และแล้วฟุตบอลแม็ทซ์หยุดโลกแดงเดือดเลือดซ่านระหว่าง ปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ หงส์แดงลิเวอร์พูล ก็บังเกิดขึ้นจนได้ ถือว่าปีนี้โคจรมาพบกันเร็ว ชนิดที่ต่างฝ่ายก็ต่างยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงพีคกันเท่าไหร่ เพิ่งจะนัดที่ 3 ของฤดูกาลเท่านั้น แล้วก็เป็นฝั่งของหงส์แดงที่ทีมดูมีความพร้อมมากกว่า พวกเขาเก็บชัยชนะมาได้แบบต่อเนื่อง พร้อมกับตัวผู้เล่นที่ไม่ได้เปลี่ยนหน้าคร่าตาไปเลย จริง ๆ ถ้านับยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ด้วย ก็มีแค่ ดิเอโก้ โชวต้า กับ กวาเวนเบิร์ค ที่ยึดตำแหน่งตัวจริงแทน ดาร์วิน นูนเญซ กับ วาตารุเอ็นโด กลับกันกลายเป็นฝั่งเจ้าบ้านอย่างแมนยูซะอีก ที่เพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับไบรท์ตันไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เมสัน เมาท์ ก็มีอาการบาดเจ็บ รูปแบบการเล่นก็ยังไม่ชัดเจน แถมยังต้องใช้ศูนย์หน้าคนใหม่อย่าง เซิร์กซี ที่อายุอานามก็น้อยเอามาก ๆ ดูทรงแล้วแมนยูเจ้าบ้านน่าจะเป็นรอง แต่ก็อย่างที่เรารู้กันล่ะครับว่าบอลคู่นี้นั้นเป็นอะไรที่พิเศษ คุณจะมาใช้ตรรกะ ใช้สถิติ ใช้วิจารณญาณ บ้าบออะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้หมด เพราะงั้นมันถึงได้โด่งดัง เป็นแม็ทซ์ฟุตบอลที่มูลค่าทางการตลาดสูงลิ่วคู่ควรแก่การรอคอย แดงเดือดหนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง รายละเอียดในเกมเป็นยังไง เรามาคุยหลังเกมกันได้เลยครับ! 1. เทน ฮาร์ค สร้างเซอร์ไพรต์ด้วยการเล่นเกมบุก!ชิชะ! คุณผู้อ่าน! ผมนี่แทบจะอุทานสำลักขนมตัวเอง เพราะแต่แรกผมหรือแม้แต่กูรูตามอินเตอร์เน็ต ต่างก็คิดไปในทำนองเดียวกันว่าแมนยูน่าจะเริ่มเกมด้วยการเน้นเกมรับ เอริค เทน ฮาร์ค เก่งมากนะครับในการเล่นบอลโต้กลับ หลักฐานคือการขยี้แมนซิตี้จนได้แชมป์ Fa cup เมื่อปีที่แล้ว และในปีเดียวกันลิเวอร์พูลที่ว่าแน่ ๆ ก็ไม่มีปัญญาจะเอาชนะแมนยูได้แม้แต่เกมเดียว ฟุตบอลเคาท์เตอร์คือท่าไม้ตายที่เทนฮาร์คพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว การเได้เห็น กันนาโช่ ลงมาเป็นตัวจริง ผมล่ะคิดว่า เอาแล้ว! ลิเวอร์พูลถ้าบุกเพลินแล้วกองหลังดันสูงมีหวังโดนหมากเดิมตลบหลังแหง ๆ แต่ที่ไหนได้ครับ! วันนี้เทนฮาร์คเป็นอะไรที่ผมต้องปรบมือให้จริง ๆ เพราะเขาได้นำแนวคิดใหม่ ๆ ทัศนคติใหม่ ๆ ใส่ลงไปในทีม การมีผู้เล่นใหม่เสริมเข้ามาทำให้เขาไม่ต้องอุดอีกต่อไป แมนยูเปิดเกมได้อย่างเร้าใจ พวกเขาเล่นบอลเอ็นเตอร์เทนแฟนบอลในโอลแทรฟฟอร์ดได้อย่างแจ่มว้าว เรื่องนี้ต้องกลืนน้ำลายที่ไปปรามาสแกครับ 2. หลุยส์ ดิอ๊าส ติดเล่นยากไปไหน?ตัดภาพมาฝั่งทีมเยือนอย่างลิเวอร์พูลบ้าง ซึ่งคนที่ผมจับจ้องเป็นพิเศษก็คือตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้ายอย่าง หลุยส์ ดิอ๊าส เพราะพี่แกเล่นทำบอลเสียอยู่ตลอดเวลา บอลเพื่อนส่งมาง่าย ๆ แกก็ไปติดลูกขี้เลี้ยง ไปเล่นแบบฝืนจังหวะ ไปโชว์สกิลยึก ๆ ยัก ๆ แล้วก็ทำเสียบอล เดือดร้อนไปถึงเพื่อนที่อยู่แดนกลางอย่างโซบอสไลน์ ที่ต้องวิ่งน้ำบานกลับมาชดใช้ความผิดพลาดให้แก แอนดรู โรเบิร์ตสัน ที่เป็นแบ็คซ้ายนอกจากจะเหนื่อยจากการประกบกันนาโช่แล้ว ก็เป็นการทำเสียของดิอ๊าซนี่ล่ะครับ ที่ทำให้เจ้าตัวแทบจะไม่ได้เติมเกมขึ้นไปเปิดบอลเลย แต่ผมก็เข้าใจ หลุยส์ ดิอ๊าซ แกอยู่ครับ เพราะในโลกของฟุตบอลเนี่ยะตำแหน่งตรงนี้ก็คือจุดที่จะเสียบอลมากที่สุดแล้ว เนื่องจากผู้เล่นจะต้องดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งอยู่ตลอด ทางเลือกเดียวที่ดิอ๊าสจะรอดจากเสียงก่นด่าก็คือเขาจะต้องยิงประตูให้ได้ จะท่าไหนก็ช่างขอให้มันเข้าไม่งั้นจมธรณีแน่ แป๊บเดียวคุณผู้อ่าน! หันมาอีกทีพี่แกล่อไป 2 ประตู! ตู้ม! ตู้ม! 3. คาเซมิโร่ ผู้น่าสงสารคนข้างบนถือว่ารอด แต่คนตรงนี้สิครับป่านนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คาเซมิโร่คงหมดอนาคตกับแมนยูแล้วเป็นแน่แท้ ดูจากสีหน้าสีตาของแกตอนที่กล้องจับมา ก็ชัดแล้วครับว่าแก "รู้สึกผิด" ขนาดไหน การจ่ายบอลพลาดแบบงงกันทั้งโลกแบบนั้น บวกกับการโดนแซะจนเสียหลักหงายท้องหงายไส้ เศร้าก็เศร้าเสียใจก็เสียใจ ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรแก (แกน่าจะโดนเยอะแล้ว) ขออนุญาตใช้คำว่า "ประสบการ์ที่ถูกสังขารเซาะกร่อน" ก็แล้วกัน สารตั้งต้นมันมาจากความเชื่องช้าของคาเซมิโร่เอง แกรู้ทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรเร่งจ่ายไปแบบนั้น จบแล้วครับ! การมาของมิดฟิลด์ตัวรับคนใหม่อย่าง อูการ์เต้ การที่เทนฮาร์คเลือกส่งเจ้าหนู โทบี้ คอลเยอร์ ลงไปแทนในช่วงครึ่งหลัง แค่นี้คาเซมิโร่ก็เตรียมนั่งสำรองไปยาว ๆ ได้เลย 4. กวาเวนเบิร์ค ผู้เกิดใหม่ครับ! ต้องบอกว่านี่คือมิดฟิลด์ที่เพิ่งจะจุติโดยแท้ เพราะฤดูกาลที่แล้วแทบจะเต็มฤดูกาล ไรอัน กวาเวนเบิร์ค เบียดตำแหน่งวาตารุ เอนโด ไม่ได้เลย มิหนำซ้ำภายใต้การนำของเจอร์เก้น คล็อปป์ เขากลับทำผลงานได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หลายครั้งก็หายไปจากเกมแบบดื้อ ๆ ชนิดที่คนพากย์แทบจะไม่ได้ขานชื่อ หนักไปทางวิ่งไล่บอลแต่ไม่ค่อยจะได้บอลไว้กับตัวสักเท่าไหร่ วาตารุ เอนโด ที่เล่นง่ายกว่าก็เลยถือสปก. ตำแหน่งนี้ไว้เป็นพื้นที่ทำกิน แต่ทว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้วครับ อาเน่อร์ สล็อต โค้ชคนบ้านเดียวกันเข้ามา ไม่รู้ไปปรับจูนอะไรกัน แต่ที่เห็นคือฝีเท้าของกวาเวนเบิร์คนั้นดีขึ้นผิดหูผิดตามาก เล่นเกมรับได้เนียนกริบ แถมยังควบทะยานเปลี่ยนฟังค์ชั่นไปเล่นเกมบุกได้ในคน ๆ เดียวกัน สรีระดีแรงปะทะแข็งแกร่ง การที่ได้เห็นแกเป็นตัวจริง 3 นัดติด จึงไม่ใช่การใช้เส้นสายแต่อย่างใด การันตีด้วยฝีเท้าล้วน ๆ ครับ สรุปสุดท้าย ผมมองว่าแม็ทซ์นี้ลิเวอร์พูลทำได้ตามภาพในหัว ทุกอย่างลงล็อคและเข้าทางพวกเขาหมด ในขณะที่ฝั่งเจ้าบ้านอย่างแมนยูก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย ผลสกอร์มันอาจจะดูห่าง มันอาจจะน่าอับอายสำหรับแฟนบอล แต่อย่างน้อยพวกเขาก็กล้าทำในสิ่งใหม่ กล้าที่จะนำการบุกเข้ามาสู่ทีม ไม่ใช่เล่นบอลอุดอยู่ตลอดเวลา มีนักเตะใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว อะไร ๆ ก็น่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น ถ้าเป็นข้อสอบผมก็ไม่ให้แมนยูตกหรอกครับ ไม่ให้ซ้ำชั้นด้วย แต่ผมจะให้ค่าน้ำหมึก ในอนาคตพวกเขาจะแกร่งขึ้นแน่ แต่แค่ยังไม่ใช่แม็ทซ์นี้! เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก 1 จาก FB : Liverpool FCภาพหน้าปก 2 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 1 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 2 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 3 จาก FB : Liverpool FCรูปที่ 4 จาก FB : Liverpool FC ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !