รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล 2022/2023 ซึ่งผู้ที่สมหวังในการคว้าแชมป์นั่นก็คือ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ถ้าจะเรียกว่า "เรือรบสีฟ้า" ก็ได้ เพราะโหดเหลือเกิน ส่วน 3 ทีมที่ตกชั้นลงไปเดอะ แชมเปียนชิพ ได้แก่ เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด และเลสเตอร์ ซิตี้ โดยสำหรับบทความนี้ผมจะพาไปดูบทสรุปของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่เพิ่งแข่งขันกันจบไปครับ จะมีบทสรุปในหัวข้อใดบ้าง ไปติดตามอ่านกันเลยครับเถลิงบัลลังก์แชมป์ 3 สมัยติด 5 สมัยในรอบ 6 ซีซั่น....บ้าไปแล้วเป๊ปหลังจากที่มีหน้าที่ไล่ตามหลัง "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซนอลของมิเกล อาร์เตตามาตลอดทั้งฤดูกาล สุดท้ายในช่วงท้ายของฤดูกาล เป๊ป กวาร์ดิโอลาก็สามารถนำทัพลูกทีมแซงหน้าอาร์เซนอลเข้าป้ายคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นสมัยที่ 5 ในรอบ 6 ฤดูกาลซึ่ง 1 สมัยที่หายไปก็คือการโดนแย่งไปจาก "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2019/2020 ผมไม่รู้จะเขียนถึงกับแมนซิตี้ยังไงดีเหมือนกัน เพราะมันเก่งจนเกินจะบรรยายจริงๆ ไร้เทียมทานมากๆ ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนบทความนึงเต็มๆ ให้กับแมนซิตี้และเป๊ป กวาร์ดิโอลาสำหรับแมนซิตี้นั้นมีเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นที่พวกเขานำจ่าฝูงเมื่อจบแมตช์เดย์ นั่นก็คือ หลังจากแมตช์เดย์ที่ 2 และ 23 ซึ่งหลังจากสัปดาห์ที่ 23 นั้นพวกเขาก็ตกมาอยู่อันดับที่ 2 ของตารางนานถึง 10 สัปดาห์ จนสุดท้ายหลังจบการแข่งขันสัปดาห์ที่ 34 พวกเขาก็พลิกกลับขึ้นมาเป็นจ่าฝูงและคว้าแชมป์ไปได้ในท้ายที่สุด จะบอกเซอร์ไพรส์ไหมก็ต้องบอกว่าไม่ เพราะในช่วงที่รั้งรองจ่าฝูงนั้นแมนซิตี้ยังมีเกมตกค้างที่จะสามารถแซงขึ้นจ่าฝูงได้อยู่ดี ซึ่ง 2 เกมที่สำคัญก็คือการเจอกับจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอล สุดท้ายพวกเขาก็เก็บได้ 6 แต้มเต็ม ซึ่งถึงแม้พวกเขาจะมีเกมที่สะดุดไปบ้างอย่างบุกไปแพ้ลิเวอร์พูล, บุกเสมอนิวคาสเซิล และโดนเบรนท์ฟอร์ดตบทั้งเหย้าและเยือน แต่นั่นก็ไม่ส่งผลเท่าไหร่ เพราะช่วงท้ายอาร์เซนอลก็ออกอาการเป๋จนหลุดโค้งไปเหมือนกันสุดท้ายนี้ต้อง "คารวะ" ในความ "โคตร" เก่งของกุนซือชาวสเปนคนนี้เลย นอกจากความเก่งกาจของตัวเป๊ปแล้ว ก็ยังต้องชาบูความสุดยอดของพลพรรคเรือใบสีฟ้าด้วย ฮาแลนด์เอย เควิน เดอ บรอยน์เอย โรดรีเอย สุดยอดในทุกตำแหน่งจริงๆ รวมไปถึงการบริหารทีมของเหล่าผู้บริหารของเรือใบ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าความเก่งกาจและความฉลาดของเป๊ปนั้นจะไปสิ้นสุดตรงไหน เพราะนับวันมีแต่คำว่าเก่งขึ้นเรื่อยๆ และสำหรับทัพเรือใบยังเหลือการแข่งขันอีก 2 นัดในซีซั่นนี้ นั่นก็คือนัดชิงทั้ง 2 รายการอย่าง เอฟเอ คัพและยูฟา แชมเปียนส์ลีก มารอดูกันครับว่าถ้วยหูโตที่เป็น "สุดปรารถนา" ของแมนซิตี้ เป๊ปจะคว้ามาให้ได้หรือไม่7 ทีมลุยฟุตบอลยุโรป....ยินดีต้อนรับกลับ UCL นะสาลิกาดงและปีศาจแดงนอกจากการขับเคี่ยวแย่งแชมป์แล้ว การลุ้นโควต้าไปลุยฟุตบอลถ้วยยุโรปก็สนุกไม่แพ้กัน ต้องมาลุ้นยันนัดสุดท้ายกันเลยทีเดียว โดยในแต่ละถ้วยยุโรป ทีมจากพรีเมียร์ลีกได้ไปลุยถ้วยไหนกันบ้าง ไปดูบทสรุปเลยครับยูฟา แชมเปียนส์ลีก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิลยูโรปาลีก : ลิเวอร์พูลและไบรท์ตันยูฟา คอนเฟอเรนซ์ลีก : แอสตัน วิลลาสำหรับแมนยูนั้นถือว่าได้กลับไปเล่น UCL อีกครั้ง หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้วได้ไปเล่นในถ้วยยูโรปา และสำหรับนิวคาสเซิลนั้นคือการกลับไปยังเวทียูซีแอลในรอบ 20 ปี ต้องชื่นชมเอริก เทน ฮากและเอ็ดดี ฮาว กุนซือของทั้ง 2 ทีมจริงๆ ที่สามารถปลุกให้ทีมตัวเองนั้นกลับมาเล่นแบบมีชีวิตชีวาและกลับไปเล่นในศึกยูฟา แชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้งเกือบลืมๆๆๆ ผมเกือบลืมอีกทีมที่ได้กลับไปเล่น UCL นั่นก็คือ "อาร์เซนอล" ที่ห่างหายจากถ้วยนี้ไปนานถึง 7 ปี แฟนอาร์เซนอลคงภาวนาให้จับสลากรอบแบ่งกลุ่มอย่าได้เจอบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิคเลย เพราะ 2 ทีมนี้ชอบเขี่ยไอ้ปืนใหญ่ตกรอบเป็นประจำ แต่ใครจะไปรู้กลับไปรอบนี้อาร์เซนอลอาจจะล้างแค้น 2 ทีมนี้ก็ได้ในส่วนของยูโรปาลีกนั้น 2 ทีมที่ได้ไปนั่นถือว่าเป็นผลงานที่ต่างกันสุดขั้วเลย เริ่มที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลก่อนเลย จากทีมรองแชมป์ UCL แถมมีลุ้น 4 แชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว ในฤดูกาลนี้พวกเขาโชว์ฟอร์มได้ "ห่วยแตก" สิ้นดี มีช่วงนึงที่แม้แต่ยูฟา คอนเฟอเรนซ์ลีกก็แทบจะไม่ได้ไปด้วยซ้ำ และกว่าที่จะฟื้นกลับมาได้ก็กลับมาในช่วงท้ายแล้ว สายเกินไปที่จะแซงขึ้นไปติด Top 4 แล้ว สุดท้ายต้องกลับไปเล่นในถ้วยเล็กลงมาอีกครั้ง ถือว่าเป็นผลงานที่น่าผิดหวังของเยอร์เกน คล็อปป์และลูกทีมจริงๆ แต่ในอีกฟากนึงอย่าง "ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน" ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ประจำฤดูกาลที่เพิ่งผ่านไปเลย ในฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป พวกเขาผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมายจริงๆ เริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลก็เสียกุนซืออย่างเกรแฮม พอตเตอร์ไปให้เชลซี และทำการแต่งตั้งโรแบร์โต เด แซร์บีเข้ามาทำหน้าที่แทน ในตลาดซื้อขายหน้าหนาวก็มาเสียนักเตะคนเก่งอย่างเลอันโดร ทรอสซาร์ดไปให้อาร์เซนอล และเกือบเสียมอยเซส ไคเซโดไปอีกด้วย แถมในช่วงท้ายก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้รักษาประตูจากโรเบิร์ต ซานเชซมาเป็นเจสัน สตีลอีก แต่สุดท้ายก็เป็นเด แซร์บีนี่แหละที่สามารถประคับประคองทีม ทำให้ไบรท์ตันไม่เสียทรง ทำให้ไบรท์ตันเล่นบอลได้สนุกและสวยงาม จนพาทีมนกนางนวลไปเล่นในเวทียุโรปได้เป็น "ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร"และนอกจากนี้ นอกจากลิเวอร์พูลและไบรท์ตันแล้ว ณ ตอนนี้อีกทีมที่มีลุ้นไปยูโรปาลีกก็คือ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ดที่ตอนนี้เข้าชิงในรายยูฟา คอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งถ้าหากเดวิด มอยส์และลูกทีมสามารถเอาชนะฟิออเรนตินา ทีมดังจากอิตาลีและคว้าแชมป์ไปได้ เราก็จะได้เห็นตัวแทนจากอังกฤษไปโลดแล่นในยูโรปาลีกถึง 3 ทีมด้วยกันและมาถึงถ้วยยุโรปน้องใหม่ล่าสุดที่โควต้าในฤดูกาลหน้าตกเป็นของ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลลาที่ได้อูไน เอเมอรีเข้ามากอบกู้สถานการณ์ต่อจากสตีเวน เจอร์ราร์ดที่ทำทีมตกไปอยู่ในทีมหนีตกชั้นอยู่ช่วงนึง แต่สุดท้ายก็เป็นกุนซือโลกิผู้นี้นี่แหละที่พลิกให้แอสตัน วิลลากลับมามีชีวิตชีวาจนสามารถจบอันดับ 7 ได้ตั๋วไปลุยยูฟา คอนเฟอเรนซ์3 ทีมน้องใหม่ยังอยู่กันครบ....ยินดีต้อนรับ 3 ทีมน้องใหม่นี่นับว่าเป็น "ครั้งที่ 4" แล้วที่ "น้องใหม่" ทั้ง 3 ทีมของศึกพรีเมียร์ลีกนั้นสามารถต่อสู้และฝ่าฟันจนสามารถยืนหยัดอยู่บนลีกสูงสุดได้ต่อครบทั้ง 3 ทีม หลังจากที่ 3 ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในฤดูกาล 2001/2002 (แบล็คเบิร์น, ฟูแลม และโบลตัน), ฤดูกาล 2011/2012 (สวอนซี, นอริช และควีนส์ปาร์ค) และฤดูกาล 2017/2018 (นิวคาสเซิล, ไบรท์ตัน และฮัดเดลฟิลด์)สำหรับน้องใหม่ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้คงหนีไม่พ้น "เจ้าสัวน้อย" ฟูแลม ที่สามารถจบอันดับที่ 10 ของตาราง ตามมาด้วยบอร์นมัธที่จบที่ 15 และปิดท้ายด้วย "เจ้าป่า" น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์ ที่ฤดูกาลนี้เสริมทัพอย่างถล่มทลาย แต่สุดท้ายต้องมาหนีตายในช่วงท้ายและจบที่อันดับ 16 ซึ่งนัดที่พวกเขารอดตกชั้นนั้นก็เรียกได้ว่า "มันส์" สุดๆ เพราะนอกจากที่พวกเขาจะรอดตกชั้นแล้ว พวกเขายังกระชากขาอาร์เซนอลและส่งถ้วยแชมป์ให้กับแมนซิตี้ไปอีกด้วยต้องมารอดูว่าฤดูกาลหน้า 3 ทีมน้องใหม่อย่างเบิร์นลีย์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์และรองแชมป์จากเดอะ แชมเปียนชิพ และทีมล่าสุดนั่นก็คือ ลูตัน ทาวน์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์จากการเพลย์ออฟที่ชนะโคเวนทรี ซิตี้ จะสามารถอยู่รอดบนพรีเมียร์ลีกได้ครบทั้ง 3 ทีมในฤดูกาลหน้าได้หรือไม่ ต้องติดตามชมกันครับ3 ทีมฟอร์มเซอร์ไพรส์....3 ทีมฟอร์มแฟนๆ ไม่ปลื้มมี 3 ทีมน้องใหม่ที่พูดถึงไปแล้ว ส่วนหัวข้อถัดไปก็จะเป็น 3 ทีมตกชั้น แต่ในหัวข้อนี้จะพูดถึง 3 ทีมที่ฟอร์มในซีซั่นนี้สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู และอีก 3 ทีมที่สร้างความเครียดให้กับแฟนๆ ที่เชียร์ ซึ่ง 3 ทีมแรกจะได้แก่ อาร์เซนอล, นิวคาสเซิล และไบรท์ตัน ส่วนอีก 3 ทีมได้แก่ ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และเชลซีมาเริ่มกันที่อาร์เซนอลกันเลยครับ ผมเชื่อว่ามากกว่า 90% ของคนดูพรีเมียร์ลีก รวมไปถึงแฟนปืนใหญ่เองก่อนฤดูจะเริ่มต้นก็คงไม่ได้หวังอะไรมากมาย หวังได้กลับไปยัง UCL ก็น่าจะพอใจแล้ว แต่ทำไปทำมามิเกล อาร์เตตานั้นสามารถสร้างอาร์เซนอลกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในซีซั่นนี้ได้และมีช่วงเวลากว่า 30 สัปดาห์ที่นำเป็นจ่าฝูงแต่สุดท้ายก็โดนแมนซิปาดหน้าไป ผมเชื่อว่าแฟนอาร์เซนอลเสียดายที่พลาดแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ไป แต่ผมเชื่อว่าเดอะ กันเนอร์สไม่เสียใจเลยที่ทีมก้าวมาถึงจุดนี้ ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ในอนาคตอันใกล้ทัพปืนใหญ่จะกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งตามมาด้วย "สาลิกาดง" นิวคาสเซิล ทีมที่มีเจ้าของรวยที่ในโลก ในฤดูกาลหน้าพวกเขาจะได้กลับไปเล่นยังถ้วยหูโตเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ผมเชื่อว่าแฟนๆ นิวคาสเซิลก่อนเริ่มฤดูกาลก็คาดหวังแทบไม่ต่างจากแฟนๆ อาร์เซนอลเท่าไหร่ ที่ขอให้ได้ไปฟุตบอลยุโรปก็น่าจะโอเคแล้ว แต่สุดท้ายได้กลับไปเล่น UCL ไม่พอ มีช่วงนึงที่สาลิกาดงมีขึ้นไปลุ้นแชมป์กับปืนใหญ่และเรือใบและรั้งอันดับ 3 อยู่นานก่อนที่จะโดนแมนยูปาดหน้าไปท้ายที่สุด แต่ผมเชื่อว่ามาถึงขนาดนี้เอ็ดดี ฮาวและพลพรรคสาลิกาดงก็สร้างความประทับใจให้เหล่าทูน อาร์มีแล้ว เพราะจากที่ฤดูกาลที่แล้วยังต้องหนีตกชั้นอยู่เลย แต่ฤดูกาลนี้กลับมาคว้าตั๋ว UCL ได้ เกินคาดมากๆ แล้วปิดท้ายด้วยทีมที่ "นกนางนวล" ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียนที่เป๊ปถึงขั้นชมออกสื่อว่าเป็นที่ทีมเป็น Build Up บอลได้ดีที่สุดทีมนึง โดยไบรท์ตันอย่างที่ผมได้บอกไปว่าผ่านมรสุมมาอย่างมากมายในฤดูกาลนี้ ตั้งแต่เสียผู้จัดการทีมไปตั้งแต่ต้นซีซั่น ตลาดหน้าหนาวเกือบเสียกองกลางคนสำคัญ แต่สุดท้ายก็ยังเสียตัวรุกคนเก่งไปอีกอย่างเลอันโดร ทรอสซาร์ด แต่สุดท้ายโรแบร์โต เด แซร์บีก็ยังสามารถพาไบรท์ตันเล่นได้อย่างสนุก ตื่นเต้น เร้าใจเหมือนเดิม ไม่ได้ต่างจากที่ในช่วงเกรแฮม พอตเตอร์คุมอยู่เลย จนสามารถคว้าตั๋วฟุตบอลยุโรป ไปลุยยูโรปาลีกในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยที่ได้ไปลุยฟุตบอลยุโรปส่วน 3 ทีมที่ฟอร์มนั้นทำเอาแฟนๆ ไม่ปลื้มเอาซะเลยอย่างลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และเชลซีนั้น ผมคงต้องขอมัดรวมบ่นทีเดียวหรือไม่ก็อาจจะบ่นแบบไม่ลงดีเทลอะไรมากมาย เพราะถ้าลงดีเทลจริงๆ คงจะยาวมากแน่ๆ ฮ่าๆๆๆเริ่มที่หงส์แดงที่ฤดูกาลที่แล้วเป็น "ดับเบิ้ลแชมป์" อยู่เลย แต่ฤดูกาลนี้คงเป็น "ดับเบิ้ลช้ำ" เพราะไม่ได้ไป UCL ไม่พอ ล่าสุดก็เพิ่งพลาดตัวจู๊ด เบลลิงแฮมจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ไปอีก หลังจากตามจีบมานาน ลูกทีมของเยอร์เกน คล็อปป์ออกสตาร์ทด้วยฟอร์มที่กระท่อนกระแท่นมากๆ 3 นัดแรกไม่ชนะใครเลยและฟอร์มก็ "ทรงๆ ทรุดๆ" มาตลอด ถึงแม้จะมีเกมที่ถล่มแมนยูถึง 7-0 แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่ เพราะนัดต่อมาก็แพ้ฟอร์เรสต์อยู่ดี และฟอร์มก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ จนเริ่มมาดีขึ้นในช่วงท้ายของซีซั่นที่เริ่มมีการขยับเอาเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์มาเล่น Inversted Full Back ทำให้ฟอร์มโดยรวมของทีมดีขึ้น ทำให้สุดท้ายก็ยังสามารถดีดตัวเองขึ้นมาจบอันดับที่ 5 ไปได้ มีลุ้นแซงนิวคาสเซิลกับแมนยูขึ้นไปด้วยทีมฟอร์มบูดอีกทีมก็คือ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ที่ฤดูกาลนี้จบด้วยการ "มือเปล่า" ไม่ได้ไปแม้กระทั่งฟุตบอลยุโรป สเปอร์สถูกคาดหวังไว้อย่างมากว่าจะทำผลงานได้ดี แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้นเลย สเปอร์สมีปัญหามาตลอดทั้งฤดูกาล เริ่มตั้งแต่ที่อันโตนิโอ คอนเต้ถูกปลอดออกไป ขยับผู้ช่วยขึ้นมาทำหน้าที่แทนก็ทำได้ไม่ดี มีเกมที่ถูกนิวคาสเซิลถล่ม 6-1 อีก จนสุดท้ายก็ถูกปลดออกไปอีก สุดท้ายก็เป็นไรอัน เมสันที่เข้ามารับหน้าที่แทน (อีกครั้ง) สเปอร์สมีปัญหาตลอดทั้งซีซั่นจริงๆ ตั้งแต่ตัวผู้จัดการทีมไปถึงฟอร์มส่วนตัวของนักเตะ รวมไปถึงการบริหารทีมของเดเนียล เลวีอีก ที่บริหารผิดพลาดจนพลาดตั๋วฟุตบอลยุโรปและ ณ ตอนนี้มันเหมือนเป็นปัญหาเรื้อรังของไก่เดือยทองมาตลอดหลายปี สุดท้ายก็จบไปในอันดับที่ 8และมาถึงทีมสุดท้ายที่ฟอร์มเล่นเอาซะแฟนๆ ไม่อยากเปิดทีวีดูเลยด้วยซ้ำ นั่นก็คือ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ไม่รู้ว่าฤดูกาลนี้เป็นสิงโตหรือหรือลูกแมวเหมียว นี่คือทีมที่ 2 ฤดูกาลคือแชมป์ UCL นะครับ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่เหลือภาพนั้นเลย แม้แต่กุนซืออย่างโธมัส ทูเคิลก็ไม่อยู่กับทีมแล้ว เพราะไม่สามารถทำงานร่วมกับเจ้าของใหม่อย่างทอดด์ โบห์ลีย์ได้ ต่อด้วยการดึงตัวกุนซือชาวอังกฤษจากไบรท์ตันอย่างเกรแฮม พอตเตอร์มา แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แถมมีแต่ดิ่งลง จนสุดท้ายก็กระเด็นออกจากตำแหน่งไป อยู่ไม่ครบฤดูกาลเลยด้วยซ้ำ ปิดท้ายด้วยการดึงตัวโคตรตำนานของทีมอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดกลับมาคุมทีมคำรบที่ 2 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างจากพอตเตอร์เลย แย่กว่าด้วยซ้ำ 6 นัดแรกแพ้รวดทุกนัด ไร้ทรงบอล นักเตะในทีมก็เล่นกันแบบไร้ใจสุดๆ เรียกได้ว่าเอาแลมพ์กลับมาฆ่ารอบที่สองชัดๆ ดูไปก็สงสารแฟนบอลเชลซีไปจริงๆ ความจริงเชลซีควรทำผลงานได้ดีกว่านี้มากๆ เพราะซีซั่นนี้เรียกได้ว่า "ทุบคลัง" คว้านักเตะมาอย่างมากมายจริงๆ และสร้างสถิติในการซื้อตัวด้วยซ้ำ ในการคว้าตัวเอนโซ เฟอร์นานเดซ (120 ล้านยูโร) แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็นแหละครับ แม้แต่ Top 10 ก็ยังไม่ติดเลย และกระเด็นไปไกลจบเพียงอันดับ 12เซาแธมป์ตัน ลีดส์ และเลสเตอร์....โบกมือลา บ๊ายบายพรีเมียร์ลีกนอกจากที่เราจะต้องชื่นชม 3 ทีมน้องใหม่ที่สามารถอยู่บนพรีเมียร์ลีกต่อได้แล้ว ยินดีต้อนรับ 3 ทีมน้องใหม่แล้ว เราก็ยังต้องขอแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้กับอีก 3 ทีมที่ร่วงตกชั้นไปสู่แชมเปียนชิพ ซึ่ง 3 ทีมนั้นก็คือ "นักบุญแดนใต้" เซาแธมป์ตัน, "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด และ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้สำหรับเซาแธมป์ตันนั้นถ้าไม่นับรวม 3 ทีมน้องใหม่ก็ถือได้ว่าพวกเขาคือทีมเต็งตกชั้นอีกหนึ่งทีม เพราะผลงานในฤดูกาลนี้ไม่แปลกใจเลยที่จะตกชั้น เพราะพวกเขารั้งท้ายของตารางมาตั้งแต่หลังจบสัปดาห์ที่ 17 มีกระเตื้องขึ้นมาเพียงสัปดาห์เดียว แต่ที่เหลือพวกเขาจมบ๊วยมาตลอด จบซีซั่นด้วยผลงาน ชนะ 6 เสมอ 7 แพ้ 25 เก็บได้เพียง 25 คะแนน ลาพรีเมียร์ลีกเป็นทีมแรกและจบอันดับบ๊วยสุดของตารางส่วนลีดส์ ยูไนเต็ดนั้นต้องบอกว่าตลอดช่วงเวลา 3 ฤดูกาลที่พวกเขาคัมแบคกลับมายังพรีเมียร์ลีก เรียกได้ว่าพวกเขาสร้างสีสันให้กับพรีเมียร์ลีกได้อย่างมาก ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นเกมรุก ดุดัน เร้าใจ แต่เกมรับของพวกเขานั้นก็พาให้พวกเขาตกชั้นไปในที่สุด เพราะเกมรุกของพวกเขานั้นเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน แต่เกมรับนั้นก็สนุกในการรับมือเกมรุกของคู่แข่งเหมือนกัน เพราะฤดูกาลนี้พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูเยอะที่สุด เสียไปถึง 78 ประตู มากกว่าอันดับสุดท้ายอย่างเซาแธมป์ตัน (73 ประตู) เสียอีก สุดท้ายพวกเขาก็ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีกที่แชมเปียนชิพ และปิดฤดูกาลนี้ด้วยผลงานชนะ 7 เสมอ 10 แพ้ 21 ได้ไปเพียง 31 แต้ม และจบที่อันดับที่ 19และทีมสุดท้ายที่ตกชั้นนั่นก็คืออดีตแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/2016 อย่าง "จิ้งจอกสยาม" ที่ 7 ปีให้หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้อย่างเหมือนเทพนิยาย ฤดูกาลหน้าพวกเขาตกไปสู่แชมเปียนชิพอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาขึ้นมายังลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2014/2015 ซึ่งหลายสื่อคาดการว่าเนื่องจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของกลุ่มเจ้าของทีม มีส่วนทำให้เลสเตอร์ต้องตกชั้น เริ่มตั้งแต่การปล่อยตัวผู้รักษาประตูระดับตำนานของทีมอย่างแคสเปอร์ ชไมเคิลออกจากทีมไป รวมไปถึงการซื้อตัวที่ไม่ตอบโจทย์และไม่สามารถช่วยทีมได้เลย อีกทั้งยังทำการปลดเบรแดน รอดเจอร์สและแต่งตั้งดีน สมิธช้าเกินไป ช้าจนไม่สามารถกอบกู้ทีมไว้ได้ และจบฤดูกาลด้วยผลงานชนะ 9 เสมอ 7 แพ้ 22 เก็บได้ 34 คะแนน จบอันดับที่ 18ฮาแลนด์, เดอ บรอยน์, เด เกอา....รางวัลส่วนตัวของพวกเขามาถึงหัวข้อบทสรุปสุดท้ายของบทความนี้แล้วครับ ซึ่งจะเป็นในส่วนของรางวัลส่วนตัวรางวัลดาวซัลโวประจำฤดูกาลนี้ ตกเป็นของ "ไอ่เด็กไม่รู้จักปรับตัว" เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ที่ซัดไป 36 ประตู เป็นดาวซัลโวที่ยิงได้เยอะสุดต่อ 1 ฤดูกาล ทำลายสถิติที่อยู่มาอย่างยาวนานของ 2 ตำนานดาวยิงอย่างแอนดี โคลและอลัน เชียร์เรอร์ (ยุคที่พรีเมียร์ลีกแข่ง 42 เกม) และในยุคที่พรีเมียร์ลีกแข่ง 38 นัด ฮาแลนด์ก็ทำลายสถิติของโม ซาลาห์ที่ทำไว้ 32 ประตู และนี่ขนาดรองดาวซัลโวอย่างแฮร์รี เคนกดไป 30 ประตูแล้วนะ ซึ่งปกติระดับ 30 ประตูนี้ต้องได้ดาวซัลโวแล้ว แต่ยังต้องแพ้ให้เด็กคนนี้เลย เรียกได้ว่ามาปีแรกก็เขย่าพรีเมียร์ลีก ลีกที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลีกที่ยากที่สุดในโลก เล่นซะพรีเมียร์ลีกเป็นขนมกรุบของเจ้าตัวไปเลย เฮ้ออออ เหนื่อยใจกับไอ่เด็กคนนี้จริงๆ จะเก่งไปไหนส่วนผู้แอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตูเยอะที่สุด ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ผลตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลด้วยซ้ำ "คิง ออฟ แอสซิสต์" เควิน เดอ บรอยน์ ครับ ใช่ครับ อีกแล้วครับ ยุคนี้เรื่องแอสซิสต์ไม่มีใครเกินพ่อหนุ่มชาวเบลเยียมคนนี้แล้วครับ จะเรียกว่าเป็นเบอร์ 1 ในตำแหน่งกองกลางก็ว่าได้ ซึ่งพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้เขาจัดการส่งให้เพื่อนทำประตูไปแล้ว 16 ลูก ทิ้งอันดับ 2 อย่างโม ซาลาห์และเลอันโดร ทรอสซาร์ดถึง 4 ลูก (12 ลูก) เรียกได้ว่า "ไม่แปลกใจ" เลยที่เดอ บรอยน์จะคว้ารางวัล Top Assist ไปอีกสมัย เพราะมีตัวจบสกอร์ที่เฉียบคมอย่างฮาแลนด์ที่แทบใส่สกอร์รอได้เลยเวลาส่งบอลไปให้ฮาแลนด์ง้างเท้ายิงมาถึงรางวัลส่วนตัวชิ้นสุดท้าย นั่นก็คือ "ถุงมือทองคำ" ที่ในซีซั่นนี้ตกเป็นของ "ดาบิด เด เกอา" ผู้รักษาประตูจากแมนยู ที่ถึงแม้ในฤดูกาลนี้เขาจะมีจังหวะที่ผิดพลาดอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังมีจังหวะเซฟสำคัญๆ ช่วยทีมได้เสมอ นอกจากจะชมเจ้าตัวแล้ว เราก็ยังต้องไปชมเกมรับของผีแดงด้วยที่เป็นด่านปราการเกมรับก่อนที่จะไปถึงเด เกอา เริ่มตั้งแต่คาเซมิโรและ 2 คู่หูเซนเตอร์อย่างราฟาเอล วารานและลิซานโดร มาติเนซที่ขันเกมรับให้แมนยูดีขึ้นอย่างชัดเจน และช่วยส่งรางวัลถุงมือทองคำให้กับเด เกอาได้ครอบครองด้วยผลงานเสีย 43 ประตูและเก็บคลีนชีทไปได้ 17 เกมและนี่ก็คือบทสรุปของพรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล 2022/2023 มีทั้งผู้ที่สมหวังและผู้ผิดหวังซึ่งก็เป็นธรรมดาของการแข่งขันทุกอย่างครับ เชื่อว่าทุกๆ ทีมจะนำบทเรียนในฤดูกาลนี้ไปปรับปรุง พัฒนาทีมของตัวเองให้ดีขึ้นในฤดูกาลหน้า ก็ต้องมาลุ้นกันครับว่าทีมใดที่จะเป็นผู้ท้าชิงกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในฤดูกาลหน้า หรือจะมีใครก้าวขึ้นมาเขย่าบัลลังก์ของฮาแลนด์ขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Facebook ของพรีเมียร์ลีกภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 9, ภาพประกอบ 10, ภาพประกอบ 11, ภาพประกอบ 12, ภาพประกอบ 13, ภาพประกอบ 14 และภาพประกอบ 15Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์