จบลงไปแล้วสำหรับบิ๊กแมตช์ของทีมกลุ่มหัวตารางที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกันในฤดูกาลนี้โดยเป็นการพบกันของ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอลที่เปิดเอมิเรตส์ สเตเดียมเอาชนะจ่าฝูงอย่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลไปได้อย่างราบคาบ 3-1 โดยเป็นเกมที่อาร์เซนอลเล่นได้ดีกว่าผู้มาเยือนอย่างมาก สามารถคุมเกมได้ตลอด 90 นาที แถมประตูที่เสียก็เป็นการทำเข้าประตูตัวเองอีกด้วย ลิเวอร์พูลไม่ได้มีจังหวะที่น่ากลัวอะไรเลยในการทำประตู เรียกได้ว่าเกมนี้อาร์เซนอลเชือดลิเวอร์พูลได้แบบหมดจดและเล่นได้ดีกว่าแบบเบ็ดเสร็จ และผลจากการชนะในวันนี้ทำให้อาร์เซนอลไล่จี้ลิเวอร์พูลเหลือเพียง 2 คะแนนเท่านั้น กลับมามีลุ้นแชมป์เต็มตัวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแววเหมือนหลุดวงโคจรไปแล้วโดยผมได้รวบรวม 5 ประเด็นน่าสนใจหลังเกมคู่นี้ซึ่งมีทั้งประเด็นรายคนของนักเตะ, รายทีมและรวมไปถึงของทั้งสองทีมด้วย 5 ประเด็นที่จะพูดถึง มีเรื่องใดบ้าง ไปดูกันเลยครับเทรนท์และกราเฟนแบร์กห่วยมากๆเกมนี้เป็นเกมที่เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง หลังที่มีอาการบาดเจ็บไปในเกมที่พบกับอาร์เซนอลนี่แหละ แต่เป็นในเกมเอฟเอ คัพเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมและเจ้าหนูคอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวาดาวรุ่งก็ขึ้นมาเล่นแทนแถมทำผลงานได้ดีอีกด้วย แต่ก่อนเกม 1 วันมีข่าวว่าพ่อของแบรดลีย์นั้นเสียชีวิต ทำให้เทรนท์ได้รับโอกาสลงเล่นแทน ส่วนไรอัน กราเฟนแบร์กก็ได้ลงเล่นแทนโดมินิก โซโบซไลที่มีอาการบาดเจ็บและไม่ได้เดินทางมาลอนดอนกับทีม"ห่วยมากๆ" ใช่ครับ ผมพูดได้เลยว่าเกมนี้ทั้งเทรนท์และกราฟนั้นห่วยมากๆ ทั้งคู่เป็นทั้งจุดบอดและจุดให้อ่อนของทีม เป็นจุดที่อาร์เซนอลใช้บุกโจมตี โดยอาร์เซนอลนั้นขึ้นเกมรุกทางฝั่งซ้ายของตัวเองหรือทางฝั่งขวาของลิเวอร์พูลที่มีกราเฟนแบร์กและเทรนท์ยืนประจำการอยู่เริ่มที่เทรนท์ก่อนก็แล้วกันครับ เป็นปัญหาที่ผมเห็นและบ่นประจำก็คือเรื่องเกมรับของเทรนท์ ผมเข้าใจว่าเทรนท์คือนักเตะที่เล่นเกมรุกซะเป็นส่วนใหญ่ เคยเล่นกองกลางมาก่อน แต่ในเมื่อคุณมาเล่นในตำแหน่งเกมรับที่ชื่อว่า "ฟูลแบ็ค" แล้ว หน้าที่แรกของคุณคือ "เกมรับ" เน้นเกมรับให้แน่นอนไว้ก่อน ถ้าขึ้นแล้วหลุดตำแหน่งต้องรีบกลับมาช่วย แต่ภาพที่เห็นคือเทรนท์เสียบอล หลุดตำแหน่ง ทีมกำลังโดนสวนแล้ววิ่งจ๊อกกิ้งกลับตำนแหน่ง ภาพแบบนี้ผมเห็นประจำเลยที่เขามักจะไม่ได้วิ่งเต็มสปีดเพื่อลงมาช่วยเกมรับ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าเยอร์เกน คล็อปป์ก็คงสั่งให้นักเตะเล่นแบบเต็มที่ แต่อย่างที่เห็นครับ เหมือนเทรนท์ไม่ได้เต็มที่กับเกมรับเลยและไม่เคยที่จะรับมือกับกาเบรียล มาร์ติเนลลีอยู่เลยซักครั้งที่เจอกัน กลับเป็นแบรดลีย์เสียอีกที่ลงเล่นในเกมเอฟเอ คัพแล้วรับมือมาร์ตี้ได้ดีกว่า และนี่คือสถิติของเทรนท์ในเกมที่เจอกับอาร์เซนอลครับสัมผัสบอล 40 ครั้งผ่านบอล 21 ครั้ง (แม่นยำ 66%)เสียบอล 1 ครั้งชนะการแทคเกิล 0 ครั้งดักบอล 0 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 0 ครั้งมาถึงไรอัน กราเฟนแบร์ก ไม่รู้ว่าก่อนเกมได้กินข้าวอะไรหรือไม่ เพราะกราเฟนแบร์กเล่นเหมือนคนไม่มีแรง โดนเบียดนิดๆ หน่อยๆ ก็ล้ม ชนนิดชนหน่อยก็ล้มแล้ว แข้งขาเปลี้ยอ่อนแรงอะไรขนาดนั้นอะ ล้มง่ายมากๆ แถมก็ชอบเล่นยาก เล่นจังหวะเดียวแทบไม่มีให้เห็นเลย เสียบอลแบบไม่น่าเสียเป็นประจำ คือแทบจะหาประโยชน์ของการมีกราเฟนแบร์กในสนามไม่ได้เลยจริงๆ เป็นนักเตะที่มีทักษะการเล่นที่ดีมากๆ แต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย เป็นแบบนี้มาตลอดเลยในช่วงหลังมานี้ และนี่คือสถิติของกราเฟนแบร์กในการเจอกับอาร์เซนอลสัมผัสบอล 25 ครั้ง (น้อยที่สุดอันดับ 2 ของผู้เล่นตัวจริงในสนาม)ผ่านบอล 13 ครั้ง (แม่นยำ 85%)ชนะการแทคเกิล 0 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 2 ครั้ง (จากทั้งหมด 4 ครั้ง)และสุดท้ายทั้งคู่ก็โดนเปลี่ยนตัวออกพร้อมกันในนาทีที่ 58 บ่งบอกได้ชัดเจนว่าวันนี้ทั้งเทรนท์และกราเฟนแบร์กเล่นได้แย่มากๆคู่กลางอาร์เซนอลโคตรโหดวันนี้ต้องบอกว่าอาร์เซนอลชนะลิเวอร์พูลแบบเรียบวุธ เอาชนะได้แบบหมดจดจริงๆ โดยเฉพาะแดนกลางที่ลิเวอร์พูลสู้อาร์เซนอลไม่ได้เลย 3 กองกลางของหงส์แดงที่ประกอบไปด้วย อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์กและเคอร์ติส โจนส์ มีเพียงแม็คอัลลิสเตอร์คนเดียวที่พอสู้กับกองกลางของอาร์เซนอลได้ที่ประกอบไปด้วย เดแคลน ไรซ์, จอร์จินโญและมาร์ติน โอเดการ์ด โดยเฉพาะ 2 คนแรกอย่างไรซ์และจอร์จินโญที่เรียกได้ว่า "กินเรียบ" และ "เอาอยู่"เริ่มที่เดแคลน ไรซ์ครับ จะบอกว่าเป็นฟอร์มการเล่นที่ปกติของน้องข้าวก็ว่าได้ เพราะเราได้เห็นไรซ์เล่นแบบนี้เป็นประจำในฤดูกาลนี้ เป็นคนที่แบกกองกลางของอาร์เซนอลมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว ในวันที่อาร์เซนอลเล่นไม่ดีก็มีแต่ไรซ์นี่แหละที่มาตรฐานไม่เคยตกเลย ส่วนเกมไหนที่เพื่อนๆ ท็อปฟอร์ม ตัวไรซ์ก็จะยิ่งท็อปฟอร์มขึ้นไปอีก ปัดกวาดเกมรุกของคู่แข่งได้หมดจด เช่นเดียวกับในเกมนี้ เขามีคู่หูรุ่นพี่อย่างจอร์จินโญยิ่งทำให้งานของเขาง่ายขึ้นไปอีก แค่เอาบอลกลับมาแล้วส่งต่อให้จอร์จินโญจัดการต่อก็พอแล้ว หรือบางจังหวะเขาก็จัดการเองทั้งหมด และนี่คือสถิติของเดแคลน ไรซ์ในเกมนี้ครับสัมผัสบอล 69 ครั้ง (มากที่สุดอันดับ 2ในทีม)ผ่านบอล 53 ครั้ง (แม่นยำ 85%)ชนะการแทคเกิล 3 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ดักบอล 2 ครั้งเคลียร์บอล 2 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 5 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)คีย์พาส 2 ครั้งส่วนจอร์จินโญนั้นเกมนี้คือเกมที่เขาท็อปฟอร์มมากๆ คุมจังหวะ คุมเกมอย่างอยู่หมัด การผ่านบอลก็สุดยอด มีจังหวะแทงทะลุช่องสวยๆ หลายต่อหลายครั้ง ช่วยทั้งเกมรับและเกมรกของไรซ์และโอเดการ์ดได้ดีมากๆ และนี่คือสถิติเฮียจอร์ของแฟนๆ ปืนใหญ่หลังจบเกมครับสัมผัสบอล 70 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ผ่านบอล 52 ครั้ง (แม่นยำ 85% มากที่สุด)ดักบอล 4 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ชนะในการดวล 7 ครั้ง (มากที่สุดอันดับ 2)เคลียร์บอล 2 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 3 ครั้งผ่านบอลเข้าพื้นที่ Final Third 24 ครั้ง (มากที่สุด)คีย์พาส 2 ครั้งเสียแบบไม่น่าเสียทั้งคู่เกมนี้ทั้งประตูที่ลิเวอร์พูลตีเสมออาร์เซนอลและประตูที่อาร์เซนอลยิงขึ้นนำ 2-1 นั้นเป็นประตูที่มาความผิดพลาดของผู้เล่นทั้งสองทีม โดยประตูที่ลิเวอร์พูลตีเสมอความจริงมันเกือบจะไม่เป็นประตูด้วยซ้ำเพราะเป็นจังหวะที่หลุยส์ ดิอาซนั้นเตะไปโดนแขนของกาเบรียล มากัลเญซและปัดเข้าประตูตัวเองไป ส่วนประตูขึ้นนำ 2-1 ของอาร์เซนอลนั้นก็มาจากการสื่อสารที่ผิดพลาดของทั้งเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กและอลิซอนที่สื่อสารกันได้ไม่ดีพอจนออกมาชนกันในจังหวะที่บอลกำลังเด้งเข้าไปในกรอบเขตโทษและทำให้บอลไม่ได้เด้งไปไหน ตกข้างหน้าของมาร์ติเนลลียิงเข้าไปได้แบบง่ายๆทั้งสองจังหวะนั้น ถ้าหากไม่มีความผิดพลาดของนักเตะทั้งสองทีมก็คงจะไม่เกิดประตูและผลอาจจะไม่ได้จบที่สกอร์นี้ ลิเวอร์พูลอาจจะยิงไม่ได้เลยด้วยซ้ำเกมรุกหงส์แดงไร้พิษสงอย่างที่บอกไปในหัวข้อที่แล้วครับว่าทั้งสองทีมนั้นเสียประตูแบบไม่น่าเสีย โดยเฉพาะอาร์เซนอลที่โดนในจังหวะที่ขลุกขลิกหน้าประตูและกลายเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของมากัลเญซ ยิ่งไปกว่านั้นในครึ่งแรกลิเวอร์พูลมีจังหวะทำประตูเพียง 3 ครั้งเท่านั้นและไม่ตรงกรอบเลยซักครั้งซึ่งถ้าหากนับทั้งเกมแล้ว หงส์แดงมีโอกาสยิงประตู 10 ครั้งแต่ตรงกรอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แถมค่า xG ก็อยู่แค่ 0.41 ไม่ถึง 1 เลยด้วยซ้ำ นั่นเท่ากับว่าถ้าจังหวะของมากัลเญซไม่เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลก็จะยิงประตูอาร์เซนอลไม่ได้เลยความจริงลางบอกเหตุว่าเกมรุกของลิเวอร์พูลนั้นจะไม่มีอันตรายก็ตั้งแต่มีรายงานว่าดาร์วิน นูนเญซนั้นมีอาการบาดเจ็บบริเวณเท้าจากเกมกลางสัปดาห์ที่ชนะเชลซีแล้วโดยเป็นอาการเท้าบวม ทำให้ในเกมนี้เขานั่งเป็นตัวสำรองไปก่อนและสุดท้ายเขาลงมาด้วยการไม่ฟิตเต็ม 100% ก็ช่วยทีมไม่ได้มากซักเท่าไหร่ แถมโมฮาเหม็ด ซาลาห์ถึงแม้ทีมชาติอียิปต์จากตกรอบ AFCON แล้วแต่เขาก็กลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บทำให้ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้ เช่นเดียวกับวาตารุ เอนโดะที่เพิ่งตกรอบเอเชียน คัพมาก็ยังไม่พร้อมลงเล่นส่วนดิโอโก โชตาที่ปกติมักจะเป็นของแสลงของอาร์เซนอลในเกมนี้ก็แผลงฤทธิ์ไม่ออกเหมือนกัน ไม่ได้สร้างอันตรายให้เกมรับของปืนใหญ่ซักเท่าไหร่ ส่วนหลุยส์ ดิอาซนั้นคือคนที่สร้างอันตรายได้มากที่สุดในเกมรุกของลิเวอร์พูลแล้ว เขามีสถิติเลี้ยงบอลสำเร็จมากที่สุดในทีมที่ 3 ครั้งและเป็นคนที่มีโอกาสยิงมากที่สุดในทีมร่วมกับแม็คอัลลิสเตอร์ที่ 3 ครั้งซึ่งดิอาซนี่แหละที่จิ้มบอลไปโดนแขนของมากัลเญซและเข้าประตูไป ส่วนโคดี กัคโปคือคนที่เล่นได้แย่ที่สุดในบรรดาแผงเกมรุกลิเวอร์พูลแล้ว ประกอบกับในวันนี้เทรนท์เองก็เล่นไม่ออก ไม่มีบอลครอสสวยๆ จากเทรนท์เลยและโดนเปลี่ยนตัวออกไวอีกด้วยตอนนี้ก็ได้แต่รอให้โม ซาลาห์กลับมาฟิตลงสนามอีกครั้ง เพราะต่อให้ซาลาห์โดนคู่แข่งจับตายยังไง แต่การมีซาลาห์อยู่ในสนามก็ย่อมมีประโยชน์มากกกว่า มีไว้ขู่คู่แข่งได้ มีลูกจ่ายที่อันตรายได้เสมอฟาน ไดจ์กติดประมาท (เป็นประจำ)ผมเข้าใจนะว่านักเตะทุกคนนั้นย่อมมีข้อผิดพลาดกันได้ แต่มันจะดีกว่าหรือไม่ถ้าหากคุณแก้ไขข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนนั้นของคุณให้หายไปหรืออย่างน้อยก็ให้มันน้อยลงซึ่งผมอยากเห็นเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กัปตันลิเวอร์พูลแก้ไขบ้างหรือลดเรื่องการเล่นติดประมาทลงไปบ้างเราเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง เห็นจนเบื่อแล้ว (บอกตรงๆ ในฐานะแฟนลิเวอร์พูลเลย) ว่าการเล่นติดประมาทของฟาน ไดจ์กทำให้ทีมเสียประตูมาเป็นสิบๆ ครั้งแล้วซึ่งในเกมนี้ก็มีให้เห็นอีกแล้วในประตูที่ 3 ของอาร์เซนอล สามารถไปย้อนดูได้เลยว่าในขณะที่เลอันโดร ทรอสซาร์ดพาบอลเข้ากรอบเขตโทษจนจะถึงปากประตูอยู่แล้ว แต่ฟาน ไดจ์กเอาแต่วิ่งย่อง อ่านจังหวะ อ่านเกม ไม่รีบเข้าไปบังทิศทางการยิงของทรอสซาร์ด ทำให้ทรอสซาร์ดมีช่องว่างเลี้ยงเข้าไปได้อีก อยากจะถามฟาน ไดจ์กเหมือนกันว่า "รออะไร?" ทำไมถึงไม่รีบเข้าไปประชิดตัวทรอสซาร์ด ปล่อยให้เลี้ยงเข้าไปอีกทีม จะอ่านเกมไปถึงไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฟาน ไดจ์กถึงไม่เปลี่ยนวิธีการเล่นแบบนี้ คล็อปป์หรือทีมงานไม่เตือนซักหน่อยหรอว่าเล่นแบบนี้ไม่ได้ เสียประตูจากการไม่เข้าบอลของฟาน ไดจ์กมากี่ครั้งแล้ว คนดูทั่วโลกเห็น ทีมงานจะไม่เห็นซักหน่อยหรอ นี่เจอทีมระดับลุ้นแชมป์ด้วยกันทำไมถึงติดประมาทแบบนี้หรือต่อให้เป็นที่ทีมระดับลดลงมาก็ไม่ควรจะเล่นแบบนี้ เข้าบอลได้ก็เข้าไปเลย ย่องๆๆๆ ดูเชิงอะไรนักหนา แถมในจังหวะที่โดนขึ้นนำ 2-1 ก็สื่อสารกับอลิซอนไม่ดีอีกแล้วเช่นกันที่ผ่านมาก็เสียประตูแบบนี้บ่อยเช่นกันกับการกั๊กจังหวะ จะออกไม่ออก จะเคลียร์ไม่เคลียร์ เล่นด้วยกันมากี่ปีแล้ว ทำไมข้อผิดพลาดแบบเดิมๆ ถึงเกิดขึ้นได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บไม่จำกันเลยหรอสถิติที่น่าสนใจหลังเกมอาร์เซนอลชนะทีมที่ออกสตาร์ทด้วยการเป็นจ่าฝูง 2 นัดจาก 4 นัดหลังสุดในยุคของมิเกล อาร์เตตา (แพ้ 2 เกมก็คือการแพ้ลิเวอร์พูล) และเทียบเท่ากับการชนะจาก 17 เกมก่อนหน้านี้ก่อนยุคของอาร์เตตา (เสมอ 4 แพ้ 11)ลิเวอร์พูลแพ้เพียง 2 เกมจาก 34 เกมพรีเมียร์ลีกหลังสุด (ชนะ 22 เสมอ 10) ซึ่งการแพ้ทั้งสองเกมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นในเกมที่ต้องมาเยือนทีมในลอนดอนเหนือ โดยเกมล่าสุดก่อนหน้านี้ที่แพ้ก็คือการบุกมาแพ้ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์เมื่อเดือนกันยายน 2023อาร์เซนอลไม่แพ้ต่อลิเวอร์พูลในเกมลีกมาแล้ว 4 เกมหลังสุด (ชนะ 2 เสมอ 2) นับเป็นการไร้พ่ายต่อหงส์แดงในพรีเมียร์ลีกนานที่สุด หลังจากที่เคยทำได้ใน 2 ฤดูกาลติดต่อกัน (2014/2015 ถึง 2015/2016)อาร์เซนอลสามารถยิงประตูขึ้นนำในการเจอลิเวอร์พูลได้ 4 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิงหาคม 1967 จนถึงพฤศจิกายน 1970 ที่สามารถยิงขึ้นนำได้ 6 เกมติดต่อกันลิเวอร์พูลในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ มีทีมที่สามารถยิงประตูใส่พวกเขาได้มากที่สุดในช่วง 15 นาทีแรกก็คืออาร์เซนอล โดยโดนยิงไป 6 ประตู (เฉพาะพรีเมียร์ลีก)ลิเวอร์พูลทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีกที่เจออาร์เซนอลไปแล้ว 17 เกมติดต่อกัน กลายเป็นสถิติยาวนานที่สุดของทีมที่เจอกับอาร์เซนอล 17 เกมนับตั้งแต่ที่เยอร์เกน คล็อปป์เข้ามาคุมลิเวอร์พูลและทำไปทั้งหมด 45 ประตูกาเบรียล มาร์ติเนลลียิงประตูใส่ลิเวอร์พูลไปแล้ว 5 ประตู ทำให้ลิเวอร์พูลเข้าไปร่วมกับคริสตัล พาเลซในการเป็นทีมที่มาร์ติเนลลียิงใส่คู่แข่งของอาร์เซนอลได้มากที่สุด และกลายเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกที่มีส่วนร่วมในการทำประตูใส่ลิเวอร์พูลมากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วที่ 5 ประตู (ยิง 3 แอสซิสต์ 2)บูคาโย ซากาเป็นหนึ่งในสองนักเตะพรีเมียร์ลีกที่ทั้งยิงและแอสซิสต์เกินอย่างละสิบในทุกรายการที่ลงแข่งในฤดูกาลนี้ที่ 11 ประตู 12 แอสซิสต์ อีกคนก็คือดาร์วิน นูนเญซของลิเวอร์พูลการทำเข้าประตูตัวเองของกาเบรียล มากัลเญซในเกมนี้กลายเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของอาร์เซนอลในเกมที่อาร์เซนอลเจอลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2012 ที่โลรองต์ กอสเซียลนีทำเข้าประตูตัวเองบทความที่เกี่ยวข้องหนูนคมเสา แบรดลีย์เปิดซิง! 5 ประเด็นหลังเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หงส์จิกสิงห์ดาวรุ่งแจ้งเกิด (อีกแล้ว)!!! 4 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล vs นอริชซิตีวิเคราะห์ 4 เหตุผล เยอร์เกน คล็อปป์อำลาลิเวอร์พูลแดงเดือดของแทร่!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูลไล่ตีเสมออาร์เซน่อลฟอร์มไม่หล่อแต่อร่อย!!! อาร์เซน่อลจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ 20 ปี ?ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystWhoscoredOfficial Facebook และ X ของลิเวอร์พูล, อาร์เซนอลและพรีเมียร์ลีก (@premierleague)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี