รีเซต
ยางรถ Formula1 มีกี่แบบ ใช้งานต่างกันอย่างไร ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน

ยางรถ Formula1 มีกี่แบบ ใช้งานต่างกันอย่างไร ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน

ยางรถ Formula1 มีกี่แบบ ใช้งานต่างกันอย่างไร ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน
WeenayA
9 กรกฎาคม 2568 ( 15:34 )
16

      สำหรับแฟน Formula 1 มือใหม่ หรือใครที่เพิ่งเริ่มติดตาม อาจสงสัยว่าทำไม ยางรถแข่ง F1 ถึงมีหลายประเภท และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรในโลกของกีฬาความเร็วระดับสูงสุดนี้ ยาง F1 ไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบที่ช่วยให้รถเคลื่อนที่ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อความเร็ว และความปลอดภัย ของนักแข่งอย่างมหาศาล

     TrueID Sport จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ ประเภทของยาง F1 การใช้งานที่แตกต่างกัน รวมถึง ขนาดของยาง F1 ที่ไม่เหมือนยางรถยนต์ทั่วไป มาร่วมค้นหาคำตอบพร้อมกันว่านวัตกรรมยางนี้มีความสำคัญต่อการแข่งขัน F1 อย่างไรบ้าง

 

shutterstock/Michael Potts F1

ยางรถ Formula1 มีกี่แบบ ใช้งานต่างกันอย่างไร
ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน


ยุคก่อน Pirelli

     ประวัติศาสตร์ยางรถแข่ง Formula 1 เต็มไปด้วยการแข่งขันของผู้ผลิตยางชั้นนำหลายราย ย้อนกลับไปในปี 1959 จนถึงปี 1964 Dunlop ถือเป็นผู้ผลิตยางหลักสำหรับ F1 โดยมีเพียงไม่กี่ทีมที่เลือกใช้ Goodyear ต่อมาเกือบสองทศวรรษ Dunlop, Goodyear และ Firestone ได้กลับมาแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการพัฒนายางสูตรใหม่ๆ

     ในปี 1971 Dunlop ได้หายไปจากวงการ F1 อย่างสมบูรณ์ เหลือเพียง Goodyear และ Firestone ที่เป็นผู้ผลิตหลัก และการผูกขาดนี้ดำเนินไปจนถึงปี 1974 ก่อนที่ Goodyear จะเริ่มครองตลาดแซงหน้า Firestone ในปีถัดมา

      จากนั้นเป็นยุคของ Bridgestone และ Michelin โดย Bridgestone เริ่มเข้ามามีบทบาทและครองตลาดอย่างชัดเจนในฤดูกาล 1999 ขณะที่ Michelin ซึ่งเคยเข้ามาในวงการ F1 ครั้งแรกในปี 1981 ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2001 ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันอย่างเข้มข้นจนกระทั่ง Michelin ถอนตัวออกไปหลังฤดูกาล 2006 จากความล้มเหลวในการแข่งขัน US GP

      Bridgestone ยังคงเป็นผู้ผลิตยางเพียงรายเดียวจนถึงปี 2010 และตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน Pirelli ก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดหายางเพียงรายเดียวให้กับ F1 เรื่อยมา

 

ยางรถ Formula1 ในยุคปัจจุบัน

     หากกล่าวแบบง่ายๆ ยางรถ Formula1 มีสองชนิดคือยางแห้ง (Slick) กับยางเปียก (Tread) ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีคสามแตกต่างแยกย่อยออกไปอีก
     ยางแห้ง หรือยาง Slick ในปี 2025 มีทั้งหมด 6 ชนิด ไล่รหัสจากแข็งที่สุดไปจนถึงอ่อนที่สุด ได้แก่ C1, C2, C3, C4, C5 และ C6 โดยทั้ง 6 ชนิดมีความแตกต่างกันในด้านของสารประกอบ (Compounds) ซึ่งส่งผลทั้งด้านความเร็ว การยึดเกาะ และความทนทาน ลักษณะโดยรวมแบบสังเกตได้ด้วยตาเปล่าหน้าชนิดนี้มีผิวที่เรียบสนิท ไม่มีดอกยางสำหรับรีดน้ำเหมือนยางรถยนต์ทั่วไป การออกแบบนี้ช่วยให้ยางสามารถ สัมผัสพื้นผิวสนามได้อย่างเต็มที่ เพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างยางกับพื้น ทำให้การยึดเกาะถนน หรือ grip ทำได้อย่างยอดเยี่ยม


ประเภทของยางแห้ง หรือยาง Slick

  • ยาง C1: แข็งแกร่งที่สุด ทนทานเป็นเลิศ (The Ultimate Hard Compound)
    ยาง C1 คือ ยางรถแข่งที่แข็งที่สุดที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับสนามแข่งที่สร้างภาระให้กับยางสูงที่สุด ยางคอมพาวด์ C1 โดดเด่นด้วย ความทนทานต่อความร้อนสูง และ แรงกดดันมหาศาล ช่วยให้รถสามารถทำการวิ่งที่ยาวนานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการความเสถียรและอายุการใช้งานยางที่ยาวนาน
    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴⚪⚪⚪⚪ 1/5
    การยึดเกาะ: 🔴⚪⚪⚪⚪ 1/5
    ความทนทาน: 🟢🟢🟢🟢🟢 5/5


  • ยาง C2: ทนทานสุดขีด สำหรับสนามโหด (Engineered for Extreme Durability)
    ยาง C2 คือยางคอมปาวด์ที่แข็งเป็นอันดับสอง ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรับมือกับสนามแข่งที่ต้องการ ความทนทานเป็นพิเศษ ยางชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสนามที่มี ความเร็วสูง อุณหภูมิพื้นผิวร้อนจัด และ การเสียดสีสูง ซึ่งเป็นสภาวะที่ยางต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยาง C2 ยังเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่มักถูกนำมาใช้กับ สนามแข่งใหม่ๆ เพื่อทดสอบสมรรถนะและรับประกันความแข็งแกร่งของยาง
    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴🔴⚪⚪⚪ 2/5
    การยึดเกาะ: 🔴🔴⚪⚪⚪ 2/5
    ความทนทาน: 🟢🟢🟢🟢⚪ 4/5

  • ยาง C3: อเนกประสงค์ ใช้งานได้หลากหลาย (Versatile Compound)
    ยาง C3 คือหนึ่งในยางรถแข่งที่โดดเด่นด้านความอเนกประสงค์สูงสุด ยางคอมปาวด์นี้สามารถปรับบทบาทได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ยางฮาร์ด, ยางมีเดียม, หรือยางซอฟต์ ขึ้นอยู่กับการจัดสรรยางทั้งสามชนิดในแต่ละสนามแข่ง คุณสมบัติเด่นของ ยาง C3 คือการสร้าง สมดุลที่ยอดเยี่ยมระหว่างสมรรถนะ และ ความทนทาน ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับ สภาพสนามแข่งที่หลากหลาย ทั้งยังช่วยให้นักแข่งสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่น

    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴🔴🔴⚪⚪ 3/5
    การยึดเกาะ: 🔴🔴🔴⚪⚪ 3/5
    ความทนทาน: 🟢🟢🟢⚪⚪ 3/5 

  • ยาง C4: ร้อนเร็ว เกาะถนนเยี่ยม (Swift Heating, Superior Grip)
    ยาง C4 คือยางคอมปาวด์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานบนสนามแข่งที่มีความรุนแรงต่ำ หรือสนามที่ยางไม่ได้รับภาระหนักมากนัก คุณสมบัติเด่นของ ยาง C4 คือความสามารถในการ วอร์มอัพที่รวดเร็ว ช่วยให้ยางพร้อมทำงานที่ ประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างฉับไวทันทีที่ออกจากพิตสต็อป ยางชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมและ ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายตลอดทั้งฤดูกาล ในการแข่งขันต่างๆ ที่ต้องการการยึดเกาะที่รวดเร็วและคงที่
    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴🔴🔴🔴⚪ 4/5
    การยึดเกาะ: 🔴🔴🔴🔴⚪ 4/5
    ความทนทาน: 🟢🟢⚪⚪⚪ 2/5 

  • ยาง C5: นุ่มที่สุด เพื่อความเร็วสูงสุด (Maximum Softness for Peak Speed)
    ยาง C5 คือยางคอมปาวด์ที่นุ่มที่สุดออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ สนามแข่งที่มีความเร็วต่ำที่สุด และมีอัตราการสึกหรอ และการเสื่อมสภาพต่ำ คุณสมบัติเด่นของยาง C5 คือความสามารถในการให้ การยึดเกาะทางกล (mechanical grip) สูงสุดจากยางทำให้รถสามารถทำความเร็วในทางโค้งและออกตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยางชนิดนี้มักถูกเลือกใช้เป็นพิเศษกับ สนามแข่งที่มีพื้นผิวแอสฟัลต์เรียบเนียน เพื่อดึงประสิทธิภาพสูงสุดในการเกาะถนน
    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴🔴🔴🔴🔴 5/5
    การยึดเกาะ: 🔴🔴🔴🔴🔴 5/5
    ความทนทาน: 🟢⚪⚪⚪⚪ 1/5
     
  • ยาง C6: ราชินีแห่งสนามสตรีทเซอร์กิต (The Queen of Street Circuits)
    ยางคอมพาวด์ใหม่สำหรับปี 2025 เป็นยางที่นุ่มที่สุด ยางรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับการแข่งขัน โดยมีข้อจำกัดในการใช้งานเฉพาะบน สนามแข่งในเมือง (street circuits) เท่านั้น ด้วยคุณสมบัติเด่นที่อัตราการเสื่อมสภาพของยางสูง ทำให้ทีมแข่งต้องวางกลยุทธ์การ เข้าพิตสต็อปบ่อยครั้งขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความท้าทายให้กับทีม แต่ยังส่งผลให้การแข่งขันคาดเดาได้ยากขึ้น และมอบความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมตลอดทั้งเรซ
    ความเร็ว/เวลาต่อรอบ: 🔴🔴🔴🔴🔴 5+/5
    การยึดเกาะ: 🔴🔴🔴🔴🔴 5+/5
    ความทนทาน: ⚪⚪⚪⚪⚪ 0/5

 

ประเภทของยางเปียก (Tread) หรือยาง WET

  • ยางเขียว (Intermediate): ตัวเก่งของยางฝน
    ยาง Intermediate หรือ ยางลายเขียว คือยางรถแข่งสำหรับฝนที่ใช้งานได้หลากหลายที่สุด ยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ดีทั้งบนพื้นสนามที่เปียกแต่ไม่มีน้ำขัง และบนพื้นสนามที่กำลังแห้ง ตัวยางมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยให้ทำงานได้ดีในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ทำให้สามารถเปลี่ยนไปใช้ยางสลิค (ยางแห้ง) หรือยาง Full Wet (ยางสำหรับฝนตกหนัก) ได้อย่างราบรื่นไม่ว่าสภาพสนามจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด

  • ยางฟ้า (Full Wet): พายุฝนแค่ไหนก็เอาอยู่
    ยาง Full Wet หรือ ยางลายฟ้า คือยางที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับฝนตกหนักโดยเฉพาะ มีความสามารถในการรีดน้ำออกจากหน้ายางได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้ยางยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยมในสภาวะที่มีน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายางจะช่วยเรื่องการยึดเกาะได้ดี แต่ปัญหาหลักเมื่อฝนตกหนักมากๆ คือ ทัศนวิสัยที่ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้มองเห็นได้ยากและเป็นอันตราย ส่งผลให้บางครั้งการแข่งขันต้องหยุดลงชั่วคราว หรือต้องเลื่อนการแข่งขันไปเลย รูปทรงของยางยังถูกออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความต้านทานต่อการเหินน้ำ (aquaplaning) ซึ่งช่วยให้ยางมีการยึดเกาะที่ดีขึ้นมากเมื่อฝนตกหนัก


การเลือกยางในการแข่งขัน

     ถึงยาง Slick จะมีทั้งหมด 6 ชนิด แต่ทาง  Pirelli จะมีการคัดเลือกยางสลิค 3 ชนิดจากทั้งหมด C1 ถึง C6 สำหรับใช้ในแต่ละรายการกรังด์ปรีซ์การเลือกใช้ยางจะพิจารณาจากคุณลักษณะของสนามแข่ง และสภาพอากาศที่คาดการณ์ไว้ โดยปกติแล้วสนามที่ยางต้องรับภาระหนักมากจะมีการเลือกใช้ยางคอมปาวด์ที่แข็งที่สุด 3 ชนิด หรือที่เรียกกันว่า ยางซอฟต์ ยางมีเดียม ยางฮาร์ด จากนั้นจะมีการระบุสีของขอบยางเพื่อความชัดเจน



การจำแนกประเภทและการระบุสีของยาง
เพื่อความชัดเจนในการแข่งขัน ยางสลิคที่ถูกเลือกใช้จะมีการระบุด้วยสีที่แตกต่างกัน

  • ยางซอฟต์ (Soft): คือยางสลิคที่มีหมายเลขคอมปาวด์สูงสุด (เช่น C5 เมื่อเลือกใช้) จะมี แถบสีแดง บ่งบอก
  • ยางมีเดียม (Medium): คือยางสลิคที่มีหมายเลขคอมปาวด์อยู่ตรงกลาง จะมี แถบสีเหลือง บ่งบอก
  • ยางฮาร์ด (Hard): คือยางสลิคที่มีหมายเลขคอมปาวด์ต่ำที่สุด (เช่น C2 เมื่อเลือกใช้) จะมี แถบสีขาว บ่งบอก

     นอกจากยางสลิคทั้งสามชนิดนี้แล้ว ยังมียางสำหรับสภาพอากาศที่แตกต่างกันอีกสองประเภท ได้แก่ ยางอินเตอร์มีเดียต (Intermediate) ที่มี แถบสีเขียว สำหรับสภาพถนนเปียกปานกลาง และ ยางเวท (Wet) ที่มี แถบสีน้ำเงิน สำหรับสภาพถนนที่เปียกมากหรือมีฝนตกหนัก

 

ยางรถ Formula1 ขนาดต่างกับรถอื่นขนาดไหน

     ยาง F1 มีหน้ายางที่กว้างเป็นพิเศษโดยเฉพาะยางหลัง ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัส ระหว่างยางกับพื้นผิวสนามได้อย่างมหาศาล การออกแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ กระจายแรงมหาศาล จากการเร่งความเร็ว การเบรก และการเข้าโค้ง ทำให้ยางสามารถยึดเกาะถนนได้สูงสุด
     สำหรับฤดูกาล Formula 1 ปี 2025 ขนาดของยางจะยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2022

  • เส้นผ่านศูนย์กลางขอบล้อ: 18 นิ้ว
  • ส้นผ่านศูนย์กลางโดยรวมของยาง: ประมาณ 720 มม. (28.3 นิ้ว)
  • ความกว้างยางหน้า: ประมาณ 305 มม. (12.008 นิ้ว)
  • ความกว้างยางหลัง: ประมาณ 405 มม. (15.945 นิ้ว)


ในขณะที่ยางรถประเภทอื่นๆ มีขนาดที่ต่างกันไปดังนี้

  • รถยนต์ขนาดเล็ก: มักใช้ขอบล้อ 14-15 นิ้ว หน้ายางประมาณ 6.89 - 7.68 นิ้ว
  • รถยนต์ขนาดกลาง: มักใช้ขอบล้อ 16-17 นิ้ว หน้ายางประมาณ  8.07 - 8.86 นิ้ว
  • รถยนต์ขนาดใหญ่: อาจใช้ขอบล้อตั้งแต่ 18 นิ้วขึ้นไปจนถึง 20-22 นิ้ว หน้ายางกว้างขึ้นตั้งแต่  8.86 นิ้ว
  • รถกระบะทั่วไป/SUV ขนาดกลาง: มักใช้ขอบล้อ 16-18 นิ้ว หน้ายางประมาณ 8.46 - 10.43 นิ้ว
  • รถสกู๊ตเตอร์ : มักใช้ขอบล้อเล็ก เช่น 10, 12, หรือ 14 นิ้ว
  • มอเตอร์ไซค์ทั่วไป/บิ๊กไบค์: ส่วนใหญ่นิยมใช้ขอบล้อ 17 นิ้ว เป็นหลัก และบางรุ่นอาจใช้ 16 หรือ 18 นิ้ว หน้ายางมีตั้งแต่ 3.54 - 7.87 นิ้ว
  • มอเตอร์ไซค์วิบาก: มักใช้ขอบล้อหน้าที่ใหญ่กว่าขอบล้อหลัง เช่น ขอบหน้า 21 นิ้ว และขอบหลัง 18 หรือ 19 นิ้ว
  • รถบรรทุกเล็ก-กลาง: ขอบล้ออาจอยู่ในช่วง 15 นิ้ว ถึง 19.5 นิ้ว
  • รถบรรทุกใหญ่/รถพ่วง/รถบัส: มักใช้ยางขนาดใหญ่และแข็งแรงสูง ขอบล้อที่พบได้บ่อยคือ 20 นิ้ว, 22.5 นิ้ว หรือ 24.5 นิ้ว 

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

 

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี