ปิดตัวลงไปแล้วสำหรับตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ โดยที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลปล่อยผู้เล่นไปทั้งหมด 11 คน ทั้งขายขาด ปล่อยยืม และปล่อยหมดสัญญา ซึ่งก็เป็นทั้งนักเตะตัวหลักและตัวสำรอง เช่น ซาดิโอ มาเน, ดิว็อค โอริกี, ทาคุมิ มินามิโนะ เป็นต้น และก็ได้ทำการเสริมทัพมาทั้งหมด 4 คน ประกอบไปด้วย ดาร์วิน นูนเญซ, คาลวิน แรมซีย์, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ และรายล่าสุดแบบสดๆ ร้อนๆ อย่างอาร์ตู เมโล ที่ยืมตัวมาจากยูเวนตุสในวันสุดท้ายของตลาด มองภาพรวมการเสริมทัพก็อาจจะดูน่าพอใจ น่าชื่นชม เพราะมีทั้งดีลที่เป็นสถิติสโมสรอย่างนูนเญซ หรือดีลลงทุนเพื่ออนาคตอย่างคาร์วัลโญ แต่ไม่ใช่เลย เพราะ ตลาดรอบนี้ทั้งเยอร์เกน คล็อปป์ และ FSG ที่เป็นเจ้าของทีมโดนสวดยับ เนื่องจากเสริมทีมได้แบบขัดใจแฟนบอลสุดๆ จะเป็นยังไง ในบทความนี้ผมจะขอพูดในมุมของแฟนบอลคนนึงที่รักทีมมากๆ ละกันนะครับ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้ต้องการจะไล่ทั้งสองออกจากลิเวอร์พูลนะครับ เหมือนเป็นการมาบ่นให้ฟังในมุมมองของแฟนบอลละกัน โดยพาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทเรื่องอีโก้ของคล็อปป์ครับตามชื่อบทความที่ผมได้บอกไปเลยครับ อีโก้ของคล็อปป์กำลังทำร้ายลิเวอร์พูล เพราะอะไรน่ะหรอครับ เพราะว่าตัวคล็อปป์นั้นเชื่อมั่น ยึดมั่น ไว้ใจในลูกทีมของตัวเองมากเกิน มากเกินไปจริงๆ โอเค การเชื่อมั่น การให้ความมั่นใจในตัวลูกทีมนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในการจัดการบริหารทีม แต่ทุกอย่างมันต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี ซึ่งดูเหมือนคล็อปป์จะมีให้กับลูกทีมบางคนมากเกินพอดีจนเกินไปลูกทีมคนแรกที่ผมอยากพูดถึงก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ รุ่นพี่ซีเนียร์ พี่ใหญ่(แก่)สุดในทีมชุดนี้ มิลเนอร์ลงเล่นในฤดูกาลนี้ด้วยอายุที่ 36 ปี ซึ่งถ้าดูจากภายนอก ดูจากรูปร่างของมิลเนอร์นั้นสุดยอดมาก เพราะมิลเนอร์เป็นคนที่ดูแลสภาพร่างของตัวเองได้สุดยอดมากๆ แทบจะไม่มีส่วนไหนในร่างกายมีไขมันให้แฟนบอลได้เห็นเลย รวมไปถึงการมีระเบียบวินัยที่สูงมากๆ ทัศนคติที่เยอะเยี่ยม ความเป็นผู้นำ ประสบการณ์ของมิลเนอร์นั้นก็มีประโยชน์ต่อน้องๆ ภายในทีมมากๆ ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่คล็อปป์จะเลือกที่จะต่อสัญญา และเก็บมิลเนอร์ไว้อยู่กับทีมต่อไป เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้อง แต่คล็อปป์อาจจะลืมไปว่ามิลเนอร์นั้นอายุ 36 แล้ว ความรวดเร็วในเกมฟุตบอลระดับสูง แล้วยิ่งเป็นฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษยิ่งสูงและรวดเร็วขึ้นไปอีก มันคือสิ่งที่มิลเนอร์แทบจะตามไม่ทันแล้ว บางครั้งความเชื่องช้าของมิลเนอร์ก็ทำลายการสร้างโอกาสในเกมไป หรือบางทีก็จะทำให้ทีมมีโอกาสโดนยิงประตู หลายครั้งมากๆ ที่มิลเนอร์คิดช้า ทำช้า จะเปิดบอลแต่ละครั้งก็ต้องแต่งบอลให้เข้าเหลี่ยมเท้าขวาก่อนถึงจะเปิดได้ ซึ่งมันทำให้เสียโอกาสในการทำประตูหลายต่อหลายครั้ง จากที่จะลงมาช่วยแบ่งเบาภาระของน้องๆ สุดท้ายกลายเป็นสร้างงานเพิ่มให้กับน้องๆ แทนอย่างที่ผมบอกไปว่าไม่แปลกว่าทำไมคล็อปป์ถึงเลือกที่จะต่อสัญญากับมิลเนอร์ไปจนถึงปี 2023 หรือกลางปีหน้า เพราะตามเหตุผลที่ผมได้บอกไป มันเหมาะสมที่จะสัญญาใหม่กับเขาจริงๆ แต่ด้วยวัยขนาดนี้มิลเนอร์ควรที่จะเป็นตัวสำรอง ควรที่จะลงมาในเกมที่ความเข้มข้นของเกมไม่ได้สูงมากนัก อาจจะเป็นเกมที่ลงในบอลถ้วยภายในประเทศ โอเคแหละว่าก็ในเมื่อนักเตะคนสำคัญอย่างติอาโก อัลคันทาราเจ็บ มันเลยจำเป็นต้องใช้ แต่อย่าลืมว่าคุณเซ็นฟาบิโอ คาร์วัลโญมาแล้วนะ ถึงน้องจะเป็นแค่ดาวรุ่งก็จริง แต่น้องเป็นคนที่ดูมี Potential ที่ดีมากในการขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ และก็โชว์ฟอร์มได้ดีมากๆ เวลาที่ได้รับโอกาส ทำไมเราลองไม่เลือกใช้ความสดใหม่ของเด็ก มาผสมกับความเก๋ารุ่นพี่คนอื่นภายในทีมล่ะ หรือถ้าไม่อยากเสี่ยงทำไมถึงไม่ซื้อคนที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วย หรือมาเป็นแบ็คอัพคอยสลับหมุนเวียน ดื้อใช้คนที่ไม่ค่อยจะทันเกมระดับสูงแล้วไปทำไม สุดท้ายพอผลงานไม่ดี นอกจากตัวคล็อปป์เองที่จะโดนด่าแล้ว ตัวมิลเนอร์ก็จะโดนด่าไปด้วยอีกนะ สำหรับผมแล้วผมไม่ติดใจเลยที่มิลเนอร์ได้อยู่กับทีมต่อ แต่การลงเล่นของเขาควรที่จะลงเล่นในเกมที่ไม่ได้แข่งขันกันในระดับสูง ลงมาประคองน้องๆ ในเกมบอลถ้วย มันควรเป็นแบบนั้นจะดีกว่าลูกทีมคนต่อไปที่ผมจะขอพูดถึง ผมขออนุญาตมัดรวมกันมาทีเดียวเลยละกัน นั่นก็คือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และนาบี เกอิตา สองกองกลางผู้ที่กระดูกเปราะกว่ายุง บอกตรงๆ ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เบื่อสองคนนี้มากๆ เพราะเจ็บกันบ่อยซะเหลือเกิน เจอหน้าหมอบ่อยกว่าเจอหน้าเพื่อนร่วมทีมมั้งเนี่ย แล้วยิ่งในรายของดิอ๊อกซ์ยิ่งไปกันใหญ่เลยสำหรับผมนะ เพราะว่าดูยังไงก็รู้ว่าเจ้าตัวหมดแพสชั่นกับทีมไปแล้ว มันเห็นได้ชัดมากๆ จากคลิปเบื้องหลังในเกมต่างๆ ที่ทีมงานได้ถ่ายเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น ตอนฉลองแชมป์บอลถ้วยในประเทศเมื่อซีซันที่ผ่านมา เพื่อนๆ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นตัวจริง ตัวสำรอง หรือคนที่เจ็บก็จะไปฉลองแชมป์กันข้างหน้า เฮฮากัน แต่กับดิอ๊อกซ์นั้น เจ้าตัวเลือกที่จะหลบอยู่ในมุม อยู่หลังฉาก หน้าตาก็ไม่ยิ้มแย้มเหมือนไม่ได้ดีใจไปด้วยที่ทีมได้แชมป์ พอเพื่อนฉลองเสร็จก็เลือกที่จะเดินออกไปคนแรก พอกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือถึงแม้ว่าเพื่อนจะกระโดดโลดเต้นดีใจกัน พอกล้องแพลนไปจับก็ขยับออกไปจากเฟรม นี่ยังไม่รวมกับฟอร์มที่ออกทะเล ออกนอกจากจักรวาลแบบกู่ไม่กลับอีกแล้วนับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บหนักบริเวณ ACL ในนัดที่เจอโรมาในเกม UCL 2017-2018 ถึงแม้ว่าคล็อปป์พยายามจะจับเขาไปเล่นตำแหน่งอื่นแล้วบ้างก็ไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้เลย เพราะต้องยอมรับว่าก่อนที่เขาจะเจ็บยาวไป เขามีฟอร์มการเล่นที่สุดยอดมาก เป็นที่พึ่งของทีมได้ มีทีเด็ดจากลูกยิงไกลหลายครั้ง แต่ในเมื่อสุดท้ายไม่สามารถพาฟอร์มแบบนั้นกลับมาได้ แถมไม่มีใจอยู่กับทีมอีกแล้ว ทำไมไม่ขอย้ายออกไปเลย เก็บไว้ทำไม ค่าเหนื่อยก็แสนแพงส่วนนาบี เกอิตา คนนี้เป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวที่สุดคนนึงของสโมสรและคล็อปป์เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากค่าตัวที่จะแพงแสนแพงแล้ว ยังต้องไปพรีออเดอร์มาก่อนตั้งปีนึง แถมไม่พอยังจะมาใส่เบอร์ 8 เบอร์ตำนานของทีมอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ดอีก แต่สุดท้ายผลงาน 5 ปีที่อยู่กับทีมมา ลงเล่นไป 117 นัด ยิง 11 แอสซิสต์ 7 เฉลี่ยแล้วลงเล่นฤดูกาลละ 23 นัดเท่านั้น ตัวเลขลงเล่นมากกว่าร้อยนัดอาจจะดูไม่ขี้เหร่ แต่อย่าลืมว่าเราซื้อเกอิตามาด้วยค่าตัวระดับ 60 ล้านยูโร (ข้อมูลจาก transfermarkt) เลือกที่จะสวมใส่เบอร์ตำนาน แต่คุณกลับลงเล่นเฉลี่ยต่อฤดูกาลไม่ถึง 30 นัดเลย แล้วยิ่งฤดูกาล 2020-2021 ยิ่งไปไกลกัน เพราะลงเล่นในทุกรายการไปแค่ 16 นัด รวมเบ็ดเสร็จแล้ว ตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาลกับลิเวอร์พูล เกอิตามีรายงานอาการบาดเจ็บไปแล้ว 17 ครั้ง เฉลี่ยแล้วฤดูกาลนึงเจ็บอย่างน้อย 3 ครั้ง มันอาจจะดูน้อยแต่ถ้าเรามาดูจำนวนวันและจำนวนเกมที่เขาไม่ได้ลงเล่นจากอาการบาดเจ็บราย ข้อมูลจาก transfermarkt บอกไว้ว่า การบาดเจ็บ 17 ครั้งของเกอิตานั้น ทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นจำนวน 356 วัน หรือเกือบปีนึง หรือถ้าเป็นจำนวนเกมแล้วเขาไม่ได้ลงเล่นไป 68 นัด เกือบเท่ากับเกมลีก 2 ฤดูกาลที่เขาพลาดการลงเล่นจากอาการบาดเจ็บ (ข้อมูลนับจากวันที่ 3 กันยายน 2022) ความจริงเกอิตาเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ดีเลย เขาจะมีการเล่นบอลที่คล่องตัว เลี้ยงกินตัวได้ดี ไปกับบอลได้ บางครั้งก็ยิงไกลสวยๆ แต่ในเมื่อเขาแทบจะไม่ได้ลงเล่นกับทีม มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับทีมใช่หรือไม่ แถมช่วงหลังก็มีข่าวมาว่าเจ้าตัวไม่พอใจที่ต้องนั่งสำรองบ่อย อยากจะย้ายทีม ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเขาดูไม่ดีไปอีก คำถามคือก่อนจะไม่ได้นั่งสำรอง รู้ใช่ไหมว่าตัวเองต้องห้ามเจ็บบ่อยขนาดนี้ ไม่รู้จริงๆ หรอว่าทำไมถึงต้องนั่งสำรองบ่อยขนาดนี้และอีกหนึ่งตัวอย่างของอีโก้ที่สูงเกินไปของคล็อปป์ก็คือ การซื้อนักเตะนั้นจะรอ "คนที่ใช่" เท่านั้น คำถามคือ คนที่ใช่นั้นคือใคร? "จู๊ด เบลลิงแฮม" ของดอร์ทมุนด์ที่เป็นข่าวจะซื้อในช่วงตลาดซัมเมอร์ปีหน้าอะหรอ? คำถามคือ คุณมั่นใจได้ไงว่านักเตะเขาจะยอมย้ายมา หรือคุณจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่มีทีมอื่นเข้ามาแย่ง คุณอย่าลืมนะว่ามีทั้งเรอัล มาดริด มีทั้งแมนซิตี้ที่พร้อมจะแย่งคุณและให้ข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าคุณทั้งค่าตัว ค่าเหนื่อย ทำไมคุณถึงจะรอคนที่ใช่อย่างเดียว ระหว่างทางคุณจะไม่คิดจะเหล่ไปมองที่นักเตะคนอื่นก่อนเลยหรอ ยูริ ติเลอมองส์? รูเบน เนเวส? นิโคโล บาเรลลา? หรือคนอื่นๆ คุณไม่คิดจะซื้อคนอื่นบ้างหรอระหว่างรอคนที่ใช่ เพราะถ้าสมมุติเกิด Worst Case จริงในกรณีที่พลาดเป้าคนที่ใช่ อย่างน้อยคุณก็ยังมีนักเตะมีมาเป็นอะไหล่ หรือสำรองที่หมุนเวียนได้ แล้วยิ่งในเมื่อบอร์ดเขาก็ให้อำนาจคุณเบ็ดเสร็จในการเลือกซื้อตัวแล้ว ขอแค่บอกก็จะจัดให้แต่คุณกลับไม่ทำ เลือกที่จะรอคนที่ใช่อย่างเดียว ในรายของ "ออเรเลียง ชูอาเมนี" ที่มีข่าวว่าจะซื้อมาในช่วงตลาดที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็โดนมาดริดกระชากไป ซึ่งพอพลาดชูอาเมนีก็ไม่เสริมใครเข้ามาแทนเลย คำถาม คือ ไม่มีแผนสำรองเลยหรอ? จะเชื่อมั่นในทีมตัวเองไปถึงขนาดไหน แถมปีนี้ตัวรุกที่เล่นแดนบนก็ปล่อยออกทีมไป 3 คน (มาเน, โอริกี และมินามิโน) แต่กลับได้นูนเญซเข้ามาเพียงคนเดียว มันเพียงพอหรอ? มันไม่ได้พอดีกับการทดแทนเลยนะคล็อปป์บอกว่าจำนวนกองกลางของทีมนั้นมีเยอะแล้วถ้าหากตัวผู้เล่นครบ ไม่มีใครบาดเจ็บซึ่งมันก็จริงอย่างที่คล็อปป์พูดจริงๆ (ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน, ติอาโก, โจนส์, มิลเนอร์, อ็อกซ์เลด, เกอิต้า, เอลเลียต, คาร์วัลโญ) แต่จำนวนเยอะในที่นี้ ความสามารถ หรือการสร้างความแตกต่างในเกมของพวกเขามีเยอะตามไปด้วยหรือไม่ มิดฟิลด์ในแทคติกของคล็อปป์นั้นมีแต่สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน นั่นก็คือ เน้นพละกำลัง ความอึดในการไล่เพรสซิง มีเพียงติอาโกคนเดียวเองมั้งที่ดูแตกต่างจากคนอื่น เพราะเจ้าตัวจะมีลูกจ่ายที่เป็นคิลเลอร์พาส หรือเทคนิคการเล่นที่โดดเด่น ที่เหลือคือแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย หรือจะเป็นฮาวีย์ เอลเลียตกับฟาบิโอ คาร์วัลโญ น้องสองคนนี้ก็ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ นับตั้งแต่ที่ขายฟิลิเป คูตินโญไปให้บาร์เซโลนา ลิเวอร์พูลก็ไม่มีนักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็น "เพลย์เมกเกอร์" อีกเลยนี่คือนักเตะ 3 คนที่ผมยกมาให้เห็นอีโก้ ความเชื่อมั่นในตัวลูกทีมที่สูงจนเกินพอดีของคล็อปป์กำลังเป็นปัญหา โอเคแหละ ล่าสุดภายหลังคล็อปป์เองก็ออกมายอมรับเองว่าเขาคิดผิดในเรื่องของผู้เล่นตำแหน่งกองกลางซึ่งก็คือตำแหน่งของลูกทีม 3 คนของคล็อปป์ที่ผมได้บอกไป จนทำให้ต้องมากระเสือกกระสนดิ้นรนหานักเตะในตำแหน่งกองกลางในช่วงท้ายของตลาด สุดท้ายก็ได้อาร์ตูมาจากยูเวนตุสด้วยสัญญายืมตัวในวันสุดท้ายของตลาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าจอร์แดน เฮนเดอร์สันไม่บาดเจ็บ จะยืมอาร์ตูมาหรือไม่เหมือนกัน ส่วนตัวผมอยากได้กองกลางที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ มีลูกยิงไกล มีลูกจ่ายที่ตัดหลังกองหลังคู่แข่ง สามารถเลี้ยงจี้กินตัวคู่แข่งได้ คือไม่ต้องไปถึงระดับคูตินโญในเวอร์ชั่นก่อนย้าย หรือไม่ต้องไปถึงระดับเควิน เดอ บรอยน์ของแมนซิตี้ก็ได้ แต่อยากได้นักเตะที่สร้างความแตกต่างภายในเกมได้ในเวลาที่ทีมต้องการความแตกต่างปีหน้าทั้งมิลเนอร์, ดิอ็อกซ์ และเกอิตาก็จะหมดสัญญา ดูแล้วก็คงที่จะไม่ต่อสัญญาเพิ่มอีกแน่ๆ ถ้าต่อคงได้ยินเสียงก่นด่าจากแฟนบอลอีกแน่ๆ เพราะคนนึงก็แก่จนเป็นภาระน้องๆ แล้ว คนนึงก็หมดแพสชั่นกับทีม อีกคนก็เจ็บบ่อยจนย้ายไปอยู่โรงพยาบาลแทนเถอะ แถมค่าเหนื่อยทั้ง 3 คนก็ไม่ใช่น้อยๆ หลักแสนปอนด์ขึ้นทุกคนสำหรับบทสรุปในพาร์ทของอีโก้ของคล็อปป์นั้น ผมไม่ได้หมายความว่าเราต้องไล่คล็อปป์ออกไป ผมยังสนับสนุนผู้จัดการทีมคนนี้อย่างสุดกำลัง เพียงแต่อยากตัวบอสเองนั้นลดอีโก้ของตัวเองลงมาบ้างเพียงเท่านั้นเอง อย่ายึดกับกับอะไรมากเกินไป ลูกทีมคนไหนควรเก็บ ลูกทีมคนไหนควรปล่อยต้องทำได้แล้ว อย่ามัวแต่เสียดาย อย่ามัวแต่รอคนที่ใช่เท่านั้นจบลงไปแล้วครับ สำหรับพาร์ทแรกของบทความนี้ พาร์ทต่อไปจะเป็นพาร์ทของความขี้งกของ FSG ที่อยู่ในชื่อของบทความ จะเป็นยังไงอย่าลืมติดตามชมกันนะครับ ขอบคุณครับขอบคุณข้อมูลจาก TransfermarktขอบคุณรูปภาพประกอบจากOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลOfficial Twitter ของลิเวอร์พูลOfficial Facebook ของดอร์ทมุนด์ภาพปก (ภาพ 1, ภาพ 2)ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6 Community คอบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์