รีเซต
5 โฟกัส ช้างศึกบุกพ่ายซามูไร คัดบอลโลก

5 โฟกัส ช้างศึกบุกพ่ายซามูไร คัดบอลโลก

5 โฟกัส ช้างศึกบุกพ่ายซามูไร คัดบอลโลก
armcasanova
29 มีนาคม 2560 ( 11:08 )
1.5K

 

เกมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย นัดที่ 7 ทีมชาติญี่ปุ่น เปิดสนามไซตามะ ถล่ม ทีมชาติไทย 4-0

ในเกมนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายให้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น,แท็กติกต่างๆ ภายในเกม รวมไปถึงบรรยากาศของการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ของแฟนบอลทั้ง 5 หมื่นกว่าคนที่เข้ามาชมเกม

วันนี้ทางทีมงานจะมาพูดถึง 5 จุดโฟกัส ของเกม ทีมชาติญี่ปุ่น ถล่ม ทีมชาติไทย 4-0 ในศึก ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

 

 

 

1. ความเฉียบคมของทีมชาติญี่ปุ่น

ในเรื่องนี้แฟนบอลทั่วโลกก็ได้เห็นกันแล้ว ในเกมเมื่อวานช่วงครึ่งแรก ผ่านไปแค่เพียง 20 นาที ทีมชาติญี่ปุ่นกดไปแล้ว 2 ตุง ญี่ปุ่นทำเกมขึ้นมาทางฝั่งซ้ายของไทย โดยมี พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา รับหน้าที่ดูแลแทน ธีราทร บุญมาทัน ที่ติดโทษแบน ญี่ปุ่นเจาะขึ้นมา 2 ครั้งก็ได้ประตูไปทั้ง 2 ลูก จากการยิงของ ชินจิ คากาวะ ลูกแรกโดยการ หลอกยิงในจังหวะที่สอง และ ชินจิ โอกาซากิ วิ่งมาพุ่งโหม่งมุมแคบ เป็น 2 ประตูให้เจ้าบ้านออกนำไทย

ถ้าคุณยังไม่หนำใจกับคำว่า เฉียบคม อยากให้คิดถึงลูกนี้ของ ยูยะ คุโบะ ในนาทีที่ 57 ลูกนี้ต้องบอกเลยว่า เดเก อา,นอยเออร์ ยังต้องร้องโอ้โห พี่แกยิงดีมากถึงมากที่สุด เป็นผู้เล่นที่ถนัดขวา แต่ยิงเท้าซ้ายกดเต็มข้อล่อเต็มแข้ง บอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมชนิดที่ กวินทร์ ก็ต้องยอม และในลูกสุดท้ายการโฉบมาโหม่งของ มายะ โยชิดะ กัปตันทีมชาติญี่ปุ่น

จาก 4 ประตูที่ทีมชาติไทยเสียไปนั้น เรียกได้ว่าผู้เล่นทีมชาติไทย ไม่มีใครได้สัมผัสโดนบอล แม้แต่ กวินทร์ เองที่เป็นผู้รักษาประตู เนื่องจากลูกยิงแต่ละลูกสุดวิสัยเกินที่จะเซฟได้

 

 

 

2. การได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลญี่ปุ่นของ ชนาธิป สรงกระสินธ์

แน่นอนว่า “เมสซี่เจ”ชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือ ชนาคุง ต้องถูกแฟนบอลญี่ปุ่นจับตามองในฟอร์มการเล่นอยู่แล้ว เนื่องจากเขาจะได้ย้ายมาเล่นใน เจลีก ร่วมกับสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในเดือนกรกฎาคม ปีนี้ นั่นจึงทำให้แฟนบอลญี่ปุ่นคาดหวังเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นการพบกับทีมชาติญี่ปุ่นการถือว่าเป็น บทพิสูจน์อีกบทหนึ่งสำหรับเจ้าเจ ว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่จะมาเล่นในเจลีก

ถ้าใครได้ดูเกมการแข่งขัน ถึงแม้ว่าทีมชาติไทยจะพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ที่สูง แต่ถ้ามองเป็นรายบุคคลถ้าทำการตัดเกรดแล้วนั้น ผู้เล่นที่เล่นได้ดี 1 ใน 3 คนของทีม จะต้องมีชื่อของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ แน่นอน

เมสซี่เจ ถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมากในเกมรุก โดยเฉพาะการสร้างสรรค์เกมได้ดี รวมไปถึงจังหวะในการเอาตัวรอดขณะที่มีผู้เล่นญี่ปุ่นเข้ามารุมแย่งบอล 2-3 คน และการจ่ายบอลทะลุช่องสวยๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ้าง ถึงแม้เพื่อนอาจจะไม่ค่อยวิ่งทำทางให้ แต่ก็เห็นได้ว่า เมสซี่เจ นั้นสามารถรักษาฟอร์มการเล่นของตัวเองได้อย่างคงเส้นคงวาเลยทีเดียว

หลังจบเกม กัปตันทีมชาติญี่ปุ่น มายะ โยชิดะ เดินมาคุยกับ เจ้าเจ และบอกกับเจ้าเจอีกด้วยว่า “ดูแลรักษาตัวเองดีๆ ที่ฮอกไกโดหนาวมาก” ทำเอาเจ้าตัวปลื้มปิติเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะมาค้าแข้งในเจลีกแน่นอน

 

 

 

3. การลงสนามในนามทีมชาตินัดแรกของ วัฒนา พลายนุ่ม

ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของ เด็กหนุ่มจากรากหญ้า สู่กองกลางทีมชาติไทย “เจ้าไมค์”วัฒนา พลายนุ่ม กับบทบาทตัวตัดเกมของทัพช้างศึก เป็นการลงสนามครั้งแรกในชีวิตของเจ้าตัว และจะต้องมาพบกับทีมชาติญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก อาทิ ชินจิ คากาวะ, ชินจิ โอกาซากิ, มายะ โยชิดะ, ยูโตะ นางาโตโมะ เป็นต้น มิหนำซ้ำยังได้มาเล่นที่ สนามไซตามะ ที่เคยเป็นสังเวียนในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ มาแล้ว

จากฟอร์มการเล่นในนัดเมื่อวาน เจ้าไมค์ ถือว่า เจ้าไมค์ทำผลงานได้ดีที่สุดคนหนึ่งในนักเตะทีมชาติไทย ลงสนามนัดแรก เจ้าไมค์ ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่า ตื่นสนาม กลับกลายเป็นว่า เขาโชว์ความนิ่งออกมาแทน ไม่รนราน ถึงแม้อาจจะมีจ่ายบอลเสียไปบ้าง แต่ถ้ามองในเรื่องของการตัดบอล การทำลายจังหวะเกมรุกของทีมชาติญี่ปุ่น ถือว่าเขาสอบผ่านเลยนะ

เขาต้องรับมือกับกองกลางระดับเอเชีย และเพลย์เมกเกอร์ระดับโลก แต่การทำหน้าที่ของเจ้าไมค์ ไม่ได้ทำให้เขาดูด้อยไปเลย กลับสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับโค้ชซิโก้ ถึงกับเอ่ยปากชมอีกด้วยว่า “ถือว่าเป็นอนาคตที่ดีของทีมชาติและจะได้เป็นตัวหลักอย่างแน่นอน”

 

 

 

4. การได้เล่นตำแหน่งที่ถนัดของ ธนบูรณ์ เกษารัตน์

กองกลางเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดในไทยลีก ได้กลับมายืนในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ ตำแหน่งที่เขาถนัดที่สุดอีกครั้ง ได้ยืนคู่กันกับ วัฒนา พลายนุ่ม ทำให้แผงกองกลางเมื่อวานนี้ ดูดีขึ้นมาเลยทีเดียว เพราะทั้งคู่ต่างโชว์ผลงานออกมาได้ดี

การได้ต่อกรกับกองกลางในระดับเอเชีย และตัดเกมทำลายจังหวะเกมรุกของ ชินจิ คากาวะ เขาได้ช่วยสกรีนจังหวะอันตราย ก็จะไปถึงเซนเตอร์ฮาล์ฟได้เป็นอย่างดี จนทำให้ญี่ปุ่นต้องไปเจาะทางด้านข้างแทน

จะเห็นได้ว่า 3 ประตูแรกที่เสียไป เป็นการเจาะเข้าทำจากทางด้านข้างทั้งหมด และลูกสุดท้ายเป็นการโหม่งทำประตูจากลูกเตะมุม

 

 

 

5. การจบไม่ลงของศูนย์หน้าทีมชาติไทย

ในเกมเมื่อวานเป็นเกมที่ศูนย์หน้าทั้ง 3 คน ลงเล่นพร้อมเพรียงกัน อดิศักดิ์ ไกรษร, สิโรจน์ ฉัตรทอง และ ธีรศิลป์ แดงดา แต่ก็ไม่สามารถทำประตูได้

โดยในจังหวะการทำเกมขึ้นมาแต่ละครั้ง เราต่อบอลขึ้นมาได้ดีจนเกือบได้ลุ้นประตู ในแต่ละครั้งต่อขึ้นมาก็มาจบในจังหวะสุดท้าย โดนแย่งบอลบ้าง, จ่ายกันเสียบ้าง สุดท้ายจ่ายบอลไปมาแต่ไม่สามารถยิงประตูได้ เนื่องจากว่า เราเล่นบอลหลายจังหวะเกินไป ทำให้หมดโอกาสในการยิงประตู

และเมื่อวานก่อนหมดเวลา 2 นาที ทีมชาติไทยได้ลูกโทษที่จุดโทษ  ธีรศิลป์ แดงดา รับหน้าที่สังหารแต่น่าเสียดายที่ ผู้รักษาประตู เอจิ คาวาชิม่า ของญี่ปุ่นพุ่งปัดได้ ทำให้ทีมชาติไทยไม่สามารถตีไข่แตกได้

 

 

อย่างไรก็ตาม ก็ได้ทำหน้าที่ของทัพช้างศึกต่อหน้าแฟนฟุตบอลทั่วโลก กับการต้องพบกับทีมในระดับแนวหน้าของเอเชีย การถือว่าเป็นประสบการณ์สุดล้ำค่าของนักเตะแล้ว

การที่พ่ายแพ้ถึง 4-0 ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะ การที่ฟุตบอลไทยมาไกลได้เพียงนี้ การลงเล่นกับทีมชั้นนำในระดับเอเชียได้ดีแบบนี้ การทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจของนักเตะ ทีมงานสต๊าฟโค้ช ขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

การที่รู้ว่าแข่งไปก็แพ้แข่งไปก็ไม่ชนะ ทำให้หมดกำลังใจสู้ การที่คิดแบบนั้นไม่ส่งผลดีต่อทีมและต่อความรู้สึกของแฟนบอลชาวไทย แต่สิ่งที่นักฟุตบอลทีมชาติไทย ทำให้แฟนบอลทุกคนได้เห็นนั้น คือ การสู้กับญี่ปุ่นอย่างภาคภูมิใจ สู้ในเกมกีฬา สู้โดยไม่มีความกลัว ไม่เกรงต่อคำสบประมาทต่างๆนาๆ  สู้โดยทั้งๆที่ยังมีหวัง วิ่งแบบไม่มีหมด 90 นาที 

นี่แหละคือ ชัยชนะที่แท้จริงสำหรับคนเล่นกีฬา นักฟุตบอลไม่หมดแรงสู้ พวกเราคนดูก็ไม่หมดแรงเชียร์ #ทีมชาติไทย

 

ขอบคุณภาพ : FA Thailand
ชมสด!! ศึกไทยลีก พร้อมติดตามข่าวสาร ได้ที่ TrueID App และ เว็บไซต์ Sport TrueID

 

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้