ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022/2023 หลังจากผ่านการกรำศึกกันมาแล้วครึ่งทาง ในตอนนี้ไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ภายใต้กุนซืออย่าง มิเกล อาร์เตต้า กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ และยังคงอยู่จ่าฝูงของตารางคะแนนอย่างเหนียวแน่นอีกทั้ง ด้วยฟอร์มของทีมหลังจาก 19 นัดที่ผ่านมา ชนะ 16 นัด เสมอ 2 นัด แพ้เพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น เก็บไปได้ทั้งหมด 50 คะแนน และยังทำประตูได้ถึง 45 ประตู เสียไป 19 ประตู เมื่อเทียบกับฟอร์มเมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้น ทำให้แฟนไอ้ปืนใหญ่และแฟนบอลทีมอื่นพากันอิจฉาอาร์เซนอลที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ยังไม่มีทีมไหนที่จะหยุดความร้อนแรงและความสม่ำเสมอของพวกเขาได้เลย ซึ่งจากสถิติการเจอกับทีม Top 6 (ยกเว้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะโคจรไปฟาดแข้งกันในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์) ในตอนนี้ที่แข่งไปแล้ว พวกเขาเอาชนะไปได้ถึง 5 นัด และแพ้ไปเพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น หลังจากนี้นัดที่เหลือต้องมาดูพวกเขาดีกว่าว่าจะสามารถรักษาสถิติเอาชนะได้เพิ่มอีกหรือไม่ ถ้าไม่นับเกมที่สะดุดเสมอ Southampton และ Newcastle เรียกได้ว่า นัดที่เหลือนั้น พวกเขาไม่สะดุดเลยแม้แต่นิดเดียว แม้นัดไหนเป็นงานช้างหรืองานยากสำหรับไอ้ปืนใหญ่ นักเตะและทีมสตาฟโค้ช รวมไปถึงอาร์เตต้า ก็สามารถฝ่าความยากนั้น คว้าชัยชนะมาได้ตลอด ปัจจัยที่ทำให้อาร์เซนอลนั้นพุ่งทะยานขึ้นสูงแบบนี้ มาจากอะไรได้บ้าง นี่คือทัศนคติจากผมนะครับปัจจัยที่ 1: การเสริมทัพที่มีทิศทางชัดเจนหลังจากช่วงที่ผ่านมา การเสริมทัพของอาร์เซนอลนั้นมักจะถูกค่อนขอดจากทีมอื่นและแฟนบอลว่า ไม่ค่อยทุ่ม ไม่ค่อยจริงจังในการซื้อขายนักเตะ แต่หลังจากวิกฤตทีมในปี 2020/2021 ที่หลังจบฤดูกาลนั้น อาร์เซนอลไม่ได้ไปเล่นแม้กระทั่งยูฟ่า คอนเฟอเรนส์ ลีก ทางทีม จึงยอมทุ่มทุนสร้าง ด้วยการดึงนักเตะมาเสริมทัพในทีม หลากหลายคน โดยที่น่าสังเกตคือ อายุของนักเตะที่เสริมเข้ามาในทีมนั้น จะอยู่ในช่วง 20 ปีต้นๆ ซะส่วนใหญ่ จุดเปลี่ยนของทิศทางทีมคือ จาก 3 นัดแรกที่ทีมแพ้รวด และไม่สามารถยิงประตูได้เลย จนหล่นไปอยู่ท้ายตาราง ทำให้อาร์เตต้านั้น ตัดสินใจเปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงหลายตำแหน่งโดยการใช้นักเตะที่ซื้อในช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์ พยายามให้ลงตัวจริงสม่ำเสมอ เช่น อารอน แรมส์เดลล์ เบน ไวท์ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ และปรับแผนการเล่น รวมไปถึงแทคติคให้เข้าที่เข้าทาง โดยจุดเปลี่ยนของทิศทางทีมนั้น มาจากเกมที่เอาชนะ Spurs ในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้แฟนบอลและเหล่านักเตะในทีมได้อย่างมาก ทำให้มิเกล อาร์เตต้า ได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เขาถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงตั้งแต่ช่วงฤดูกาล 2020/20212. การจัดการบรรยากาศในห้องแต่งตัว และ การลงโทษทางวินัยกับนักเตะบรรยากาศภายในห้องแต่งตัว ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มิเกล อาร์เตต้า ได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศจากที่อึมครึมหรือเงียบสนิท เป็นห้องที่มีแต่การปลุกพลัง ปลุกใจให้กับทุกๆฝ่าย โดยเฉพาะใน All or Nothing Arsenal มีการเผยภาพช่วงหนึ่งที่อาร์เตต้า พาสจ๊วต แมคฟาร์เลนที่เป็นช่างภาพมากประสบการณ์และทำงานกับอาร์เซนอลมาตลอด 30 ปี มาพูดถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อทีมนี้ โดยคำพูดของเขา ก็เป็นตัวแทนของแฟนบอลคนหนึ่งที่อยากเห็นทีมได้ชัยชนะ ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอล จากทุกคนที่จับจ้องพวกเขาอยู่และพวกเขาก็ทำได้ ในวันที่พวกเขา เอาชนะ Spurs ไปได้ 3-1 เสียงเชียร์ บรรยากาศในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ และสะใจ ในช่วงวิกฤตศรัทธา และนัดนี้ คือสิ่งที่พวกเขาได้สร้างศรัทธาให้กับแฟนบอลขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้น แม้จะมีช่วงที่แพ้บ้าง เสมอบ้าง แต่พวกเขาก็เล่นได้อย่างสนุกสนานและดุดัน พร้อมที่จะเผชิญหน้าและสู้ต่อในนัดถัดๆไป อีกทั้งบทลงโทษกับนักเตะที่ไม่อยู๋ในระเบียบของทีม เช่น ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ที่มีปัญหาเรื่องของวินัย ทั้งการมาซ้อมสาย และทัศนคติที่ไม่ดีของเขา ซึ่งมันสร้างผลกระทบให้กับบรรยากาศของทีมในขณะนั้น รวมไปถึงจากสื่อ ที่มักจะเลือกถามคำถามเกี่ยวกับโอบาเมยอง ทำให้ อาร์เตต้าก็ลำบากใจที่จะต้องเลี่ยงการตอบคำถามดังกล่าวอาร์เตต้าเลยตัดสินใจประกาศอย่างชัดเจนว่า โอบาเมยองจะไม่มีชื่อติดทีมหลังจากนั้นอีกต่อไป และปลดเขาจากตำแหน่งกัปตันทีม จนมาถึงในวันที่ทั้งสโมสรและตัวนักเตะ ยินยอมพร้อมใจกันยกเลิกสัญญา และตัวโอบาเมยองก็ได้ย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่าสมใจอยาก อีกทั้งการเคลียร์ความชัดเจนของ อเล็กซองเด ลากาแซตต์ ที่เลือกที่จะไม่ต่อสัญญาเพิ่ม ทำให้ในช่วงตลาดนัดซัมเมอร์ที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่กับโอลิมปิค ลียงแบบฟรีๆ เห็นได้ชัดว่า อาร์เตต้า เริ่มแสดงออกถึงความชัดเจนในการจัดการปัญหาต่างๆให้มันกระจ่างและเรียบร้อย ไม่ให้มีปัญหาตามมาในภายหลังหรือสร้างรอยแผลระยะยาวภายในทีม 3. การทำงานที่ลงตัวระหว่าง เอดู และ อาร์เตต้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในการทำงานนั้น ถ้าไม่รู้ใจหรือเข้าขากันนั้น งานต่างๆอาจจะประสบความสำเร็จช้า หรือสะดุด แต่กับเอดู และอาร์เตต้า นั้น เรียกได้ว่า เข้าขากันเหมือนเล่นฟุตบอลด้วยกันมานาน เมื่อใดก็ตามที่อาร์เตต้าต้องการนักเตะตามสเปคของเขา เอดูและทีมงานก็จะคอยจัดหาข้อมูล ติดต่อ ดีลให้เหมาะสมกับราคาที่ควรจะเป็น เห็นได้ชัดว่าการซื้อขายนักเตะช่วงยุคหลังๆมา อาร์เซนอลนั้นจะได้นักเตะที่ช่วงอายุน้อย และเลือกที่จะไม่ทุ่มราคาสูงๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงให้ได้นักเตะที่มีคุณภาพ หรือ เกรดรองลงมา เพื่อปลุกปั้นหรือฝึกปรือให้มีฟอร์มที่ดีขึ้น ซึ่งราคานักเตะที่อาร์เซนอลจ่ายในช่วงที่มิเกล อาร์เตต้าเป็นผู้จัดการทีมนั้น จะไม่ค่อยเกิน 60 ล้านยูโรต่อคน โดยราคาที่จ่ายแพงสุดนั้นคือดีลของ เบน ไวท์ ในปี 2021/2022 ในราคา 58.5 ล้านยูโรซึ่ง เอดู และทีมงาน จะคอยปรึกษากับทีมงานต่างๆ รวมไปถึงสตาฟโค้ชและอาร์เตต้าว่าอยากให้เสริมตำแหน่งไหนอีกบ้าง กลายเป็นว่าการทำงานของพวกเขานั้นลื่นไหลอย่างมากและได้รับการสนับสนุนมากขึ้น โดยเฉพาะจาก จอร์ช โครเอนเก้ ลูกชายของ สแตน โครเอนเก้ ที่เป็นเจ้าของสโมสร ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายบริหารสโมสรและฝ่ายเทคนิคฟุตบอลเริ่มทำงานเข้าขากันมากขึ้น หลังจากช่วงหลังที่ครอบครัวโครเอนเก้มักถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักในการที่พวกเขาไม่ใส่ใจสโมสรแบบเจ้าของคนอื่นๆ ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์และความใส่ใจของ จอร์ช ที่ลงมาสอบถาม พูดคุยกับทีมงานและสตาฟโค้ชมากขึ้น ทำให้เขารับทราบมุมมองและความคิดเห็นต่างๆและนำมาปรับปรุงให้สโมสรไปในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากที่สโมสรไอ้ปืนใหญ่ กลับมาอยู่ในที่ในทางที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง4. ถึงจะแพ้ แต่ก็แพ้แบบน่าภูมิใจปกติแล้ว การพ่ายแพ้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมเท่าไหร่ แต่ในฤดูกาลนี้ นับเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีก พวกเขาแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงนัดเดียวเท่านั้นกลายเป็นว่า พวกเขาได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์ อดีตนักเตะ คอมเมนเตเตอร์ และแฟนบอล ว่าพวกเขานั้น ยังคงใจสู้ และสู้ต่อไป แม้จะถูกนำไปถึง 3 ลูกแล้วก็ตาม พวกเขาไม่ได้แสดงออกเลยว่ายอมรับความพ่ายแพ้ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความกระหายในชัยชนะ แพชชั่นระหว่างนักเตะด้วยกันเอง และการแสดงออกของพวกเขา ในการปลุกใจกันและกัน รวมไปถึงปลุกใจแฟนบอล ให้ส่งเสียงเชียร์พวกเขาอย่างเต็มที่ และนักเตะเหล่านี้ ก็ตอบสนองสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก ตั้งแต่พวกเขาแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาก็ไม่เคยแพ้ใครเลยแม้แต่ทีมเดียวในลีกยาวจนถึงทุกวันนี้ เกมไหนที่อึดอัด หรือยาก พวกเขาก็ผ่านพ้นมันมาได้ พวกเขาตอบสนองความต้องการของเหล่าแฟนบอลทั่วโลกผ่านฟอร์มการเล่นในสนาม และพวกเขา ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้อีกต่อไป5. ความสำเร็จที่ไม่ได้สำเร็จเพียงแค่ฝ่ายเดียวเห็นได้ชัดว่าความสำเร็จในฤดูกาลนี้นั้น ไม่ได้เกิดมาง่ายๆ มิเกล อาร์เตต้า ใช้เวลาถึง 3 ปี ในการพัฒนา ก่อสร้าง รื้อทิ้ง ลองผิดลองถูก เขาผ่านความกดดัน เสียงก่นด่า เสียงวิจารณ์ รอบทิศทาง เขาใช้ความนิ่ง ความใจเย็นของเขา ความอดทน ในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขากำลังสร้างขึ้นมานั้น มันถูกที่ถูกทางแล้วเขาโชคดีที่ฝ่ายบริหารสโมสรนั้น เลือกที่จะสนับสนุนในตัวเขาเต็มที่ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากผู้จัดการทีมก็ตาม เขาโชคดีที่มีคนที่เข้าใจในตัวเขา เข้าใจในการทำงานของเขา พร้อมสนับสนุนเขา ทีมงานเจรจาซื้อขายนักเตะ ฝ่ายเทคนิค สตาฟโค้ช แม้กระทั่งตากล้องประจำทีม นักเตะภายในทีม ล้วนแต่เป็นฟันเฟืองในการก่อร้างสร้างทีมในฝันของมิเกล อาร์เตต้า ให้เกิดเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ ทีมที่แฟนบอลต่างให้การสนับสนุน ผ่านเสียงเชียร์ในสนาม นี่คือสิ่งที่ยากมากสำหรับทีมฟุตบอลในยุคนี้ ที่จะก่อร่างสร้างทีมให้กลับมาอยู่ในทิศทางและต่อเนื่องแบบนี้ หากฤดูกาลนี้จบลง แล้วผลลัพธ์ที่คาดหวังกันไว้นั้นเป็นจริง คนที่ควรได้รับเสียงชื่นชมนั้น จะไม่ใช่เพียงคนเดียว จะเป็นทุกๆคนที่อยู่ในสโมสร ที่ชื่อว่า "Arsenal"ขอขอบคุณภาพประกอบบทความจาก ภาพที่ 1 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 2 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 3 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 4 จาก Facebook Arsenalภาพที่ 5 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 6 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 7 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 8 จาก Facebook Arsenalภาพที่ 9 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 10 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 11 จาก Facebook Arsenalภาพปกประกอบบทความ จาก Facebook Arsenalอัปเดตข่าวสาร ติดตามผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแบบไม่พลาดทุกนัดที่ ทรูไอดี คอมมูนิตี้ ห้อง 'ฟุตบอล'