TRUE OPINIONS : ถึง อาร์แซน เวนเกอร์ : จากมุมมองของคู่แค้นอันดับ 1 ในยุคมิลเลนเนียม ... by "บีม ภควิชญ์"

บีม ภควิชญ์ : ส่วนตัวผมแล้ว การเลือกลงจากตำแหน่งหัวปืนใหญ่ของ “อาร์แซน เวนเกอร์” ให้ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป
ใจนึงก็รู้สึกใจหาย… ชายชาวฝรั่งเศสมาดเนี๊ยบกับหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดของสโมสรอาร์เซน่อล กำลังจะย้ายตัวเองจากขอบสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ไปสู่หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ที่จะกลายเป็นเพียงอดีตให้ได้จดจำ
แต่อีกใจนึงก็รู้สึกดีใจกับตัวแกเอง… ที่สามารถปิดฉากวังวน “ความล้มเหลว” ในช่วงสิบปีหลัง ที่มีตัวเขาเองเป็นศูนย์กลางเช่นกัน
…
….
…..
หากย้อนไปแค่ทศวรรษเดียว แฟนบอลยุคใหม่ อาจจะมอง “อาร์แซน เวนเกอร์” เป็นแค่ผู้จัดการทีมธรรมดา
เขาทำได้ดีที่สุดแค่จบท็อป 4 และในช่วง 13 ฤดูกาลหลังสุด ซึ่งเป็นการจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์เพียง 2 ครั้ง ส่วนที่เหลือไม่ที่ 3 ก็ที่ 4 ซึ่งนั่นไม่เพียงพอกับเป้าหมายของทีมใหญ่ที่ตั้งรกรากในเมืองหลวงพร้อมค่าตั๋วที่สูงลิ่ว
ยังไม่รวมผลงานในฟุตบอลยุโรป ที่ เวนเกอร์ พาทีมไปได้ไกลที่สุดแค่รอบ 16 ทีม 7 ฤดูกาลติดต่อกัน… โอเค… มันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาดวงแตกจับไปเจอกับ บาเยิร์น กับ บาร์ซ่า เป็นประจำ แต่แฟน ๆ หลายคนย่อมไม่พอใจแน่ ๆ ที่ทีมของพวกเขาต้องโดนผูกปีแพ้โดยที่แทบจะไม่มีโอกาสสู้ได้เลย
สุดท้ายแล้วการที่ อาร์เซน่อล กำลังจะไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สองฤดูกาลติดต่อกัน ก็เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้เจ้าตัวขอเลือกลงจากตำแหน่งเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของตัวเขาเอง และสโมสรจากลอนดอน
แต่ในฐานะที่ผมเป็นแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่ยุค 90’s ยอมรับเลยว่าในช่วงนั้นไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนที่สามารถสร้างความน่าหวาดหวั่นใจได้เท่ากับ “อาร์แซน เวนเกอร์” และ “อาร์เซน่อล”
“ไอ้ปืนใหญ่” คือทีมผ่าเหล่าผ่ากอทีมแรก ๆ ของเกาะอังกฤษ พวกเขามีสไตล์การเล่นเป็นของตัวเอง กับการต่อบอลมากจังหวะ และทะลุทะลวงเข้าเขตโทษตามช่องว่างในแนวรับของทีมคู่แข่ง ซึ่งการเล่นในลักษณะเป็นที่แปลกหูแปลกตาของฟุตบอลอังกฤษในสมัยนั้น ที่มักจะเน้นการสาดยาวจากแดนหลังข้ามหัวแดนกลางไปจบที่แดนหน้า แต่ “อาร์เซน่อล” ของผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เลือกที่จะกดบอลไว้กับพื้น สร้างความปั่นป่วนให้กับกองหลังร่างยักษ์ของพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้าที่พวกเราจะรู้ได้จักคำว่า “ติกิ-ตาก้า” ของบาร์เซโลน่าในยุคปลาย 2000’s … เวลาเด็ก ๆ ยุคผมเล่นฟุตบอลโกล์หนู พวกเราจะชอบเรียกการต่อบอลสวยๆ และจบที่การยิงประตูว่า “อาร์เซน่อล สไตล์” เสมอๆ
ขนาดยอดทีมแห่งยุคอย่าง “ปีศาจแดง” หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับ “ไอ้ปืนใหญ่” ยังต้องยอมทิ้งระบบ 4-4-2 ที่เหมือนเป็นซิกเนเจอร์ของสโมสรในยุคนั้น และปรับเปลี่ยนมาเล่น 4-5-1 เพื่อส่งกองกลางตัวรับลงมาเพิ่ม หวังทำลายเกมรุกอันไหลลื่น และจัดจ้านของ “อาร์เซน่อล” เลยคุณ
เวนเกอร์ คือผู้จัดการทีมที่เคยจัดการตอกลิ่ม “ปีศาจแดง” หลังบุกมาคว้าแชมป์ถึงถิ่น “โรงละครแห่งความฝัน” ในเกมที่ ซิลแวง วิลตอร์ จัดการซัดประตูโทนเมื่อฤดูกาล 2001/02 หยุดสถิติคว้าแชมป์ต่อเนื่องของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงอย่างราบคาบในรังเหย้าของพวกเขาเอง
สุดท้ายแล้วในยุคทศวรรษแรกของ “อาร์แซน เวนเกอร์” เขาพาทีมจากลอนดอนคว้าแชมป์ลีกไปได้สามสมัย โดยเฉพาะสมัยสุดท้ายที่ไม่แพ้ให้ใครเลยตลอดฤดูกาล จารึกตัวเขา และทีมงานให้เป็นที่เล่าขานโจษจันมาจนถึงทุกวันนี้
แต่หลังจากนั้นมา ทุกอย่างก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม…
แม้ “เดอะ กันเนอร์” จะยังคงก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลในสไตล์ของพวกเขา ที่มันยังเร้าใจ และทรงประสิทธิภาพ รวมถึงน่าติดตามชมเหมือนทุกครั้งในยามอดีต
แต่ “อาร์แซน เวนเกอร์” นั้นมีสไตล์การทำทีมในแบบของเขาเอง ระบบการเล่นก็มาจากตัวเขา การบริหารและจัดการเขาก็เป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียด ซึ่งนั่นรวมถึงนโยบายการซื้อขายผู้เล่น ที่ผมมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด
ผู้จัดการทีมชาวผรั่งเศสมักจะเลือกซื้อผู้เล่นดาวรุ่ง และนำมาเจียระไนให้เป็นเพชรแท้ มันอาจออกมาดีบ้างแย่บ้าง แต่สุดท้ายการทำทีมในลักษณะนี้นั้นมีความเสี่ยงสูง และที่สำคัญคือมันไม่ได้การันตีความสำเร็จอีกแล้วในฟุตบอลยุคใหม่ที่ “เม็ดเงิน” เข้ามามีความสำคัญ และ “เวลาของความอดทน” นั้นหดสั้นลงทุกขณะจิต
การเข้ามาของ “โรมัน อับราโมวิช” เป็นอีกตัวแปรสำคัญ การขยับระดับขึ้นมาของ “เชลซี” และ “ถ้วยรางวัล” ที่พวกเขาได้รับ มีรากฐานที่สร้างมาจากเงินมหาศาลสกุลหมีขาว เป็นการส่งสัญญาณว่าเงินสามารถซื้อความสำเร็จได้และไม่ได้มีม้าในการแข่งขันแค่สองตัวอีกต่อไป และก็นั่นรวมถึงการเทคโอเวอร์ “เรือใบสีฟ้า” ของ “ชีค มานซูร์” ในอีกหลายปีถัดมาด้วยเช่นกัน
หลังจากคว้าแชมป์ไร้พ่าย… อาร์เซน่อล มักเป็นทีมที่ถูกตราหน้าว่า “มีประสบการณ์ไม่เพียงพอ” กับการใช้ดาวรุ่งเป็นแกนหลักของทีม พวกเขาไม่เคยใกล้เคียงกับการขับเคี่ยวได้ลุ้นแชมป์จนเดือนท้ายๆ อีกเลย โดยสาเหตุถ้าไม่ได้มาจากเพราะคู่แข่งดีเกินไปก็เป็นเพราะพวกเขาไปตกม้าตายเอาเองในช่วงบดบี้ก่อนโค้งสุดท้าย
ตัวอย่างที่ผมจำได้ดีคือฤดูกาล 2008/09 ปีนั้น “ไอ้ปืนใหญ่” มาดีมาก ผ่านวันวาเลนไทน์พวกเขาชนะ 19 นัด เสมอ 6 และแพ้แค่นัดเดียว มีกองหน้าอย่าง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (ปีนั้นยิงในลีกไป 24 ประตู) กองกลางอย่าง เชส ฟาเบรกาส ในขณะที่ตำแหน่งอื่น ๆ ก็สดห้าวทุกตำแหน่ง บาการี่ ซานญ่า, กาเอล กลิชี่, โคโล ตูเร่, อเล็กซานเดอร์ เคล็บ, โธมัส โรซิคกี้ รวมถึง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ก้าวมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
สุดท้ายพวกเขาไปมีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ หลัง เอดูอาโด้ ดา ซิลวา เกิดขาหักในเกมกับ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ แถมมาเสียจุดโทษให้ลูกโลกที่เหลือ 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 3 ได้โอกาสตีเสมอในวินาทีสุดท้ายของเกม ทำให้ช่วงนั้นพวกเขาสั่นคลอนไปดื้อๆ และเก็บได้เพียง 3 คะแนนจาก 5 นัด หลุดวงโคจรลุ้นแชมป์ตั้งแต่เดือนมีนาคม
…
….
…..
ส่วนตัวผมเห็นใจ “อาร์แซน เวนเกอร์” ในยุคหลัง ๆ เป็นอย่างมาก เพราะนับแต่ อาร์เซน่อล ไม่ใช่ทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ มันจึงเป็นการยากที่จะรั้งตัวนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีในแต่ละฤดูกาลให้อยู่กับทีมต่อไป
รายชื่อนักเตะที่เอ่ยมาเมื่อไม่กี่บรรทัดก่อน ถูกทีมที่เม็ดเงินเยอะกว่า และมีโอกาสคว้าแชมป์มากกว่า ดูดออกไปจากทีมทีละรายสองราย ทำให้กุนซือชาวฝรั่งเศสต้องสร้างทีมใหม่แทบจะในทุกๆ ปี เราลองคิดดูเล่นๆ ว่า หาก อาร์แซน เวนเกอร์ สามารถเก็บผู้เล่นดาวรุ่งทุกคนให้อยู่กับทีมได้ อาร์เซน่อล จะมีทีมที่แข็งแกร่งขนาดไหน
ผมลองสังเกตจากกระแสตอบรับตามสื่อต่าง ๆ กับการที่ อาร์แซน ตัดสินใจลาออกในคราวนี้ แฟน ๆ อาร์เซน่อล อาจจะมีใจหาย แต่ทุกคนก็ทราบดีว่ามันต้องมาถึงซักวัน เพราะความจริงเรื่องของตัวเขาและ “ไอ้ปืนใหญ่” มันควรจบลงไปตั้งนานแล้ว หากวัดกันด้วย “ความคาดหวังของแฟนบอล” ในช่วงที่ผ่านมา
แม้ตำนานบทนี้จะจบลงแบบหวานอมขมกลืน แต่เชื่อแน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ ลีก จะต้องจดจำชื่อของชายชาวฝรั่งเศสคนนี้ไปอีกนานครับ
…
….
“บีม ภควิชญ์”
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports