีมชาติไทย VS ทีมชาติบรูไน พร้อมช่องถ่ายทอดสด
>> อย่าหมดหวัง! “นิชิโนะ”ยังเชื่อมั่นแข้งช้างศึก แม้พ่ายประเดิมซีเกมส์
– ดูบอลออนไลน์ฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station
– ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่
– สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่
