TRUE OPINIONS : "ท็อป 5" สิ่งที่อยากเห็นในไทยลีกฤดูกาล 2018 ... by "บีม ภควิชญ์"

TRUE OPINIONS : หลังจากฟาดแข้งกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดฟุตบอลลีกไทยฤดูกาล 2017 ก็มาถึงบทสุดท้ายของการแข่งขัน
ถ้วยแชมป์หลักทั้งสามถ้วยถูกกระจายตัวไปยังสามภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ลีกที่ตกเป็นของ บุรีรัมย์ฯ ยักษ์ใหญ่จากแดนอีสาน, ส่วน เอสซีจี เมืองทองฯ ได้ถ้วยลีกคัพมาปลอบใจ และปิดฉากสุดท้ายก็เป็น เชียงราย ยูไนเต็ด เจ้าบุญทุ่มแห่งแดนเหนือ ที่สามารถคว้าชัยในศึก เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามในฐานะคนที่ทำงานในวงการฟุตบอล เวลาพักผ่อนมันช่างแสนสั้น
หลายทีม โดยเฉพาะทีมในลีกรอง เริ่มเรียกนักกีฬากลับมาฝึกซ้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายของทีมในฤดูกาลข้างหน้า
เรียกได้ว่าบางทีมยังฉลองยังไม่อิ่ม บางทีมยังเศร้าไม่ทันหาย แต่ฤดูกาลใหม่ก็มาจ่อให้ได้แก้มือกันอีกแล้ว
ฝ่ายทีมบริหารก็คงต้องเสาะหานักเตะใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มทีมตามงบประมาณของตนเอง รวมถึงฝ่ายการตลาดที่ต้องวางแผนระยะยาวสำหรับฤดูกาลข้างหน้า
ผมทราบดีว่าแต่ละทีมมีทิศทาง, เป้าหมาย รวมถึงความจำเป็นที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีหลายสิ่งที่ผมหวังอยากเห็นในฟุตบอลลีกไทยฤดูกาล 2018 เพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นการกระตุ้นความน่าสนใจของฟุตบอลไทยในฤดูกาลหน้า ซึ่งพอมานั่งลิสต์แล้วก็แอบยาวเป็นหางว่าวเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เลือก “ท็อป 5” สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องต่อไปนี้
สองทีมคู่รักคู่แค้นที่ขับเคี่ยวแชมป์แชมป์ลีกมาตลอดหลายปี
ขอบคุณภาพ : เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
1. การขับเคี่ยวสู่แชมป์ลีกที่เข้มข้นกว่าเดิม
นับตั้งแต่ ชลบุรี เอฟซี ผู้ปลุกกระแสฟุตบอลภูมิภาค เข้าป้ายเหนือทีมธนาคารกรุงไทย คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกและสมัยเดียวของสโมสรไปครองแบบยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2007 ถือเป็นการปลดแอกและสร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลลีกไทย
10 ปีผ่านไป เรากลับได้เห็นแค่ชื่อของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (รวมสมัยที่ยังเป็นการไฟฟ้าฯ), เมืองทอง ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี และ แบงค็อก ยูไนเต็ด เพียง 4 ทีมเท่านั้น ที่สามารถหลุดเข้ามาจองตำแหน่งแชมป์ และรองแชมป์
ยิ่งถ้ามองไปที่หัวสุดของตาราง เราจะพบเพียงแค่ชื่อของ “ปราสาทสายฟ้า” และ “กิเลนผยอง” เพียงสองทีมเท่านั้น
ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องดีที่ทั้งสองทีมสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นหัวแถวของประเทศและอาเซียน รวมถึงสามารถท้าทายกับทีมในระดับเอเชียได้แบบไม่กลัวใคร
แต่ในแง่ความน่าสนใจของลีกแล้ว เราควรมีทีมที่ได้ลุ้นแชมป์ถึงช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายมากกว่าสองทีมข้างต้น
เชียงราย ยูไนเต็ด ทีมที่มาแรงที่สุดในรอบปีทั้งใน และนอกสนาม
ในมุมมองของผม “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ด น่าจะเป็นทีมนึงที่มีลุ้นแชมป์หลังได้รับพลังบวกจากการคว้าแชมป์บอลถ้วยในฤดูกาลนี้ รวมถึงแนวทางในการเสริมทัพฤดูกาลหน้าที่น่าจะมีการหมุนเวียนผู้เล่นฝีเท้าดีเข้ามาในสโมสรเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังหวังใจว่าจะมีอีกซัก 1-2 ทีมที่สามารถทำทีมให้ได้ลุ้นแชมป์ไปจนถึงเลกที่สองของฤดูกาล
ยิ่งเรามีทีมที่ได้ลุ้นมากเท่าไหร่ ความน่าติดตามของลีกก็จะยิ่งมีช่วงระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น ไม่ไปกร่อยในช่วงท้าย ๆ ฤดูกาลเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
ขอบคุณภาพ : เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
2. กองหน้าไทยนอกเหนือจาก “มุ้ย” ที่ยิงประตูได้มากกว่าฤดูกาลละ 15 ประตู
ตั้งแต่ฟุตบอลให้ความสำคัญต่อการวางตำแหน่ง กองหน้ามักเป็นตำแหน่งที่ถูกส่งลงสู่สนามน้อยกว่าตำแหน่งอื่น ๆ ในการจัดผู้เล่น 11 ตัวจริง (ยกเว้นผู้รักษาประตู)
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่หลายทีมนิยมการเล่นกองหน้าตัวเดียว เนื่องจากโมเดิร์นฟุตบอลที่เน้นการชิงพื้นที่ในแดนกลางค่อนข้างมาก
หากดูแนวทางการเสริมทัพผู้เล่นแล้ว เรามักจะสังเกตเห็นว่าหลายทีมมีการนำเข้ากองหน้าต่างชาติไว้ในทีมถึง 2-3 คน ส่งผลให้กองหน้าไทยต้องกลายเป็นตัวเลือกอันดับท้าย ๆ ภายในทีมเท่านั้น
ฤดูกาลล่าสุด “ธีรศิลป์ แดงดา” คือผู้เล่นสัญชาติไทยที่ซัดประตูได้มากที่สุด ในจำนวนทั้งสิ้น 14 ประตู
สิ่งที่ผมเป็นห่วง ไม่ใช่จำนวนประตูของ “มุ้ย” ที่ห่างจากดาวซัลโวของลีกอย่าง ดราแกน บอสโควิช ไปถึง 24 ประตู (ดราแกน ซัดไป 38 ลูก) แต่เป็นโอกาสลงสนามและจำนวนประตูของผู้เล่นสัญชาติไทยในอันดับต่อ ๆ มามากกว่า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในท็อป 25 ของตารางดาวซัลโว เรามี “ธีรศิลป์” คนเดียวที่เป็นผู้เล่นสัญชาติไทย
ดราแกน บอสโควิช กับ 38 ประตูที่ส่งให้เจ้าตัวคว้าตำหน่งดาวซัลโวไทยลีก
ตอนนี้ “มุ้ย” ใกล้ 30 ปีเข้าไปทุกขณะ และเราควรเริ่มมี “ศูนย์หน้า” ที่เป็นตัวตายตัวแทนได้แล้ว
ผมหวังว่าในปีหน้าเราจะมีกองหน้าสัญชาติไทยที่สามารถทำประตูได้ใกล้เคียงจำนวน 15 ประตู เข้ามาเป็นตัวเลือกให้ทีมชาติ และถ้ายังมีอายุไม่มากก็ยิ่งดี
ทีมชาติไทยในยุคราเยวัช มีกองหลัง และกองกลางให้เลือกเต็มไปหมด แต่ต้องคิดหนักเวลาจะเรียกศูนย์หน้ามาติดธงช้างศึก เพราะตัวเลือกที่ค่อนข้างจำกัด และผลงานที่ไม่ป็นชิ้นเป็นอัน
จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เพราะชาติเราผลิตกองหน้าไม่ได้ แต่เหตุมันเกิดจากการได้ลงสนามน้อยเกินไปมากกว่า
การมีใครซักคนเข้ามาแบ่งเบาภาระของ “มุ้ย” ได้ ย่อมเป็นเรื่องดีของทีมชาติในระยะยาว และยังทำให้ลีกฟุตบอลไทยมีฮีโร่ชาวไทยเพิ่มขึ้นอีกคนด้วย
ขอบคุณภาพ : เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
3. ทีมไทยผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม ACL มากกว่าหนึ่งทีม
โดยปกติแล้ว ทีมจากไทยลีกจะได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติในรายการ AFC แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามโควต้าที่ถูกจัดสรรไว้ให้เพียงแค่ทีมเดียว
ในขณะที่อีกสองทีมจะต้องลงเล่นในรอบคัดเลือกเป็นจำนวนทั้งสิ้นสองนัดก่อน
สองทีมดังกล่าวในฤดูกาล 2018 คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (โควต้าอันดับสองของลีก) และ เชียงราย ยูไนเต็ด (แชมป์ เอฟเอ คัพ)
รอบคัดเลือกรอบสองที่ทั้งคู่จะต้องลงแข่งขันเป็นนัดแรกนั้น หลายคนมองว่าไม่ใช่งานหนักสำหรับทั้งสองทีม เพราะเป็นทีมจากลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์ด้อยกว่าประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม เมืองทองฯ คงไม่สามารถประมาท ยะโฮร์ ดารูล ตักซิม ได้ หลังจากทีมมหาอำนาจจากแดนเสือเหลืองสถาปนาตนเองเป็นทีมชั้นนำของอาเซียน และคอยสร้างงานหนักให้ทีมจากไทยในระยะหลัง
เมื่อผ่านบททดสอบแรกได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาเจอของจริง โดย เมืองทองฯ จะต้องเจอทีมจากประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ เชียงรายฯ ถูกล็อคไว้สายเดียวกับ เซี่ยงไฮ้ SIPG ที่มีดาวเตะระดับเกรดต้น ๆ ของโลกอยู่ในทีม
จากประวัติศาสตร์แล้วทีมจากประเทศไทยที่ได้โควต้าเล่นรอบคัดเลือกมักจะจอดป้ายที่รอบนี้
แต่ผมยังหวังลึก ๆ ว่าเราจะมีทีมที่หลุดเข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มมากกว่าหนึ่งทีม ร่วมกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ไปยืนรออยู่ก่อนแล้ว เพื่อค่าสัมประสิทธิ์ที่ดีขึ้นของลีกไทย
หาก เมืองทองฯ ไม่เทขายผู้เล่นทีมชาติออกนอกประเทศตามที่เป็นข่าวจนหมด ผมว่า “กินเลนผยอง” ยังมีโอกาส เพราะทีมก็เคยแสดงให้เห็นมาก่อนแล้วว่าสามารถสู้กับทีมจากต่างชาติได้สูสี
ขอบคุณภาพ : FOX Sports Asia
4. การอิมพอร์ตนักฟุตบอลเพื่อนบ้านอาเซียน
หากใครได้ติดตามช่วงตลาดซื้อขายที่กำลังดำเนินไปในปัจจุบัน เราคงได้เห็นหลาย ๆ ทีมถูกโยงข่าวเข้ากับนักฟุตบอลจากประเทศอาเซียนมากขึ้น
ส่วนหนึ่งมาจากการที่ในฤดูกาล 2018 ไทยลีกจะมีการเพิ่มโควต้าอาเซียนเข้ามาในการลงทะเบียนรายชื่อนักเตะ ทำให้แต่ละสโมสรสามารถเลือกให้โอกาส และเซ็นสัญญากับนักฟุตบอลจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลลัพธ์ทั้งในสนาม และนอกสนาม
เพราะนอกจากฝีเท้าของนักฟุตบอลระดับทีมชาติอาเซียนแล้ว เรายังสามารถหวังผลทางการตลาดจากพวกเขาเหล่านี้ได้อีกด้วย
หากใครยังสงสัยว่าแรงกระเพื่อมทางการตลาดนั้นรุนแรงขนาดไหน ลองแอบไปส่องเพจหลักของสโมสร โปลิศ เทโร ตอนนี้ดูก็ได้ครับ
ตั้งแต่ เทโรฯ มีข่าวโยงกับ อ่อง ธู ว่ามีการเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ขอบอกเลยว่ามีแฟนคลับจากประเทศเพื่อนบ้านให้ความสนใจกันเยอะมาก
และถ้าทุกทีมมีการเซ็นสัญญาและให้โอกาสนักเตะเหล่านี้อย่างเหมาะสม ผมมองว่าลีกของเราจะยกระดับขึ้นไปอีก เป็นลีกฟุตบอลที่เหมือนกับจุดหมายของนักฟุตบอลในระดับอาเซียน เหมือนที่นักเตะไทยอยากเดินทางไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่นหรือยุโรปในปัจจุบัน
โอเค เราอาจยอมรับว่าตอนนี้กระแสแฟนบอลในประเทศค่อนข้างซบเซา แต่ต้องยอมรับว่าคุณภาพและการจัดการของลีกเราดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอยู่พอตัว สิ่งนี้น่าจะเป็นแม่เหล็กที่ดึงความสนใจจากต่างชาติได้ดี
5. การยุบทีมที่ไม่มีความพร้อมในลีกล่าง
ระหว่างที่ผมเขียนบทความนี้ ก็กำลังนั่งลุ้นไปด้วยว่าจะมีสโมสรไหนในลีกฟุตบอลประเทศไทยที่จะถอนตัวเพิ่มอีกมั้ย
เหตุผลหลัก ๆ ของการหยุดทำทีมก็ไม่มีอะไรมาก…
ไม่มีเงิน ทำแล้วไม่คุ้ม เข้าเนื้อ ไม่รู้จะทำไปทำไม
ผมเคยย้ำในพื้นที่ไปแล้วว่ายุคนี้เราไม่สามารถหวังที่จะอยู่รอดด้วยเงินค่าเข้าชมและซื้อของที่ระลึกได้เหมือนในอดีต สิ่งเดียวที่พอประคองให้ไม่เจ็บจนเกินไปก็คือสปอนเซอร์และค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด
แล้วไอ้สองอย่างนี้ มันไม่มีเยอะหรอกครับ สำหรับทีม T3 หรือ T4
ในฤดูกาล 2017 ไทยลีก 3 โซนบนมีจำนวนผู้ชมที่หากรวมทุกนัดทุกสนามมาเฉลี่ยจะตกอยู่ที่ 999 คน ในขณะที่โซนล่างยิ่งไปใหญ่ ตัวเลขอยู่ที่ 404 คนเท่านั้นเอง
คนดูหลักร้อย ไม่มีใครอยากสนับสนุน ถ่ายทอดไปก็ไม่มีคนดู ทุนหายวับส่วนกำไรไม่มีมาแต่แรก แถมถ้าเป็นนักการเมือง เงินไม่ถึงจริงมีแต่โดนด่า สุดท้ายก็ต้องโบกมือลาดีที่สุด
ผมได้มองว่าตรงนี้เป็นจุดวิกฤติอะไร แต่กลับมองว่าเป็นเรื่องดีซะอีก ที่เราจะได้ลดจำนวนทีมให้เหลือเฉพาะทีมที่มีความพร้อมจริง ๆ
ส่วนตัวแล้วผมยังมองว่าการมี 4 ลีกในระบบฟุตบอลอาชีพ เป็นจำนวนที่มากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่แฟนฟุตบอลเริ่มลดจำนวนลง และ ถ้าหากดู ๆ แล้วแฟน ๆ ของแต่ละสโมสร T3 กับ T4 เขารู้ดีว่าทีมไหนมีลุ้นหรือไม่คิดจะลุ้น
ผมยังหวังลึก ๆ ว่าฟุตบอลภูมิภาคตามจังหวัดต่าง ๆ จะกลับมาเบ่งบานและอัดแน่นไปด้วยคนดู แต่ในเมื่อตัวเลือกนั้นดูไม่มีหนทางเป็นไปได้ เราก็ควรเลือกที่จะลดปริมาณลงเพื่อเพิ่มคุณภาพจะดีกว่า
ขอบคุณภาพ : บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ก็จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับ “ท็อป 5” ของสิ่งที่ผมอยากเห็นจากฟุตบอลไทยลีกฤดูกาล 2018 โดยพยายามเลือกสิ่งที่มันน่าจะเกิดขึ้นและไม่ดูเกินขอบเขตของคำว่า “เป็นไปได้”
เอาจริง ๆ แล้วถ้า 5 ข้อนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงซัก 1-2 ข้อมันก็ถือว่าถูกใจผมมากแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าฟุตบอลไทยจะนับว่ามีการพัฒนาไปข้างหน้าไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง… ตอนนี้เราอาจจะเดินช้าลงบ้างหากเทียบกับความเร็วในการสาวเท้าของ 10 ปีที่ผ่านมา
แต่มันก็ยังดีกว่าหยุดเดินหรือเดินถอยหลัง จริงมั้ยครับ ?
“BEAM”
ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports