ก่อนฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-2020 จะรูดม่านเปิดฉากขึ้น บ่อนพนันชื่อดังทุกสำนักต่างปรามาสทีมน้องใหม่หน้าเก่า "ดาบคู่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด" ว่าจะตีตั๋วชั้นหนึ่งกลับลงไปในลีกแชมเปี้ยนชิพเมื่อจบฤดูกาลโดยต่างยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะตกชั้น เมื่อการแข่งขันดำเนินมาจนถึงปัจจุบันที่เหลืออีก 4 นัดกับโอกาสการลุ้นแย่งพื้นที่ยุโรปอย่างเข้มข้น เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไม่เพียงแต่หักปากกาเซียนแทบทุกสำนัก แต่พวกเขายังกำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเอง จากเต็งหนึ่งลุ้นตกชั้นสู่การลุ้นเล่นพื้นที่ยุโรป เราจะมาเจาะลึกสาเหตุว่าทำไมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ถึงถีบตัวเองไปได้ไกลกว่าที่ทุกคนคาดคิด กุญแจที่ 1 โค้ชที่ชื่อ คริส ไวล์เดอร์ นับตั้งแต่ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในปี 2016 คริส ไวล์เดอร์ ก็พาเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดเลื่อนชั้นถึง 2 ครั้งภายใน 4 ปี จากลีกวัน มาแชมเปี้ยนชิพ และจากแชมเปี้ยนชิพ มาสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยกึ๋นและมันสมองของ คริส ไวล์เดอร์ที่รับรู้ว่าการแข่งขันในลีกสูงสุดมีแต่เสือ สิงห์ กระทิง แรด และมาตรฐานทีมแทบจะไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก เขาจึงเลือกที่จะปรับเปลี่ยนปรัชญาการทำทีมเสียใหม่ เขาอดทนที่จะสร้างทีมขึ้นมาโดยยึดตามแผนการเล่นเป็นหลักแล้วค่อยเสริมนักเตะที่เข้ากับระบบมากกว่าที่จะซื้อนักเตะคุณภาพดีมาแล้วค่อยปรับระบบให้เข้ากับนักเตะ มีผู้เล่น 4 คนจากทีมในสมัยยังอยู่ลีกวันที่เขามองว่ามีคุณภาพมากพอที่จะเป็นแกนกลางของระบบทีมที่เขาจะสร้างได้ ซึ่งทั้งสี่คนนั้นปัจจุบันก็ยังคงเล่นให้กับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดอยู่ในลีกสูงสุดคือ แจ็ค โอ คอนเนลล์ คริส บาแชม จอห์น เฟล็ค และบิลลี่ ชาร์ป นี่คือสูตรสำเร็จแรกที่คริส ไวล์เดอร์ติดตั้งให้กับทีมของเขา กุญแจที่ 2 แท็คติกที่เปลี่ยนไป ย้อนไปในสมัยที่ทีมยังอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ลูกทีมของคริส ไวล์เดอร์มีการเปอร์เซ็นต์การครองบอลต่อเกมที่สูง จำนวนลูกที่ผ่านต่อเกมก็สูง รวมถึงรูปแบบการเล่นของทีมที่มีเน้นการต่อบอลทำเกม มีเพลย์เมกเกอร์มาร์ค ดัฟฟี่ในตำแหน่งหมายเลข 10 คอยปั้นเกมจนพาทีมเลื่อนชั้นด้วยแผน 3-4-1-2 แต่เมื่อเลื่อนชั้นมาสู่พรีเมียร์ลีก แท็คติกของทีมดาบคู่มีการเปลี่ยนไปเป็นแผน 3-5-2 โดยการเลือกเติมกองกลางพลังไดนาโมที่สามารถวิ่งขึ้นสุดลงสุดมาช่วยงานตรงแดนกลางแทน เน้นการต่อบอลที่เร็วขึ้น และแย่งชิงบอลมาจากแดนบนของคู่ต่อสู้ ปัจจัยสำคัญของระบบนี้คือวิงแบ็คสองข้างต้องเข้าใจระบบ ซึ่งทั้ง จอร์จ บัลด็อก และ เอ็นดา สตีเฟนส์ ต่างรักษามาตรฐานนี้ไว้ได้และเป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งวิงแบ็คมาตลอด ยามที่เปิดเกมบุกเมื่อวิงแบ็คสองข้างหุบเข้าไปในพื้นที่ว่างในกรอบเขตโทษ เซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย ขวาก็จะช่วยดันสูงขึ้นไปเพื่อเพิ่มโอกาสในครอสบอลหรือดักเก็บบอลแดนบนจากคู่แข่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ผลงานของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดลอยตัวอยู่เหนือความกดดันในลีกสูงสุด กุญแจที่ 3 สิบเอ็ดตัวจริงที่ลงตัวและขุมกำลังที่ทดแทนกันได้ อย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดเป็นทีมที่สร้างมาจากระบบการเล่นก่อนนักเตะ เพราะฉะนั้นคุณภาพนักเตะตัวจริง ตัวสำรองจะไม่หนีห่างกันมากนัก ชื่อชั้นถ้าตีเป็นเกรดมากสุดก็ไม่เกิน B- ด้วยซ้ำไป แต่นับว่าเป็นโชคดีของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดที่ค้นพบ 11 ตัวจริงที่ลงตัวที่สุดได้เร็ว ไลน์อัพของทีมในแต่ละเกมจะหนี้ไม่พ้นชุดเดิมๆ ตำแหน่งที่มีการแข่งขันกันสูงหน่อยคือแผงกองหน้าที่มี บิลลี่ ชาร์ป ลีส์ มูสเซ่ต์ เดวิด แม็คโกลดริค และ โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ย์หมุนเวียนสลับกันลงเป็นตัวจริง เมื่อคุณมีทีมที่ลงตัวกับแท็คติกไว้ในใจเรียบร้อย การยืนระยะอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นสิ่งที่ตามมา ต่างจากอีกทีมที่เลื่อนชั้นมาพร้อมกันอย่างนอริช ซิตี้ ที่ถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว คุณภาพนักเตะของนอริชดูจะเหลื่อมๆกว่าของเชฟฟิลด์เสียอีก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่นอริช ซิตี้เลือกคงรูปแบบการเล่นที่สวยงาม หวือหวาเหมือนสมัยยังเล่นในแชมเปี้ยนชิพเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะเปิดฤดูกาลได้อย่างน่าประทับใจ แต่เมื่อต้องแข่งถึง 38 นัดกับแท็คติกและคุณภาพนักเตะที่ยังไม่ลงล็อคบวกกับความเข้าใจในเกมที่ยังทำได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้นอริชกำลังกลายเป็นทีมแรกที่อาจต้องตกชั้นไปในฤดูกาลนี้ กุญแจที่ 4 เกมรับที่ดีคือเกมรุกที่มีคุณภาพ การยืมตัว ดีน เฮนเดอร์สัน เข้ามาคืออีกหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด ด้วยผลงานเสียประตูน้อยที่สุดในลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้วรวมไปถึงสามารถเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดในฤดูกาลนี้เป็นรองแค่ นิค โป๊ป อลิสซง เบ็คเกอร์ และ เอแดร์ซอน เมื่อความไว้วางใจและการสื่อสารกันระหว่างแผงกองหลังกับผู้รักษาประตูเกิดขึ้น คุณภาพในเกมรับที่ดีก็ตามมา เมื่อมีคุณภาพในเกมรับที่ดีก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้แต้มออกไป โดยในฤดูกาลนี้จนถึงปัจจุบันเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดถูกเจาะตาข่ายน้อยที่สุดของลีกเป็นอันดับสามโดยเป็นรองแค่ลิเวอร์พูล และเลสเตอร์ ซิตี้ ปัจจัยข้อนี้เรียกได้ว่าอาจเป็นข้อที่สำคัญที่สุดที่พาเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาลีกสูงสุด และพวกเขาก็สามารถสานต่อสิ่งที่พวกเขาทำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ สิ่งที่น่าติดตามกันต่อไปก็คือ ถ้าหากว่าเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดเกิดจับพลัดจับผลูได้ไปเล่นในถ้วยยุโรปขึ้นมา เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในถิ่นบรามอล เลนแห่งนี้หรือไม่ เพราะบทเรียนก็มีให้เห็นหลายครั้งแล้วเช่นกันเมื่อสโมสรระดับเล็ก ระดับกลางได้เข้าไปเล่นในถ้วยยุโรปแล้วมีขนาดทีมที่เล็กเกินไป ผลงานในลีกจึงรูดลงมาอย่างน่าใจหาย กับอีกคำถามที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในฤดูกาลหน้าพวกเขาจะสามารถรักษามาตรฐานนี้ไว้ได้หรือไม่ หรือพวกเขาจะเป็นเพียงแค่ one season wonder เท่านั้น แต่ ณ เวลานี้เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดถือเป็นทีมที่มีต้นทุนที่ดีที่พร้อมจะก้าวพ้นจากทีมเต็งตกชั้นในทุกๆปีไปสู่ทีมระดับกลางของลีกได้ อยู่ที่ตัวพวกเขาเองว่าจะสานต่อต้นทุนนี้ไปได้ไกลแค่ไหน เครดิต รูปหน้าปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3