หลังจากที่ลีโอเนล เมสซี่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ในฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือคู่แข่งของเขานั่นก็คือเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ได้อันดับด้วยการแพ้คะแนนโหวต 7 คะแนน ซึ่งนี้คือกองหลังที่เกือบสามารถทำคว้าบัลลงดอร์ได้ในระยะตลอด 10 ปีมีแค่ลูก้าโมดริชคนเดียวที่ไม่ใช่ตำแหน่งแนวรุกแล้วสามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ในปี 2018 สำคัญสุดคือปกติแล้วผู้เล่นใหญ่ที่ถูกโหวตให้เป็นเจ้าของบัลลงดอร์นั้นมักจะเป็นพวกตัวรุกที่ผลงานการทำประตูโดดเด่น มีความเป็นซูเปอร์สตาร์สูง ฉะนั้นการที่ ฟาน ไดจ์ค ซึ่งไม่ได้เล่นในตำแหน่งเกมรุกได้รับคะแนนโหวตอย่างถล่มทลาย วันนี้เราเลยจะพาดูกันว่าในอดีตเคยมีนักเตะคนไหนบ้างที่เล่นตำแหน่งในเกมรับ แต่กลับคว้าบัลลงดอร์ มาครองได้อย่างน่าทึ่งไม่ว่าจะเป็นกองกลางตัวรับหรือกองหลัง 1.ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ตำนนานักเตะชาวอิตาลีที่มีผลงานยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2005-2006 ที่พายูเวนตุสคว้าแชมป์สองสมัยซ้อน ซึ่งความแข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำของคันนาวาโร่ทำให้ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลก ทั้งยังพาอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตโลกในปี 2006 ในฐานะกัปตันทีมต่อมาคันนาวาโร่ได้ย้ายเข้ามที่เรอัล มาดริดก่อนจะสามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ด้วยคะแนนโหวตไปทั้ง 498 คะแนนเอาชนะเพื่อนร่วมชาติอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน 2.มัทธีอัส ซามเมอร์ อดีตดาวเตะตำนานของเสื้อเหลือง เขาพาดอร์ทมุนด์ขึ้นคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติด ในปี 95-97 เป็นการโค่นบัลลังก์ของเสือใต้ลง และยังพาเสือเหลืองตะลุยยุโรป ซึ่งผลงานขั้นสูงสุดของเขาคือการเป็นแกนหลักพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมาครองในฤดูกาล 96/97 จนกระทั่งในศึกยูโร 96 เขาจึงได้สวมเสื้อเบอร์ 6 และกลายเป็นกำลังหลักที่พาทีมชาติเยอรมันขึ้นไปคว้าแชมป์ยูโรเป็นสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ และส่งผลให้เขาคว้าตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปจากการลงคะแนนของผู้สื่อข่าวทั้งยุโรปหรือบัลลงดอร์ได้สำเร็จในปี 96 3.ฟร้านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เขาถูกยกย่องว่าคือกองหลังที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเนื่องจากเขาคือต้นตำหรับของตำแหน่ง"ลิเบอโร่" โดยเขาประสบความสำเร็จกับทั้งสโมสรและทีมชาติไม่ว่าจะเป็นการพาบาเยิร์น มิวนิคคว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยติด ในระหว่างปี 1972-1976 และเขายังพาทีมชาติเยอรมันคว้าถ้วยยุโรปในปี 1972 และพาเยอมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1976 ด้วยผลงานสุดยอดเยี่ยมของเจ้าตัวทำให้เขาเป็นนักเตะกองหลังคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์และสามารถทำได้ถึงสองครั้งทำให้เขาเป็นนักเตะกองหลังคนแรกที่สามารถทำได้เพียงคนเดียว ถึงแม้เวอร์จิล ฟาน ไดจ์คจะไม่สามารถคว้ารางวัลไปได้แต่นี้ก็คือสัญญานดีที่แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่ได้รับรางวัลมันเท่าเทียมกันทุกตำแหน่งซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่าใครจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นคนนั้นได้ เครดิตรูปภาพประกอบ :รูปที่ 1/รูปที่ 2/รูปที่ 3 ภาพหน้าปก :https://www.canva.com/