โยคะเป็นกีฬาที่ดีสำหรับร่างกายและจิตใจ รู้หรือไม่คะ ว่าเด็ก ๆ ก็สามารถเล่นโยคะได้เช่นกัน โยคะนั้นเหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยที่เวลาเล่นควรจะมีผู้ปกครองดูแลใกล้ชิดค่ะ เล่นไปด้วยกันกับลูกนอกจากจะได้สุขภาพแล้ว ยังได้สัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วยนะคะ การเล่นโยคะจะเริ่มจากการฝึกหายใจ หลักการของโยคะ คือ "หายใจเข้า - ท้องพอง หายใจออก - ท้องแฟ่บ" อันนี้เป็นหลักการพื้นฐานสำหรับทุกคนเลยนะคะ ควรจะฝึกการหายใจควบคู่กันไปด้วยพื่อประโยชน์สูงสุด เอาหล่ะค่ะเรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าเด็ก ๆ เล่นโยคะแล้วจะดียังไง ประโยชน์ของโยคะสำหรับเด็ก มีดังนี้ค่ะ ช่วยให้เด็กมีสมาธิ - เนื่องจากโยคะ ต้องกำหนดลมหายใจ และร่างกายเพื่อให้อยู่นิ่ง ๆ ในแต่ละท่าได้ จึงเป็นการเพิ่มสมาธิให้แก่เด็ก ๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย - โยคะเป็นกีฬาที่เคลื่อนไหวช้า ๆ และเน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ จึงช่วยเรื่องการผ่อนคลายทั้งร่างกายและอารมณ์ ช่วยให้สุขภาพดี - การเล่นโยคะถือเป็นการออกกำลังกายที่เชื่องช้า แต่เหนื่อยมาก ในขณะเดียวกันท่าทางต่าง ๆ ของโยคะ มีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้น หรือกดจุดต่าง ๆ ภายในร่างกายที่การออกกำลังกายอย่างอื่นอาจเข้าไปไม่ถึง ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดี กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ มีความยืดหยุ่น และแข็งแรง ช่วยสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว - เนื่องจากโยคะในเด็ก จะต้องมีผู้ปกครองคอยเล่นเป็นเพื่อนด้วยเพื่อความปลอดภัย ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูก สร้างความใกล้ชิดผูกพัน สร้างความภูมิใจให้แก่เด็ก - เมื่อเด็ก ๆ สามารถทำท่าทางต่าง ๆ ได้เหมือนคุณพ่อคุณแม่ เด็กจะรู้สึกภูมิใจในตนเอง ช่วยให้เด็กรู้จักการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างปลอดภัย - เพราะแต่ละท่าของโยคะ ทำให้เรารู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แบบไหนที่โอเค แบบไหนที่ร่างกายจะเจ็บ ผู้เล่นโยคะสามารถรับรู้ในส่วนนั้น วันนี้เราจะมายกตัวอย่าง 6 ท่าโยคะง่าย ๆ สำหรับเด็กให้ลองไปฝึกกันค่ะ โดยเราจะเริ่มจากท่านั่ง ไล่ไปจนถึงท่ายืนนะคะ ท่าที่ 1 ท่าดอกบัว ให้นั่งขัดสมาธิ แล้วเอามือทั้งสองข้างวางไว้บนหัวเข่าทั้ง 2 โดยให้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ทำจีบหงายอยู่บนหัวเข่า หลับตา แล้วหายใจเข้า - ออก ช้า ๆ (หายใจเข้า - ท้องพอง หายใจออก - ท้องแฟ่บ) ทำซ้ำ 3-5 รอบ ท่าที่ 2 ท่ายืดเหยีดหลัง นั่งยืดขาไปข้างหน้าตรง ๆ เอามือประสานไว้ด้านหน้า หายใจเข้า เอามือยืดขึ้นตรงเหนือศรีษะ หายใจออก ก้มหน้าให้แนบกับขาให้มากที่สุด ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง ท่าที่ 3 ท่างู นอนคว่ำเอามือวางไว้ระดับหัวไหล่ หายใจเข้า เอายืดแขนตรง ยกศรีษะและท่อนบนขึ้น หายใจออก เอามือลง ทำซ้ำ 3-5 รอบ ท่าที่ 4 ท่าสุนัข นอนคว่ำเอามือวางกางไว้ระดับหัวไหล่ ปลายขาแยกจากกันเล็กน้อย เริ่มด้วยการยืดแขนตรงและยกศรีษะขึ้นเหมือนท่างู หายใจเข้า หายใจออกยกลำตัวขึ้น กดศรีษะลงไปให้สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่มือตึง ขาตึง แล้วกลับมาท่าตั้งต้น ทำซ้ำ 3-5 รอบ ท่าที่ 5 ท่าต้นตาลเอน ยืนขึ้นกางขาออกเล็กน้อย ยืดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นตรงเหนือศรีษะ เอนตัวไปข้างขวา กลับมาตรงกลาง จากนั้นเอนตัวไปด้านซ้าย กลับมาตรงกลาง ทำซ้ำ 3 รอบ ท่าที่ 6 ท่าต้นไม้ ยืนตรง ยกขาขวาแตะหัวเข่า หายใจเข้า ยืดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศรีษะ หงายหน้าขึ้นมองเพดาน หายใจออก เอามือลง เอาขาลง กลับมาท่ายืนตรง ทำซ้ำ โดยสลับขาที่ยกขึ้น ทำทั้งหมดข้างละ 3 รอบ ท่าที่ 7 ท่าศพ นอนหงาย ให้แขนทั้ง 2 ข้างวางข้างลำตัว หายใจเข้าออกยาว ๆ ผ่อนคลาย 5-10 นาที ถือเป็นท่าจบของการเล่นโยคะทุกครั้ง ส่วนตัวเราเคยเรียนโยคะตั้งแต่สมัยยังไม่แต่งงาน รู้สึกว่ามันสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้จริง ที่สำคัญช่วงที่ยังเล่นอย่างสม่ำเสมอ นำ้หนักเราไม่ขึ้นเลยนะ ปัจจุบันพอเอามาสอนลูกก็ยังรู้สึกสนุกและจำได้อยู่ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับลูกแบบเห็นได้เชัดลย คือ เรื่องสมาธิ และเรื่องช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่ได้เรียนบัลเลต์เลย แอบกังวลเหมือนกันว่ากลับไปอีกครั้งลูกจะตัวแข็งหรือเปล่า ก็เลยนึกถึงการเล่นโยคะขึ้นมา เอามาสอนลูกดีกว่า น่าจะเป็นประโยชน์ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านอื่นด้วยนะคะ ภาพถ่าย : ใบไม้ไหว