จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองได้มาสัมผัสกับงานในวงการกีฬา ของสมาคมกีฬาแห่งหนึ่ง ทำให้นึกถึงนักกีฬาท่านหนึ่งซึ่งเลิกเล่นไปเนื่องด้วยเหตุบางประการ ซึ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายทางด้านจิตวิทยาการกีฬาของกรมพลศึกษา ซึ่งได้อธิบายเรื่องราวของภาวะนี้ที่เกิดขึ้นในนักกีฬาชัดเจน คำว่า Burn Out คงมองในมุมของการทำงาน แต่ก็มีภาวะนี้ในทางจิตวิทยาทางการกีฬาเช่นกัน หลายคนคงทราบกันดีว่า ภาวะหมดไฟในนักกีฬานั้น ถ้ามีสะสมมาก ๆ ก็อาจจะทำให้ถอดใจได้ง่ายมาก จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจไปโดยปริยาย Credit pic : https://www.pexels.com/photo/martial-arts-training-3340319/ ในการฝึกซ้อมที่เข้มงวด ต้องแข่งขันกับตัวเองและคนที่จะมาท้าชิงกับเราด้วย และการแข่งขันเพียงเสี้ยวนาทีที่ต้องทำให้รวดเร็ว ทันควันของแต่ละทัวร์นาเมนท์ในแต่ละชนิดกีฬา นักกีฬาหลายคนอาจเผชิญกับภาวะทางจิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งภาวะนี้ก็มีอีกความหมายหนึ่งว่า "หมดไฟ" ซึ่งภาวะนี้ไม่ว่าจะนักกีฬามือใหม่หรือนักกีฬาสมัครเล่นที่อยู่ในแวดวงนี้มานาน รวมทั้งนักกีฬาอาชีพก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหมดไฟได้เช่นกัน Credit pic : https://www.pexels.com/photo/men-fighting-in-the-ring-2581662/ ประเภทภาวะหมดไฟในนักกีฬา ภาวะหมดไฟในนักกีฬาจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทก็คือ ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว และภาวะหมดไฟแบบถาวร 1. ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว เป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดซึมเศร้ามากที่สุด เพราะจะมีโอกาสที่มองคุณค่าในตัวเองต่ำลงได้ง่าย ซึ่งในประเภทนี้จะเป็นการแสดงภาวะทางจิตใจเนื่องจากความล้า หรือสภาวะอารมณ์ที่มองในทางลบ หากมีใครเข้ามาช่วย หรือเข้ามาพูดคุยในเวลานั้น นักกีฬาจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น สามารถกลับไปเล่นได้อีก 2. ภาวะหมดไฟแบบถาวร ภาวะในประเภทนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะนี่คือใกล้ถึง "จุดอิ่มตัว" ของการเป็นนักกีฬา อีกทั้งนักกีฬาจะรู้สึกไม่อยากเล่นเพราะหมดสนุก หรือเล่นไปเพียงเพราะหน้าที่ที่ยังค้ำคออยู่ เช่น เป้าหมาย เงินรางวัล ความคิดเห็นโค้ชที่อยากให้อยู่ต่อ ความกดดันในตัวเองเพิ่มขึ้น รวมทั้งนักกีฬานึกถึงคนข้างหลัง เช่น พ่อแม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอดทน และประสบการณ์แต่ละบุคคล แต่ที่แน่นอนก็คือ ภาวะแบบถาวรจะเล่นเพียงความจำเป็นมากกว่า อาจจะเป็นการนับถอยหลังในตัวว่า...ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลิกเล่นอยู่ดี Credit pic : https://www.pexels.com/photo/photography-of-person-riding-brown-horse-1125060/ ปัจจัยที่ทำให้เกิด "Burn Out" ในนักกีฬา 1. สถานการณ์ หรือปัจจัยแวดล้อม - ทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียด มีเรื่องรบกวนจิตใจ ความรู้สึกไม่ดีในเรื่องต่าง ๆ หรือเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ จนขาดสมาธิ และไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่ทำ ณ ตรงนั่นได้ - ทางด้านร่างกาย เช่น มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง (Chronic Injury) การได้รับการฝึกแบบหนักเกินไป (Overtraining) โปรแกรมซ้อมจำเจ หรืออุปสรรคอื่น ๆ ทางกายที่ทำให้ไม่สามารถเล่นได้เต็มที่เท่าที่ควร - ทางด้านสภาพแวดล้อม เช่น พฤติกรรมที่โค้ชแสดงออก การไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านจิตใจหรือไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีเท่าที่ควร 2. ปัจจัยด้านบุคคล - ปัจจัยทางด้านนิสัย เช่น การหล่อหลอมแบบมุ่งงาน การหล่อหลอมแบบมุ่งตัวเอง และความวิตกกังวล เช่น รู้สึกว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือรู้สึกเหมือนไม่มีน้ำยาพอที่จะแข่งได้ รู้สึกไร้ตัวตน - ปัจจัยทางสังคม ยิ่งได้รับอิทธิพลทางสังคมมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะหมดไฟก็มากเท่านั้น เช่น มีปัญหากับเพื่อนในทีมไม่ว่าจะกีฬาบุคคลหรือกีฬาทีม หรือไม่อยากลงเรือลำเดียวกันกับทีมเลย หรือไม่พอใจในทีม Staff Credit pic : https://www.pexels.com/photo/group-of-people-doing-marathon-1571939/ ใครจะมีบทบาทเข้ามา - โค้ช เพราะโค้ชจะใกล้ชิดนักกีฬาที่สุด เป็นได้ทั้งผู้สร้างนักกีฬาและทำลายนักกีฬา (ด้วยความไม่ตั้งใจ) ในขณะเดียวกัน ฉะนั้น โค้ชจะต้องมีส่วนช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬารู้สึกดีขึ้น หรือรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้คุยกับโค้ช - นักจิตวิทยา นอกจากโค้ชแล้ว นักจิตวิทยาจะช่วย Guideline ให้นักกีฬา อาจจะมีการฟื้นฟูสภาพจิตใจ จิตบำบัดวิธีที่เหมาะสมให้นักกีฬา สามารถกลับไปเล่นได้ปกติ และมีนักจิตวิทยาจะต้องเข้ามามีบทบาทมากในกรณีที่หมดไฟแบบชั่วคราว เพราะช่วงนี้จะได้ผลและกลับมาเร็วที่สุด - จิตแพทย์ จะช่วยรักษาสภาพจิตใจให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และต้องเข้าใจว่าจิตแพทย์ไม่ได้พบแค่ตอนเป็นบ้าเท่านั้น Credit pic ภาพปก : https://pixabay.com/photos/tennis-racket-tennis-ball-sport-3552164/