ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับเกมแรกของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่ต้องลงเล่นหลังจากที่มีประกาศช็อคโลก เมื่อเยอร์เกน คล็อปป์ประกาศอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ โดยเป็นเกมเอฟเอ คัพที่เปิดบ้านแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช ซิตี ซึ่งสุดท้ายแล้วเหล่าพลพรรคหงส์แดงก็ไม่ทำให้แฟนๆ และบอสผิดหวังด้วยการถล่มผู้มาเยือน 5-2 ทะลุเข้าสู่รอบ 16 ทีมต่อไป โดยจะรอพบผู้ชนะระหว่างวัตฟอร์ดหรือเซาแธมป์ตันสำหรับเกมนี้ผมก็อยากจะ 4 ประเด็นที่เกิดขึ้นตลอด 90 นาทีรวมไปถึงก่อนการแข่งขันเกมนี้ด้วย จะมีประเด็นอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับเกมแรกหลังประกาศอำลาของคล็อปป์https://twitter.com/EmiratesFACup/status/1751615240314171734/video/1ผมเชื่อว่าเกมนี้เป็นเกมที่ทั่วโลกจะจับตาดูอย่างแน่นอน เพราะเกมนี้คือเกมแรกหลังจากที่มีการประกาศช็อคโลกที่เยอร์เกน คล็อปป์จะคุมทีมถึงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ รวมถึงตัวผมด้วยที่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม อยากเห็นปฏิกิริยาของแฟนๆ ในแอนฟิลด์ว่าจะรีแอคชันการเหตุการณ์ช็อคๆ แบบนี้อย่างไร สุดท้ายแล้ว "แอนฟิลด์" ก็ยังเป็นแอนฟิลด์ครับ ยังทำให้ขนลุกได้เสมอ แถมครั้งนี้ยิ่งขนลุกมากขึ้นไปอีกเมื่อแฟนๆ ร่วมใจกันร้องเพลง "You'll Never Walk Alone" เพลงประจำสโมสรกระหึ่มแอนฟิลด์ พร้อมทั้งกับมีป้าย, แบนเนอร์ต่างๆ ที่เขียนสรรเสริญและขอบคุณคล็อปป์ โดยไฮไลท์อยู่ที่การร้องเพลง You'll Never Walk Alone นั่นแหละครับ เพราะมีการจับปฏิกิริยาของคล็อปป์ตอนที่แฟนบอลร้องให้ ซึ่งภาพที่เห็นสะเทือนอารมณ์เหมือนกัน (สำหรับผม) เพราะภาพที่เห็นคือคล็อปป์นั่งฟังและเหมือนมีอาการซึมนิดๆ (อาจจะหมดพลังจริงๆ แบบในคลิปสัมภาษณ์) แล้วก็ก้มหน้าลงไปและสุดท้ายคล็อปป์ก็ให้สัมภาษณ์หลังเกมถึงสิ่งที่แฟนบอลทำให้ในเกมแรกหลังจากที่เขาประกาศวางมือ"ผมรับรู้ถึงข้อความที่แฟนบอลส่งถึงผม ผมไม่ใช่ท่อนไม้ที่จะไม่รู้สึกอะไร" นั่นแหละครับ ปฏิกิริยาของคล็อปป์เมื่อเห็นสิ่งที่แฟนๆ ส่งให้เขา ผมก็ยังแอบหวังเหมือนกันที่บอสจะเปลี่ยนใจอยู่กับทีมต่อ แต่สุดท้ายแล้วถ้าบอสยังเลือกเหมือนเดิมก็ยอมรับและเคารพการตัดสินของบอสเช่นกันครับส่วนกับนักเตะก็ถือว่ามีความเป็นมืออาชีพกันสูงมากๆ เพราะพวกเขายังคงเล่นได้แบบเต็มร้อย เต็มที่ เผลอๆ จะเกินร้อยด้วยซ้ำ ชื่นชมเหล่านักเตะมากๆ ครับวันแจ้งเกิดดาวรุ่งในเกมนี้คล็อปป์เลือกที่จะโรเตชัน โดยไฮไลท์เกมนี้อีกอย่างก็คือการได้เห็นเหล่าดาวรุ่งจากอคาเดมีลงเล่นในเกมนี้พร้อมกัน 3 คน ไล่ตั้งแต่คอนอร์ แบรดลีย์, จาเรลล์ ควอนซาห์และเจมส์ แมคคอนเนลล์ นอกจากเด็กทั้ง 3 คนนี้ก็ยังมีทั้งเคอร์ติส โจนส์ที่ลงเป็นตัวจริงและเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่หายเจ็บกลับมาลงเล่นในฐานะตัวสำรอง เท่ากับว่าในเกมนี้มีนักเตะที่เป็นเด็กจากอคาเดมีหรือลูกหม้อของทีมขึ้นมาเล่นถึง 5 คนสำหรับควอนซาห์ผมคงขอไม่พูดถึงก็แล้วกันนะครับ เพราะผมเชื่อว่าทุกคนได้เห็นฟอร์มของน้องมาซักพักแล้ว น้องเล่นได้ดีจนเข้าไปนั่งในใจแฟนๆ แล้ว ที่อยากจะพูดถึงก็คือแมคคอนเนลล์และแบรดลีย์มากกว่าครับ โดยมาเริ่มที่แมคคอนเนลล์กันเลยดีกว่าครับเกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่ 4 แล้วที่แมคคอนเนลล์ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลงเล่นในพรีเมียร์เกมที่พบกับเบรนท์ฟอร์ด, เกมยูโรปา ลีกที่พบกับตูลูสและยูเนียน เอสจี โดยทั้ง 3 เกมเขานั้นได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรองทั้งหมด แต่ในเกมเอฟเอ คัพที่พบกับนอริช แมคคอนเนลล์ได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงเป็นเกมแรกเลย สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ทำให้คล็อปป์ผิดหวังเลย เพราะประตูแรกที่เคอร์ติส โจนส์ยิงขึ้นนำ 1-0 ให้กับทีมนั้นก็มาจากการแอสซิสต์ของแมคคอนเนลล์นี่แหละครับ แถมภาพรวมทั้งหมดก็ดูดีเลยด้วยตำแหน่งที่เขาลงเล่นคือกองกลางเบอร์ 6 เขาช่วยได้ทั้งเกมรับและเกมรุก และนี่คือสถิติหลังจบเกมของเจ้าหนูแมคคอนเนลล์ครับสัมผัสบอล 87 ครั้งผ่านบอล 81 ครั้ง (แม่นยำ 88.9%)ชนะการแทคเกิล 2 ครั้งชนะการดวลกลางอากาศ 1 ครั้งคีย์พาส 1 ครั้งแอสซิสต์ 1 ครั้งส่วนเจ้าหนูแบรดลีย์คือเจ้าของหัวข้อต่อไปครับแบรดลีย์คว้า Man of The Matchผมเชื่อว่าเกมนี้ผลการโหวตให้กับนักเตะยอดเยี่ยมประจำแมตช์นี้ ผลคงเป็นเอกฉันท์แน่นอน เพราะน้องเขาโดดเด่นซะเหลือเกิน สำหรับ "คอนอร์ แบรดลีย์" ที่ในเกมนี้โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดจริงๆ เขาเล่นรับได้สนุก เกมรุกก็เพลิดเพลิน จนได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วแบรดลีย์ก็ได้รับเสียงชื่นชมมาตลอดอยู่แล้วนะในช่วงที่ต้องลงเล่นแทนเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่มีอาการบาดเจ็บ เพราะมันทำให้แฟนๆ หายห่วงในเรื่องของเกมฝั่งขวาเลยแบรดลีย์นั้นถึงจะเล่นฝั่งขวาแต่ผม (และแฟนบอลหลายคน) กลับนึกถึงแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันซะอย่างนั้น เพราะแบรดลีย์เล่นแบบวิ่งขึ้นวิ่งลงไม่มีหมดแบบร็อบโบ้ เหมือนแม้กระทั่งท่าวิ่งของเขา ผมก็คิดว่าเหมือนกับร็อบโบ้มากๆ ลองไปสังเกตกันดูได้นะครับกลับมาที่ผลงานในเกมนี้ครับ ผมว่าการคว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ได้มันก็ถือว่าเป็นการการันตีผลงานของแบรดลีย์แล้วเช่นกันนะครับว่าโดดเด่นแค่ไหน อย่างที่บอกไปครับว่าเขาเล่นได้ทั้งรับและรุก สนุกไปพร้อมๆ กัน เกมรับหายห่วงได้เลย แถมวิ่งสู้ฟัดสุดๆ เกมรุกก็มีส่วนร่วมตามหน้าที่ของผู้เล่นตำแหน่งแบ็คจริงๆ แถมในเกมนี้ก็เป็นเกมที่เทรนท์ได้กลับมาลงเล่นด้วย แต่ที่น่าสนใจก็คือคล็อปป์ไม่ได้เปลี่ยนแบรดลีย์ออก คล็อปป์ให้แบรดลีย์เล่นจนจบเกมและส่งเทรนท์เล่นในตำแหน่งกองกลางไปเลยซึ่งทำให้เห็นว่าคล็อปป์ไว้ใจในตัวของแบรดลีย์มากๆ ถึงขั้นแบ็คขวาตัวจริงกลับมาแล้วก็ยังให้โอกาสแบรดลีย์อยู่ (ส่วนนึงก็เป็นผลมาจากการเล่นได้แบบไฮบริดของเทรนท์เองด้วย) ผลงานเด่นขนาดนี้ เราไปดูสถิติของแบรดลีย์ในเกมนี้กันดีกว่าครับ ไปดูว่าทำไมเขาถึงได้รางวัล MOTM ไปสัมผัสบอล 113 ครั้งผ่านบอล 84 ครั้ง (แม่นยำ 90.5%)ชนะการแทคเกิล 5 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ชนะการดวลกลางอากาศ 1 ครั้งคีย์พาส 3 ครั้งแอสซิสต์ 2 ครั้ง1 MOTMการกลับมาของผู้เล่นตัวหลักเกมนี้นอกจากจะได้เห็นฟอร์มของผู้เล่นดาวรุ่งจากอคาเดมีแล้ว อีกอย่างที่ได้เห็นก็คือการกลับมาของผู้เล่นตัวหลักที่บาดเจ็บไป ไม่ว่าจะเป็นเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนล์, โดมินิก โซโบซไลและที่รอมาหลายเดือนอย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ในเกมทีมชาติเมื่อเดือนตุลาคม สุดท้ายแล้วก็คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ รวมไปถึงมีจุดที่น่าสนใจอีกด้วยมาเริ่มที่จุดที่น่าสนใจก็คือการกลับมาของเทรนท์ อย่างที่บอกไปในข้อที่แล้วของน้องแบรดลีย์ที่การกลับมาของเทรนท์ครั้งนี้ เพราะว่าเทรนท์ได้ลงเล่นในเกมนี้ในฐานะตัวสำรองซึ่งเทรนท์ตำแหน่งที่เทรนท์เล่นคือกองกลางไปเลย กองกลางที่เป็นกองกลางจริงๆ ไม่ได้เป็นกองกลางหรือแบ็คขวาแบบไฮบริด นั่นเท่ากับว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นการเทรดตำแหน่งก็ได้ จากแบ็คขวาอาจจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นกองกลางแบบสมใจเทรนท์หรือแบบที่แกเร็ธ เซาธ์เกตจับเล่นในทีมชาติอังกฤษแล้วให้แบรดลีย์ยึดตำแหน่งแบ็คขวาไปเลยส่วนโซโบก็ได้แสงสปอตไลท์เหมือนกัน เพราะลงมาแล้วได้แอสซิสต์เลยจากการเปิดเตะมุมให้กับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กที่ลงมาเล่นในฐานะตัวสำรองเช่นกัน เป็นการคัมแบคที่ยอดเยี่ยมมากๆส่วนคนที่รอคอยอย่างโรเบิร์ตสัน คือสิ่งที่แฟนหงส์แดงรอมานานมากๆ แถมในที่สุดโจ โกเมซก็ได้พักบ้างเสียที เพราะรับจบทุกตำแหน่งจริงๆ สำหรับฟอร์มเกมนี้ของร็อบโบ้ก็ถือว่าลงมาเป็นการเคาะสนิมหลังจากที่ร้างสนามไปถึง 3 เดือน แต่ภาพที่เห็นคือร็อบโบ้คนเดิมที่วิ่งขึ้นวิ่งลง ช่วยเกมรับและเกมรุกได้สุดทางเหมือนเดิม และนี่คือสถิติของร็อบโบ้หลังจากเกมแรกในรอบ 3 เดือนลงเล่น 36 นาทีสัมผัสบอล 36 ครั้งผ่านบอล 29 ครั้ง (แม่นยำ 93.1%)ชนะการแทคเกิล 1 ครั้งคีย์พาส 3 ครั้งสถิติหลังเกมที่น่าสนใจเคอร์ติส โจนส์ทำประตูในฤดูกาลนี้ไปแล้ว 5 ประตู (รวมทุกการแข่งขัน) ทำให้เป็นฤดูกาลที่เขาทำประตูได้มากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2020/2021 ที่ทำได้ 4 ประตูดาร์วิน นูนเญซหลังจากที่ยิงประตูในเกมนี้ ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกของ 5 ลีกใหญ่ในยุโรปที่ทำสถิติยิงโดยไม่มีจุดโทษเลย 10 ประตูและแอสซิสต์ 10 ครั้งในการลงเล่นรวมทุกรายการขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากTransfermarktWhoscoredOfficial X ของเอฟเอ คัพOfficial Facebook ของเอฟเอ คัพและลิเวอร์พูลภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3 และภาพประกอบ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !