รีเซต
กันตภณ หวังเจริญ : ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความรักในแบดมินตันสู่นักตบความหวังใหม่โอลิมปิก | Main Stand

กันตภณ หวังเจริญ : ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความรักในแบดมินตันสู่นักตบความหวังใหม่โอลิมปิก | Main Stand

กันตภณ หวังเจริญ : ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความรักในแบดมินตันสู่นักตบความหวังใหม่โอลิมปิก | Main Stand
เมนสแตนด์
21 กรกฎาคม 2564 ( 12:00 )
566

ย้อนไปในปี 2004 นั่นเป็นครั้งแรกที่คนไทยได้ลุ้นเหรียญรางวัลแรกจากกีฬาแบดมินตันในมหกรรมโอลิมปิก ด้วยมือของ บุญศักดิ์ พลสนะ แต่น่าเสียดายที่ “ซูเปอร์แมน” พ่ายในรอบชิงเหรียญทองแดง 

 


17 ปีต่อมา คนไทยกำลังจะมีโอกาสกลับมาลุ้นเหรียญรางวัลกับแบดมินตันอีกครั้ง หลังจากการถือกำเนิดความหวังใหม่ของนักแบดมินตันชายไทย นามว่า กัน-กันตภณ หวังเจริญ

จากเด็กหนุ่มที่ไม่เคยหลงไหลในการเล่นกีฬา สู่ชายที่ตามล่าฝันเพื่อหวังจะได้ไปร่วมมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นี่คือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ขับเคลื่อนด้วยความรักในกีฬาแบดมินตัน จนทำให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของโอลิมปิก เกมส์ 2020

 

เด็กชายขี้โรค กับสนามแบดใกล้บ้าน

ชีวิตในวัยเด็กของ กันตภณ หวังเจริญ กับกีฬาไม่เคยเป็นของคู่กัน แม้บ้านของเขาจะอยู่ใกล้กับ สโมสรแบดมินตันชื่อดัง อย่าง T. Thailand แต่ กันตภณ ก็ไม่เคยคิดที่จะเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับกีฬา จนกระทั่งโรคภัยได้มาเคาะประตูถามหา

“ผมไม่เคยเล่นกีฬามาก่อนครับ แต่ว่าตอนเด็กเป็นคนป่วยง่าย คุณหมอจึงแนะนำให้ไปหากีฬาเล่น จะได้ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น” กันตภณ เริ่มเล่าเรื่องราวของตนเอง

“ผมเลือกแบดมินตันครับ เพราะว่าสโมสร T.Thailand อยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลยครับ เพราะตอนนั้นผมไปเล่นกีฬาก็แค่เล่นเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ได้เล่นกับเพื่อน เพราะเพื่อน ๆ เล่นแบดมินตันกันเยอะ”

“ผมไม่เคยคิดว่าเราจะต้องตีให้เก่ง หรือจะจริงจังทางนี้เลย เพราะมันเหมือนแค่ผมเข้าสนามแบดไปเล่นกับเพื่อนครับ แบดมินตันเป็นกีฬาที่สนุก ผมแค่อยากจะเล่นสนุกแบบเด็กทั่วไป”

ร่างกายของกันตภณแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการได้ออกกำลังกาย แต่เขาไม่ได้คิดจะเลิกเล่นแบดมินตัน เพราะกีฬานี้กลายเป็นความรักของเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาอยากตีลูกขนไก่ทุกวัน 

“ผมเล่นไปประมาณ 1 ปี พออายุได้สัก 9 ขวบ โค้ชก็มาชวนให้ผมไปลงแข่งขัน คิดว่าโค้ชคงจะเห็นแววครับ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดจริงจังครับ โค้ชอยากให้ไปแข่ง ผมก็ไป”

“ช่วงแรกที่ผมไปแข่ง ผมเล่นเอาสนุกอย่างเดียวครับ ไม่ได้คิดว่าจะต้องชนะหรือเป็นแชมป์ แต่พอผ่านไปสักปี อายุประมาณ 10 ขวบ ผมเริ่มได้แชมป์ เลยรู้สึกว่า เราอาจจะต้องจริงจังทางด้านนี้แล้ว”

“ช่วงนั้นผมเริ่มมีผลงาน คว้าแชมป์ได้เรื่อย ๆ ก็เป็นเหมือนกำลังใจให้กับเราครับ เหมือนเป็นการบอกกับตัวผมว่า ผมก็มีแววที่จะไปต่อทางนี้ได้”


ต่อสู้กับตัวเอง

กันตภณ กลายเป็นนักแบดเยาวชนฝีมือดี ที่กวาดถ้วยแชมป์จากการแข่งขันทั่วประเทศไทย สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองและสโมสร

แต่ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย หลังจากที่เลือกเล่นแบดมินตันอย่างจริงจัง เขาต้องทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกซ้อม ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปกับการหวดลูกแบด ไม่มีไปเล่นสนุกหรรษาแบบเด็กผู้ชายทั่วไป

“ผมซ้อมแบดเกือบทุกวันครับช่วงนั้น ได้หยุดแค่วันเดียวต่อสัปดาห์ เลิกเรียนก็ต้องรีบมาซ้อมที่สโมสร การซ้อมถือว่าค่อนข้างโหดและจริงจังมากครับ”

“จนผมอายุได้ 15 ผมก็ต้องไปนอนอยู่ที่สโมสรเพื่อจะได้ซ้อมเต็มเวลา คือตื่นเช้ามาก็ซ้อม หลังจากนั้นก็ไปโรงเรียน เสร็จแล้วกลับมาซ้อมอีก มันเหนื่อยมากครับ จนกลายเป็นว่าการเรียนเริ่มตกลง”

“พอเริ่มเล่นแบดเต็มเวลา ผมเรียนไม่ไหวครับ เกรดต่ำมาก ตกลงแบบชัดเจน บางครั้งก็มีหนีเรียนบ้าง เพราะมันซ้อมหนัก ผมไม่ไหวจริง ๆ” 

“ตอนผมจบ ม.3 ทางโรงเรียนเก่าก็ไม่ให้ผมเรียนต่อ เพราะเกรดไม่ดี แต่โชคดีที่โรงเรียนเทพศิรินทร์รับผมไว้ และให้ผมเล่นกีฬาได้อย่างเต็มที่ ถือว่าโชคดีมากครับ ผมก็หมดห่วงเรื่องนี้ไป”

เพื่อแลกกับการเป็นนักแบดมือทอง การเรียนจึงเป็นสิ่งที่ กันตภณ หวังเจริญ ยอมทิ้งเพื่อเดินหน้าต่อตามเส้นทางฝัน ดังนั้นทางเดียวที่จะตอบแทนการเลือกทางเดินครั้งนี้อย่างคุ้มค่า คือตัวเขาต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด 

อย่างไรก็ตาม การแบ่งเวลาไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เขาต้องเผชิญ แต่ด้วยวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ สิ่งล่อแหลมต่าง ๆ เข้ามาเชิญชวนตัวเขาให้ออกจากวิถีทางของนักกีฬาที่ดี

“ผมยอมรับว่า ตอนวัยรุ่นก็มีเกเรบ้างครับ ตามประสาเด็กผู้ชาย มีโดดซ้อม แต่สุดท้ายผมมานั่งคิดว่า ถ้าจะเอาดีด้านนี้จริง ๆ เราก็ต้องทำให้เต็มที่”

“ผมถูกปลูกฝังมาตลอดว่า เล่นแบดมินตันต้องตั้งใจ ผมโดนด่าหรือทำโทษมาตลอด จนเหมือนกับว่ามันอยู่ในตัวเรา คอยเตือนเราว่าต้องเล่นแบดมินตันอย่างเต็มที่เท่านั้น”


กล้าที่จะเสี่ยง 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ กันตภณ เลือกมุ่งมั่นกับการเป็นนักแบดมินตันอย่างจริงจัง คือความฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ เพราะแม้ว่าเขาจะคว้าถ้วยรางวัลจากหลายรายการในประเทศ แต่พอออกไปแข่งต่างแดน ไม่บ่อยนักที่เขาจะสมหวัง 

“ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนครับ ไปสู้เขาไม่ได้ ตอนนั้นผมก็อายุ 18 แล้วครับ เป็นปีสุดท้ายที่จะได้เล่นรุ่นเยาวชน ซึ่งปีนั้นมีแข่งชิงแชมป์เยาวชนโลก ผมตั้งใจมากที่จะได้เหรียญ เพื่อใช้เป็นการต่อยอดสู่การเล่นอาชีพ”

ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่เริ่มเล่นแบดมินตัน กันตภณ อยู่กับสโมสร T. Thailand มาโดยตลอด เขาได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ผ่านการติวเข้มจากโค้ชของทีม เพื่อผลักดันให้เขาไปสู่ความสำเร็จ แต่ตัวของหนุ่มรายนี้ กลับมีความคิดที่ต่างออกไป

“ผมคิดว่าฝีมือตัวเองในการเล่นแบด กำลังจะตันครับ เพราะในสโมสรไม่มีใครจะมาตีสู้กับผมแล้ว ผมอยากที่จะเจอคนที่เก่งกว่านี้ อยากจะหาความเปลี่ยนแปลง”

“ช่วงนั้นที่สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย มีรุ่นพี่ฝีมือดีหลายคนที่ผมอยากจะเล่นด้วย ตอนนั้น พี่แมน (บุญศักดิ์ พลสนะ) ก็ยังเล่นอยู่ ผมคิดว่าถ้าได้มีโอกาสได้ไปเล่นกับพวกพี่ ๆ น่าจะเป็นผลดีสำหรับตัวผม”

กันตภณ ยอมที่จะรับความเสี่ยง เขาเลือกลาออกจากการเป็น มือวางอันดับหนึ่งของสโมสร T.Thailand ที่ปลุกปั้นเขามาร่วมสิบปี เพื่อไปขอซ้อมกับสมาคมแบดมินตันฯ ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้ถูกรับเชิญ ทำให้ไม่เหลือสถานะของคนสำคัญอีกต่อไป

“มันต่างกันเยอะมากครับ พอย้ายมาอยู่กับสมาคม ผมต้องเรียนรู้เองทั้งหมดครับ ไม่มีใครมาคอยเตือนหรือบอกกล่าวเรา เพราะที่นี่เป็นนักกีฬาอาชีพกันหมดครับ ทุกคนคือมืออาชีพ”

“ต้องบอกว่าตอนนั้น กว่าผมจะได้ไปแข่งแต่ละรายการยากมากครับ เพราะสมาคมไม่ค่อยส่งชื่อผมไปแข่ง เหมือนยังไม่ค่อยเชื่อใจในตัวเรา”

“รายการเยาวชนชิงแชมป์โลกคือรายการที่ผมตั้งใจมาก ผมซ้อมหนักมาก เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของผมครับ ถ้าผมไม่มีเหรียญกลับมาจากรายการนี้ ผมอาจจะไม่ได้ไปต่อก็ได้”

กันตภณ ทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้เพื่อพัฒนาตัวเอง ทั้งเรียนรู้จากรุ่นพี่ ฝึกร่างกายให้ฟิต หรือไปเก็บตัวที่ประเทศมาเลเซียเป็นเดือน ด้วยความหวังเดียวคือการมีเหรียญรางวัลในประเภทเดี่ยวติดมือมาด้วย

เพื่อจะไปให้ถึงฝันนั้น กันตภณ ต้องล้มคู่ต่อสู้อย่างน้อย 5 คนจากการแข่งขันครั้งนี้ และเขาก็ทำได้สำเร็จ หลังจากปราบคู่แข่งจาก สกอตแลนด์, เม็กซิโก, สาธารณรัฐเช็ก, อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ก่อนจะจบเส้นทางที่รอบรองชนะเลิศ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถทำเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการคว้าเหรียญทองแดงกลับบ้านจากการแข่งขันครั้งนั้น

“ผมดีใจมากครับ เพราะตั้งแต่ช่วงก่อนแข่ง รู้สึกกดดันตัวเองมาตลอด รู้ดีว่าการจะได้มาตรงนี้มันไม่ง่าย มีแต่คนเก่ง ๆ เท่านั้นที่จะมาได้ เหรียญนี้เป็นเหมือนสิ่งที่ต่อยอดให้ตัวผมเข้าสู่การเล่นอาชีพ”

 

ความหวังใหม่ 

ความสำเร็จจากการแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์โลก 2016 ที่เมืองบิลเบา ประเทศสเปน ส่งผลให้ กันตภณ ก้าวขึ้นมาเป็นนักแบดอาชีพอย่างเต็มตัว เดินหน้าคว้าเหรียญรางวัลจากรายการต่าง ๆ เช่น ซีเกมส์ หรือ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ มาได้อย่างต่อเนื่อง

แต่คงไม่มีความสำเร็จไหน จะทำให้เขาโด่งดังไปกว่าการคว้าเหรียญทองแดงในศึกแบดมินตันชิงแชมป์โลก ในปี 2019 ที่กรุงบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว ซึ่งไม่เคยมีนักแบดมินตันไทยคนใดทำได้มาก่อน

“ตอนนั้นผมได้โค้ชอังกุส (อังกุส ดาวี ซานโตซา) จากอินโดนีเซียเข้ามาช่วยสอนครับ เขาเปลี่ยนสไตล์การเล่นของผมไปหมดทุกอย่าง ช่วยให้ผมเล่นได้หลากหลายมากขึ้น”

“ช่วงนั้น ตัวผมเองก็มีความมั่นใจมาก เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์ ผมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ รายการ Super 1000 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นรายการใหญ่ของแบดมินตัน มันเหมือนเป็นการบอกกับเราว่า เราก็สู้กับคนอื่นได้”

กว่าจะประสบความสำเร็จครั้งสำคัญไม่ใช่เรื่องง่าย กันตภณ ต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่าง กับการเปลี่ยนจากรุ่นเยาวชนมาสู่การเล่นระดับอาชีพ ซึ่งเขายังคงเปิดรับในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

“พอมาเล่นระดับอาชีพ ผมได้รู้ว่าแค่ใจสู้อย่างเดียวไม่ชนะครับ มีเรื่องของฝีมือ การอ่านวิธีเล่นของคู่ต่อสู้ให้ออก ต้องได้ทั้งรับ และรุก เล่นให้ได้หลากหลาย ไม่อย่างนั้นถ้าคู่ต่อสู้แก้เกม แต่เราเล่นได้แบบเดียวมันก็จะยากสำหรับเรา”

“การรักษามาตรฐานของตัวเองก็สำคัญมากครับ เพราะผมมองว่านักแบดมินตันระดับโลกตอนนี้เก่งเท่ากันหมด ไปเจอใครก็มีแต่คนเก่ง มันขึ้นอยู่กับว่า เรารักษามาตรฐานของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน”

“ผมมองว่านักแบดมินตันที่สามารถรักษาระดับของตัวเองได้ เล่นดีตลอดทั้งปี คนที่คว้าแชมป์รายการนี้แล้วรายการหน้าได้แชมป์อีกมีน้อยมากครับ ตัวผมก็ทำไม่ได้ ผมพยายามพัฒนาตรงนี้อยู่ คงต้องรอให้ประสบการณ์สอนครับ เพราะผมก็ยังเป็นหน้าใหม่”

“สิ่งที่ผมทำคือ เก็บข้อผิดพลาดในแต่ละแมตช์ทุกรายละเอียด ว่าเราแพ้เขาเพราะอะไร เอามาปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้เจอกันครั้งหน้าผมต้องหาวิธีชนะคู่ต่อสู้คนนั้นให้ได้”

โอกาสครั้งสำคัญที่จะพิสูจน์ตัวเองของนักแบดมินตันที่ชื่อ กันตภณ หวังเจริญ กำลังจะมาถึง เพราะเขาคือหนึ่งในนักกีฬาไทยที่ได้สิทธิ์ ไปลุยโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในความฝันที่เขาตั้งตารอคอยมาตลอดทั้งชีวิต

ไม่เพียงเท่านั้น หนุ่มคนนี้ยังได้รับการคาดหวังจากสื่อไทย ถึงโอกาสที่จะได้เห็นนักแบดมินตันชายชาวไทย ไปได้ไกลในโอลิมปิก เพราะนับตั้งแต่หมดยุคทองของ “ซูเปอร์แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ ชื่อของ กันตภณ หวังเจริญ คือคนที่มีโอกาสก้าวไปถึงจุดนั้นมากที่สุด

“ผมไม่ได้รู้สึกกดดันครับ มองเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้เอาแรงผลักดันตรงนี้ มาทำผลงานให้เต็มที่ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมดีพอ”

“สำหรับโอลิมปิกครั้งนี้ ผมโฟกัสไปที่การเล่นให้เต็มที่มากกว่า ผมเชื่อว่าในแต่ละรอบ ถ้าเราเล่นอย่างเต็มร้อย ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จครับ”

อีกไม่กี่วันข้างหน้า โอลิมปิก เกมส์ 2020 กำลังจะอุบัติขึ้น เราคงจะได้รู้กันว่า นักแบดมินตันหนุ่มชาวไทย จะประสบความสำเร็จ ดั่งที่ตัวเขาคาดหวังไว้หรือไม่

ไม่ว่าจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือโศกเศร้าเคล้าน้ำตา แต่สิ่งหนึ่งที่รับประกันได้คือ กันตภณ หวังเจริญ จะเดินหน้าต่อไปในฐานะนักแบดมินตัน เพราะนี่คือความสุขที่แท้จริงของเขา ที่จะไม่มีอะไรมาทดแทนได้

“ทุกวันนี้ ผมเล่นแบดมินตัน เพราะว่าผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ตีแบด เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคิดว่าเหนื่อย อยากจะหยุด แต่พอเจอช่วง COVID-19 ผมก็อยากกลับไปตีแบดมากครับ”

“ผมเล่นแบดมาทั้งชีวิต แบดมินตันให้อะไรกับผมเยอะมากครับ ทำให้ชีวิตของผมดีขึ้น ถ้าไม่เล่นแบดมินตันก็ไม่รู้จะไปทำอะไรเหมือนกัน” 

“ผมคิดว่าถ้าเราทำสิ่งใดแล้วมีความสุข มันก็จะได้ดี ความสุขในการเล่นแบดมินตันยังคงเป็นแรงผลักดันให้กับผมครับ” กันตภณ ทิ้งท้าย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ << คลิกที่นี่

อัพเดทข่าว ผลบอล พรีเมียร์ลีก แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่นในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
คลิกเลย!! bit.ly/2PsYXMG หรือ กด *301*32# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้