คาร์โล อันเชล็อตติ ปิดฉากการคุมทีมเรอัล มาดริดในฤดูกาลสุดท้ายด้วยสถิติและความทรงจำมากมาย ปี 2024/25 เป็นการเดินทางของกุนซือมากประสบการณ์ที่มาพร้อมความสำเร็จและความผูกพันกับแฟนบอล เมื่อจบฤดูกาล อันเชล็อตติยังคงนำทีมคว้าแชมป์ได้ แม้ไม่ใช่รายการใหญ่ที่สุดทุกรายการ แต่ความสำเร็จก่อนหน้านั้นตลอด 6 ปีในถิ่นเบร์นาเบวนับว่าล้นเหลือ ด้วยแชมป์ที่ 14 และ 15 ในสมัยคุมชุดขาว ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร นอกจากนี้ อันเชล็อตติยังได้กล่าวอำลาทีมด้วยถ้อยคำแห่งความรักต่อ "ครอบครัว" ราชันชุดขาวอย่างทรงพลัง เต็มไปด้วยความภูมิใจและซาบซึ้ง ส่งผลให้แฟนบอลมาดริดต่างสะเทือนใจกับข่าวอำลาและร่วมกันส่งท้ายโค้ชในดวงใจอย่างอบอุ่น ผลงานโดดเด่นในทุกรายการ ฤดูกาลนี้แม้เรอัลจะไม่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ใหญ่ในสเปน แต่ทีมก็ยังได้ประวัติศาสตร์เพิ่มในแผงโทรฟี่ของสโมสร โดยเริ่มต้นฤดูกาลได้แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 6 ของสโมสร หลังเอาชนะอตาลันตา 2-0 และยังคว้าแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ รายการใหม่หลังพิชิตปาชูก้า 3-0 ชัยชนะทั้งสองรายการนี้นับเป็นโทรฟี่ที่ 14 และ 15 ใต้บังเหียนอันเชล็อตติ ทำให้เขาทุบสถิติกลายเป็นโค้ชที่คว้าแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม (แซงมิเกล มูญอซ) “ถ้วยใบใหญ่” สองรายการนี้จึงกลายเป็นผลงานสำคัญที่เป็นมรดกของอันเชล็อตติในการรับมือยุคใหม่ของทีม ขณะเดียวกันในรายการภายในประเทศ เรอัลประสบทั้งความสำเร็จและความผิดหวัง โดยจบลา ลีกา สเปนที่อันดับ 2 และเป็น รองแชมป์โกปา เดล เรย์ (แพ้บาร์เซโลนา 2-3 ในรอบชิง) รวมถึงรองแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ (แพ้บาร์ซา 2-5) ซึ่งอาจเป็นผลงานที่แฟนมาดริดคาดหวังให้ดีกว่านี้ ทว่าสถานะทีมเต็ง ทำให้ทุกแมตช์อยู่ในสายตาทั้งลาลีกาและแชมเปียนส์ลีก ตลอดฤดูกาลราชันชุดขาวยังสม่ำเสมอเข้าถึงรอบลึกในทุกถ้วย (ถ้วยยุโรปรอบ 8 ทีมสุดท้าย) แม้จะจบฤดูกาลโดยไม่มีแชมป์ลีกก็ตาม แต่ผลงานโดยรวมที่มีการเข้าชิงหลายรายการก็สะท้อนความคงเส้นคงวาของทีมชุดนี้ได้ชัดเจน บริหารทีมและพัฒนานักเตะดาวรุ่ง อันเชล็อตติโดดเด่นในการจัดการทีมที่มีขุมกำลังดาวดัง การบริหารผู้เล่นหลักและให้โอกาสดาวรุ่งผสมผสานกันไปอย่างรอบคอบ เขาประกาศไว้ชัดเจนตั้งแต่ปรีซีซั่นว่าขุมกำลังนี้ครบถ้วนแล้ว ไม่มีความจำเป็นซื้อเพิ่ม (“ทีมพร้อมสมบูรณ์แล้ว ไม่มีใครย้ายออก เพราะทุกคนอยากอยู่”) จึงเน้นใช้ผู้เล่นเดิมเป็นหลัก ผสมกับการปั้นดาวรุ่งในทีมเยาวชน โดยได้กล่าวว่า “เรารู้สึกดี และประเมินดาวรุ่งในอะคาเดมีของเราเสมอ ตอนนี้เป็นเวลาทองของพวกเขา” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเปิดโอกาสให้นักเตะรุ่นใหม่ฝึกซ้อมและเรียนรู้ เมื่อฤดูกาลดำเนินไป อันเช่ยังคงรักษาหลักการใช้ขุมกำลังหลักอย่าง Vinícius, Rodrygo, จูด เบลลิงแฮม,คีเลียน เอ็มบัปเป้ อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เล่นที่พักแข้งหรือช่วงผลัดกันลงสนาม เราพบว่าเขาใช้ผู้เล่นสำรองเช่น ฟราน การ์เซีย อย่างคุ้มค่า และสำรองอย่าง ลูกัส บาซเกวซ,บราอีม ดิอาซ ช่วยสร้างความหลากหลายในเกม นอกจากนี้ อันเชล็อตติยังปฏิบัติต่อดาวรุ่งอย่าง อาร์ด้า กูเลอร์ และ เอ็นดริก อย่างเมตตาและใจเย็น แม้ทั้งคู่จะได้เวลาลงสนามน้อย แต่เขากล่าวปลอบและให้กำลังใจว่าเป็น “กระบวนการพัฒนา” ธรรมดา เช่น ที่เขายกตัวอย่างผู้เล่นเก่าอย่าง โรดริโก้, บัลเบร์เด้, วินิซิอุส จูเนียร์ ที่เคยลุยช่วงวัยเด็กแบบเดียวกัน ทั้งยังเน้นย้ำว่าเขาต้องการผู้เล่นที่ “โกรธ” เมื่อไม่ได้ลง เล่นและทำงานหนักเสมอ ซึ่งสะท้อนว่าการบริหารของเขาเน้นย้ำความมุ่งมั่นในกลุ่มดาวรุ่งแต่ไม่เร่งรีบปั้น สไตล์การคุมทีมของอันเชล็อตติ อันเชล็อตติเป็นผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจเย็นและยืดหยุ่นทางแท็คติค ตลอดปีสุดท้ายเขาสร้างทีมที่เดินเครื่องด้วยเกมบุกอย่างเต็มพลัง โดยใช้ดาวยิงชุดใหญ่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้, วินิซิอุส, โจเอิง, เบลลิงแฮม คอยระเบิดฟอร์ม เดินเกมในระบบ 4-3-3 เป็นแกนกลาง บ้างก็ปรับเป็น 4-4-2 เพื่อให้สอดรับกับบุคลากร เช่น การใช้ อาร์ด้า กูเลอร์ เล่นริมเส้นในบางเกม ด้านวิเคราะห์การเล่นพบว่า “อันเชล็อตติมีความสามารถปรับแนวทางได้หลายรูปแบบ เพื่อเข้าถึงเกมรุกที่หลากหลาย แม้ว่าการจากไปของ โทนี่ โครส จะสร้างช่องโหว่ในเกมรุก แต่เขาก็พยายามกระจายบทบาทในแดนกลาง เพิ่มความพลิกแพลงให้ทีม ในการแข่งขันแบบเน้นผล อันเช่ก็ไม่ลังเลจัดความแน่นอนของระบบรับให้ทีม เช่น หลังเกมชนะเกตาเฟ่ เขาย้ำว่าทีมต้องเน้น “ความเข้มแข็งที่ด้านหลัง” แต่ก็ยอมรับว่าในครึ่งหลังทีม “ขาดประสิทธิภาพในแนวรุกเล็กน้อย” ที่แสดงถึงนิสัยปราดเปรียว ยินยอมรับข้อบกพร่องและมุ่งแก้ไข สถานการณ์นี้บ่งบอกว่าแม้เกมรุกอาจฝืดบ้าง เขาก็ยังมั่นในประสิทธิภาพรวมของทีม นอกจากนี้ อันเชล็อตติมีแนวทางสร้างเสถียรภาพของทีมสูง โดยทั่วไปจึงเห็นได้ว่าแนวทางของอันเช่คือการผสมผสานรูปแบบบอลครองบอลยาวกับการโจมตีจากปีก ทำให้ทีมชุดนี้มีเกมรุกอันตรายที่สุดชุดหนึ่งของยุโรป แม้บางครั้งอาจแลกมาด้วยเกมแดนกลางที่อาจเสียการคุมเกมบ้าง แฟนบอลกับความผูกพันครั้งสุดท้าย แฟนบอลเรอัล มาดริดมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ “ดอน คาร์โล” ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา และช่วงอำลาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ความรักในตัวโค้ชมีมากมาย โดยในวันสุดท้าย ณ เบร์นาเบว บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาลัย ผู้คนทั้งสนามร่วมร้องเพลง “ฮาลา มาดริด” ส่งท้าย ทั้งสองตำนาน (โมดริช-อันเช่) กล่าวอำลาแฟนๆ ต่อหน้าเต็มความจุสนามอย่างเป็นทางการ ด้านอันเชล็อตติเองได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านถ้อยคำที่โดนใจแฟนคลับ เช่น “ผมรู้สึกภูมิใจและมีความสุขที่ได้เป็นโค้ชของสโมสรแห่งนี้… ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ ผมไม่สามารถลืมทุกๆ วันที่ได้อยู่ที่นี่ได้” พร้อมสรุปด้วยคำว่า “ฮาลา มาดริด, ผมรักแฟนๆ ทุกคน” ซึ่งสร้างความซาบซึ้งแก่ผู้ชมอย่างมาก (ลูก้า โมดริชยังกล่าวปลอบแฟนๆ ว่า “อย่าร้องไห้เพราะมันจบ, ให้ยิ้มเพราะมันเคยเกิดขึ้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยชนะคือความรักของพวกคุณ”) ยิ่งกว่านั้น อันเชล็อตติได้โพสต์อำลาแฟนบอลบนโซเชียลมีเดียด้วยสำนวนกินใจว่า “วันนี้เราจากกันอีกครั้ง…แต่สายสัมพันธ์ระหว่างผมกับเรอัล มาดริดจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เจอกันใหม่เร็วๆ นี้ ชาวมาดริด” นับเป็นการสะท้อนว่าแม้ทางใหม่จะรออยู่ เขาก็ยังยึดถือแฟนบอลเป็นหนึ่งในครอบครัวเสมอ การกล่าวอำลาของเขาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การบอกลา แต่เป็นการสานต่อสายใยจากผลงานระดับตำนานของเขาที่แฟนๆ ได้ร่วมสร้างมาโดยตลอด ซึ่งแฟนมาดริดหลายคนต่างก็หวนนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นด้วยความปลาบปลื้มและตั้งตารอคอยความสำเร็จในอนาคตที่จะมาถึงจากทายาทคนต่อไป รูปหน้าปก : รูปที่1 รูปภาพที่1 : จากเฟสบุ๊ค Real Madrid C.F. รูปภาพที่2 : จากเฟสบุ๊ค Real Madrid C.F. รูปภาพที่3 : จากเฟสบุ๊ค Real Madrid C.F. รูปภาพที่4 : จากเฟสบุ๊ค Real Madrid C.F. ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !