บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่แห่งไทยลีก มีการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชอีกครั้งในช่วงก่อนจบเลกแรก ด้วยผลงานในเลกแรกที่ในสายตาของผู้เขียนมองว่าไม่ได้แย่ แต่ในสายตา “โค้ชธง” ธงชัย สุขโกกี มองว่าเขายังไม่ดีพอ ด้วยผลงานที่ตกรอบแบ่งกลุ่ม AFC Champions league ด้วยการแพ้รวดทุกนัด การตกรอบ เอฟเอ คัพ ด้วยฝีมือของ ชลบุรี เอฟซี รองบ๊วยไทยลีก 1 ในเวลานั้น แต่ยังมีลุ้นอีก 2 ถ้วย นั่นคือ Revo League Cup และ ไทยลีก ปัจจุบันก่อนเปิดศึกในเลกที่ 2 ทัพกระต่ายแก้ว อยู่ในอันดับที่ 4 ของตารางคะแนน มีคะแนนเท่ากับอันดับ 3 การท่าเรือ เอฟซี ตามหลังที่ 2 อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ 1 แต้ม และตามหลังจ่าฝูง ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด เพียง 5 คะแนน ชัดเจนว่าพวกเขายังมีลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว แต่ปัญหาหลักที่ยังมีอยู่และมีเพิ่มขึ้นด้วยคือ ตัวผู้เล่นบาดเจ็บ แล้วพวกเขาเสริมทัพในเลก 2 อย่างไร ดีพอไหม เราจะไปวิเคราะห์กัน วิเคราะห์การเสริมทัพ 1. มาโกโตะ เทกุระโมริ (เฮดโค้ช) เริ่มกันที่การเสริมแม่ทัพใหญ่ "เทกุซัง" มาโกโตะ เทกุระโมริ เคยทำผลงานในการคุมทัพกระต่ายแก้วไว้ในการคุมทีมรอบแรก จากการคุมทีม 28 นัดทุกรายการ สามารถพาทีมชนะไปได้ 17 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้ 5 นัด คิดเป็นชัยชนะถึง 60.71% ยิงได้ 60 เสีย 28 ประตู จากนั้น เขาก็ไปล้มเหลวกับการคุมทีม ชลบุรี เอฟซี จมรองบ๊อยของไทยลีกอยู่ในขณะนี้ หลังจากลาออกเพื่อรับผิดชอบผลงานได้ไม่ถึงเดือน ผู้บริหาร บีจี ก็เลือกเขากลับมาคุมทีม แทน“โค้ชธง” ธงชัย สุขโกกี ที่ลาออกจาก บีจี ในเวลาไล่เลี่ยกันการกลับมาในครั้งนี้ เทกุซัง รู้จักวิธีการทำงานร่วมกับทีมดีอยู่แล้ว เพียงแค่ทำความรู้จักนักเตะที่เข้ามาใหม่ๆ ในช่วงที่เค้าออกจากสโมสรไปเท่านั้น เพื่อปรุงส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากับระบบวิธีการเล่นของเขา ระบบการเล่นของเทกุ ค่อนข้างยืดหยุ่น เคยเล่นทั้งระบบหลัง 3 คน และหลัง 4 คน อาจจะปรับไปตามสถานการณ์ และทีมคู่ต่อสู้การเลือก โค้ชเทกุ กลับมาในครั้งนี้ของ บีจี ถือเป็นทางเลือกที่ลงตัว ด้วยความที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างฤดูกาล ถ้าหากใช้โค้ชอิมพอร์ท หรือโค้ชที่ไม่เคยร่วมงานกันเข้ามาทำงาน จะต้องมีการปรับตัวเข้าหากันสักระยะ ทั้งตัวโค้ช นักเตะ และผู้บริหาร ซึ่งอาจจะไม่ทันการสำหรับความต้องการลุ้นแชมป์ต่อทันทีในเลก 2 อยู่ที่ เทกุซัง แล้วว่าจะสามารถพา บีจี ปทุม ไปได้ไกลแค่ไหน 2. กฤษดา กาแมน (ชลบุรี เอฟซี) "เจ้าและห์" กฤษดา กาแมน ย้ายมาจาก ชลบุรี เอฟซี ด้วยค่าตัวประมาณ 30 ล้านบาท ถือเป็นบิ๊กดีลอีกครั้งของทีม ด้วยการเสริมนักเตะทีมชาติไทยชุดปัจจุบันเข้ามา อดีตกัปตันฉลามชลคนนี้เล่นได้ทั้งกองกลาง และกองหลัง จึงสามารถเข้ามาเติมเต็มให้ บีจี ได้ในหลายรูปแบบแล้วแต่ โค้ชเทกุ จะต้องการใช้งานคาดว่า กฤษดา จะไม่ต้องใช้เวลากลับตัวกับทีมใหม่มากนัก เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่เคยร่วมงานกันมาแล้วทั้งใน ทีมชาติ หรือที่ ชลบุรี เอฟซี และที่สำคัญเขาพึ่งร่วมงานกับเฮดโค้ชคนใหม่ของบีจี มาเมื่อเลกที่แล้วเท่านั้นเอง นั่นทำให้ เทกุซัง มีคู่มือ รู้วิธี รู้สไตล์ของ เจ้าและห์ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว 3. พิศาล ดอกไม้แก้ว (พีที ประจวบ เอฟซี) *ยืมตัว* พิศาล ดอกไม้แก้ว ผู้รักษาประตูจอมเก๋า วัย 39 ปี ได้กลับมาร่วมทัพ กระต่ายแก้ว อีกครั้ง หลังเคยอยู่ที่นี่ในปี 2017/18 สมัยยังเป็น บางกอกกล๊าส เอฟซี ลงเฝ้าเสาไปทั้งหมด 19 นัด ก่อนจะย้ายออกจากทีมไป จนโคจรกลับมาร่วมทีมในครั้งนี้ดีลนี้ แทบไม่ได้ส่งผลอะไรกับทีม เป็นเพียงการสลับตัวของเขากับ ฉัตรชัย บุตรพรหม การเข้ามาของเขาคาดว่าจะเข้ามาเป็นอะไหล่ในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับมือ 1 คนปัจจุบันของทีมอย่าง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก เท่านั้น 4. ชนานันท์ ป้อมบุปผา (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด) "เจ้าทู" ชนานันท์ ป้อมบุบผา ย้ายมาร่วมทีม หลังหมดสัญญากับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เมื่อเดือน ธันวาคม 2023 ก่อนย้ายมา เขาลงสนามให้กับ บียู ไปทั้งสิ้น 63 นัด ทำได้ 19 ประตู โดยในฤดูกาลนี้ได้รับโอกาสลงสนามไปทั้งหมด 8 นัด ทำไป 1 ประตูการย้ายมาของ เจ้าทู นั้นทีมต้องการกองหน้าเข้ามาช่วยงานระหว่างที่ ธีรศิลป์ แดงดา ยังไม่หายเจ็บ อิคซาน ฟานดี้ ยังไม่ฟิต และล่าสุด อิกอร์ เซอร์เกเยฟ เจ็บเพิ่มไปอีก 1 คน ทำให้เหลือกองหน้าเพียง ดานิโล อัลเวส และ เจนรบ สำเภาดี การเซ็นต์ฟรีมาในครั้งนี้ ถึงแม้จะเลยจุดพีกของอาชีพค้าแข้งมาแล้ว แต่ด้วยประสบการณ์ของเขาน่าจะสามารถช่วยทีมได้ระดับหนึ่งคาดว่าเขาจะเข้ามาเป็นเพียงอะไหล่ในแดนหน้าเท่านั้น ในช่วงที่ตัวหลักบาดเจ็บ แต่ถ้าหากเขาสามารถฉกฉวยโอกาสระหว่างนั้นได้ดี ก็อาจยืนยาวเป็นตัวหลักได้เช่นกัน 5. เดนิส บุชน์ยา (ดินาโม ทบิลิซี) เดนิส บุชน์ยา แนวรุกดีกรีอดีตเยาวชนทีมชาติโครเอเชีย วัย 23 ปี เล่นในตำแหน่งปีกทั้งซ้าย และขวา ข้ามทวีปมาหาความท้าทายใหม่ ๆ ที่ประเทศไทย การเสริมตัวในครั้งนี้ของ บีจี ถ้าเอาตามตำแหน่งถนัดของเจ้าตัว ก็คงลงเล่นในแผงเกมรุกตำแหน่ง ปีกซ้าย แต่จากเกมอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่พบกับ เซเรโซ่ โอซาก้า เขากลับไม่ได้เล่นตรงนั้นในเกมเปิดบ้านเอาชนะ เซเรโซ่ โอซาก้า 3-2 ในเกมฟุตบอลรายการพิเศษ "ไทยประกันชีวิต เจลีก เอเชีย ชาลเลนจ์ 2023/24 พาวเวอร์ดบาย เมจิยาสึดะ" ที่สนาม บีจี สเตเดี้ยม เราได้เห็นดาวรุ่งโครแอตคนนี้ถูก เทกุซัง ส่งเขาลงเล่นในตำแหน่ง วิงแบ็คซ้าย ในระบบ 3 - 5 - 2 ซึ่งจากฟอร์มในวันนั้นจะเห็นถึงความคล่องตัว การไปกับบอลได้ดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถผ่านแบ็คขวาของทีม เจลีก ได้ หวังว่าการเจอกับทีมในไทย เขาจะสามารถทำได้ดีขึ้น และหลังจากทีมกลับมาครบทุกคน เขาอาจจะได้กลับไปเล่นตำแหน่งถนัดก็ได้ 6. กนกพล ปุษปาคม (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) *กลับจากยืมตัว* กนกพล ปุษปาคม กองกลางวัย 24 ปี กลับมาร่วมทีมในช่วงเลกสองนี้ หลังจากที่เลกแรกปล่อยตัวให้สโมสรนครปฐม ยูไนเต็ด ยืมตัวไปใช้งาน ซึ่งเขาได้โอกาสลงเล่นให้ เสือป่าราชา ไปเพียง 4 นัด และเป็นตัวจริงเพียง 2 นัด ในบอลถ้วยเท่านั้นการกลับมาในครั้งนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง สำหรับโอกาสลงสนามนั้นน่าจะน้อยมากเนื่องจากในแผงมิดฟิลด์ของ บีจี นั้น มีกองกลางระดับท๊อปขวางหน้าเข้าอยู่มากมาย แต่ในช่วงที่ โค้ชเทกุ เคยคุม บีจี ในรอบแรก เขาก็มีโอกาสลงสนามอยู่บ้าง 7. เซย์ดีน เอ็นดิอาเย (อิลเวส) เซย์ดีน เอ็นดิอาเย ปราการหลังวัย 25 ปี ที่มีเชื้อชาติไนเจอร์ ถือสัญชาติฝรั่งเศส ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก แต่สามารถขยับไปยืนกองกลางตัวรับได้ ย้ายมาจากอิลเวส ทีมในศึกไวเคาส์ ลีกา หรือลีกสูงสุดของประเทศฟินแลนด์ จุดเด่นคือความสูงที่มากถึง 2.05 เมตร โดยจะเข้ามาแทนโควต้าของ เรนาโต้ เคลิช ที่ยกเลิกสัญญากันไปก่อนหน้านี้ด้วยความสูงระดับนี้เขาถูกคาดหวังนำมาช่วยเกมรับในลูกกลางอากาศเป็นหลัก โดยตอนแรกอาจจะมีเสียงวิพากวิจารณ์ว่า การเล่นกับบอล หรือบอลกับพื้นจะเล่นได้ไหม แต่หลังจากลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องเปิดบ้านเอาชนะ เซเรโซ่ โอซาก้า 3-2 ไป จะเห็นได้ว่า นอกจากจุดเด่นที่ทุกคนคาดหวังจะทำได้ดีมากแล้ว ในเรื่องทักษะฟุตบอลก็ทำได้ดีมากเช่นกัน แถมยังทำประตูจากจังหวะโหม่งลูกฟรีคิกได้ด้วย เล่นดีจนการันตีด้วยตำแหน่ง Man of the match ในเกมนั้นทำให้ แฟนกระต่ายแก้ว น่าจะอุ่นใจได้ว่าในเลก 2 นี้ มีแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังสามารถพึ่งพาความสูงของเจ้าตัวในลูกเซตเพล ทั้งเตะมุม และฟรีคิก ได้อีกด้วย วิเคราะห์การเสริมทัพ ผู้เขียนมองว่าการเสริมทัพ ในตลาดรอบนี้ดีในระดับหนึ่ง และได้ตัวที่บาดเจ็บกลับมาบางส่วน ทั้ง "เจ ชนาธิป" "สองพี่น้องฟานดี้" บีจีไม่น่าจะมีปัญหาในการเบียดแย่งแชมป์ ข้อได้เปรียบอีกประการของ บีจี คือ การพบกับสามทีมลุ้นแชมป์ในเลกที่สองนั้น บีจี ได้เล่นได้บ้านทั้งสามนัด หากไม่พลาดกับทีมเล็กและ ใช้ความได้เปรียบในการเล่นในบ้านกับทีมใหญ่ได้ ก็จะสามารถลุ้นได้ยาวๆ ยันจบฤดูกาล แต่ยังมีอุปสรรคบางประการที่จะทำให้ บีจี ไปไม่ถึงฝันได้1. การเปลี่ยน เฮดโค้ช กลางฤดูกาลถึงแม้ว่า จะเป็นคนที่คุ้นเคยอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงย่อมต้องใช้เวลาอยู่ดี ต่างกับอีกสามทีมลุ้นแชมป์ที่ทีมได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นจุดอ่อนข้อแรกของบีจี2. เรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่น โดยเฉพาะกองหน้าตัวสำคัญอย่าง "พี่มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา และ อิกอร์ เซอร์เกเยฟ ในกรณีของพี่มุ้ย ทีมได้เตรียมการรับมือโดยการเซ็นต์ชนานันท์ ป้อมบุปผา มาไว้เพื่อรับมือแล้ว แต่ อิกอร์ เซอร์เกเยฟ พึ่งบาดเจ็บในเอเชียนคัพ ซึ่งใกล้ตลาดปิดแล้วทำให้แก้ไขอะไรไม่ทัน จากสาเหตุหลักๆ 2 ข้อนี้ จะทำให้บีจีทำได้เพียงจบ อันดับ 3 - 4 ในลีค เนื่องจากคู่แข่งอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เสริมตัวได้น่ากลัวกว่า และ ทรู แบงค็อก ของ โค้ชแบน ก็มีความคงเส้นคงวาอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามบอลถ้วย 1 รายการที่ยังมีลุ้นอยู่ บีจี ก็ยังคงเป็นตัวเต็งอย่างแน่นอน BYSILVER_SHARK ภาพปก : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 1 : เพจ Thai Leagueภาพประกอบที่ 2 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 3 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 4 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 5 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 6 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 7 : เพจ BG Pathum Unitedภาพประกอบที่ 8 : เพจ BG Pathum United เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !