เชื่อว่าแฟนกีฬาหลายคนคงมีคำถามหลายข้อที่ยังไม่เคยได้คำตอบในการรับชมกีฬาอันดับหนึ่งของมวลมนุษยชาติอย่างฟุตบอล โดยเฉพาะเรื่องภายในที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชน เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะคณะทำงานของแต่ละสโมสร แน่นอนเราเองก็ไม่ทราบถึงขนาดว่าในสัญญาของนักเตะระบุอะไรไว้ หรือในห้องแต่งตัวผู้จัดการทีมเขาคุยอะไรกับนักเตะบ้าง แต่ที่เราทราบและกำลังจะนำเสนอแก่ท่านผู้อ่านก็คือความลับของชุดแข่งนักฟุตบอล ถ้าคุณเคยสงสัยว่าชุดแข่งที่ใช้แล้วของดาวเตะอย่างเมสซี่ โรนัลโด้ เขาซักหรือไม่? ใช้แล้วทิ้งเลยหรือเปล่า? กับคำถามอื่นๆ เกี่ยวกับชุดแข่งของนักฟุตบอลเรามีคำตอบมาฝากกันดังนี้ นำกลับมาใช้ใหม่ ต้องเสียใจด้วยถึงแม้เขาจะเป็นนักเตะเบอร์หนึ่งของโลกหรือนักเตะบัลลงดอร์ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ชุดแข่งของนักเตะแต่ละคนจะถูกทีมงานของสโมสรส่งซักแล้วนำกลับมาใช้ใหม่เหมือนเราๆ นี่แหละ เหตุผลก็ไม่ใช่ว่าสโมสรหรือสปอนเซอร์ชุดแข่งของทีมจะงก แต่เป็นเพราะหากสนับสนุนให้นักเตะใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ ภาพลักษณ์ของสโมสรจะดูแย่ และแฟนบอลจะรู้สึกว่าไม่แฟร์เพราะพวกเขาต้องจ่ายเงินแสนแพงเพื่อซื้อชุดแข่งของทีมในขณะที่นักเตะใช้กันอย่างไม่เห็นค่านั่นเอง แลกเสื้อ พอทราบว่าชุดแข่งที่ใช้แล้วจะถูกหมุนเวียนนำมาใช้ซ้ำหลายคนคงมีคำถามต่อว่า แล้วที่เห็นนักเตะแลกเสื้อกันล่ะ? การแลกเสื้อกันของนักเตะจะมีลิมิตอยู่ว่าต้องไม่เกินกี่ตัวในแต่ละฤดูกาล หากเกินจากจำนวนโควต้าค่าเสื้อตัวนั้นจะถูกหักลบจากรายได้ของนักเตะ แต่ทีมเล็กๆ ไม่มีโควต้าลักษณะนี้ให้นักเตะจึงจะถูกหักเงินอย่างแน่นอนหากนำเสื้อของตัวเองไปแลกกับคู่แข่ง ดังนั้นนักเตะจากสโมสรเล็กๆ ในลีกระดับรองจึงไม่นิยมแลกเสื้อกันเอง เว้นแต่จะได้เตะบอลถ้วยเจอกับทีมใหญ่ๆ ได้แลกเสื้อกับดาวดังเพราะถึงจะถูกหักตังค์ก็คุ้มเกินคุ้ม แจกเสื้อ การแจกเสื้อให้แฟนบอลก็อยู่ในโควต้าเดียวกันกับกรณีข้างต้น ถ้าเกินก็ต้องถูกหักเงินไปตามเรื่องตามราว แต่สำหรับดาวดังระดับแม่เหล็กอย่าง เมสซี่, โรนัลโด้, แฮร์รี่ เคน หรือ ซน เฮือง มิน ฯลฯ โควต้าจะมีให้อย่างไม่จำกัดเพราะนักเตะเหล่านี้มีอิทธิพลกับแฟนบอลและสื่อมากๆ ถ้าแสดงออกถึงความเป็นมิตรแสดงความเอื้อเฟื้อต่อแฟนบอลโดยเฉพาะเด็กๆ ผู้สูงอายุ และผู้พิการภาพลักษณ์ของสโมสรกับสปอนเซอร์ในหน้าสื่อก็ดีงามตามไปด้วย จึงถือเป็นกรณีพิเศษเอาไปแจกกันแบบรัวๆได้เลย ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงปลดล็อกคลายความสงสัยเกี่ยวกับชุดแข่งของนักฟุตบอลกันแล้ว ซึ่งลำพังแค่เรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างชุดแข่งเราก็มีสารพัดเรื่องราวให้พูดคุยกันถึงเพียงนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกีฬาชนิดนี้จึงเป็นกีฬาอันดับหนึ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ น่าหลงไหล และมีเรื่องราวให้พูดคุยกันได้อย่างไม่รู้จบนั่นเอง