เป็นอีกเกมในฤดูกาลนี้แล้วของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่สามารถกลับมาชนะคู่แข่งได้หลังจากที่โดนนำไปก่อน โดยเกมนี้เป็นการพลิกกลับมาชนะ "เจ้าสัวน้อย" ฟูแลม 2-1 ในเกมคาราบาวคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 1 ณ สนามแอนฟิลด์บ้านของลิเวอร์พูลซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่ 2 แล้วที่ลิเวอร์พูลต้องขาดโมฮาเหม็ด ซาลาห์และวาตารุ เอนโดที่ไปรับใช้ทีมชาติในทัวร์นาเมนต์ระดับทวีป แถมก่อนเกมก็ผู้ช่วยของเยอร์เกน คล็อปป์ก็ให้สัมภาษณ์ว่าเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์นั้นมีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าต้องพักอย่าง 2-3 สัปดาห์ แต่ยังมีข่าวดีที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กหายจากอาการป่วยกลับมาช่วยทีมได้แล้ว นั่นคือก่อนเกมครับ แต่ในระหว่างเกมนั้นก็มีเรื่องให้พูดถึงมากมายครับ แต่เหมือนเดิมครับที่จะหยิบยกมาพูดคุยแค่ 5 ประเด็น ห้าประเด็นที่ว่านั้นจะมีเรื่องใดบ้าง ไปดูกันเลยครับครึ่งแรกสุดอึดอัดของลิเวอร์พูลความจริงเกมนี้ก็เป็นปกติของทุกเกมที่ลิเวอร์พูลลงเล่นกับทีมที่ชื่อชั้นเป็นรองพวกเขา พวกเขาแทบจะพับสนามบุก ส่วนฟูแลมนั้นก็เน้นเกมรับที่เหนียวแน่นและใช้ความเร็วของนักเตะในการสวนกลับและต้องยอมรับว่าลูกทีมของมาร์โก ซิลวานั้นรับมือเกมรุกของลิเวอร์พูลได้เป็นอย่างดีเลยและเกมสวนกลับก็น่ากลัว เพราะมีนักเตะจอมเก๋าแต่ยังมีความเร็วอยู่อย่างวิลเลียน รวมไปกับบ๊อบบี้ เด คอร์โดวา-รีดและความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของฟาน ไดจ์กก็ทำให้ลิเวอร์พูลนั้นโดนยิงขึ้นนำไปก่อนและในเมื่อนำแล้ว เราจึงได้เห็นแทคติกรถบัสของฟูแลม ทำให้จากปกติแล้วก็เจาะฟูแลมยากอยู่แล้ว คราวนี้แหละยากยิ่งขึ้นไปอีก กลายเป็นเกมครึ่งแรกที่สุดแสนจะอึดอัดของลิเวอร์พูลและเหล่าเดอะ ค็อป โดยสถิติในครึ่งแรกลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงไปทั้งหมด 7 ครั้งแต่ตรงกรอบเพียงครั้งเดียว ตัดภาพไปที่ฟูแลมยิงทั้งหมด 4 ครั้งแต่เข้ากรอบ 3 ครั้งและได้มา 1 ประตู ยิ่งเรื่องครองบอลยิ่งไม่ต้องพูดถึง หงส์แดครองไปถึง 69% แต่สุดท้ายครึ่งแรกนั้นก็ยังไม่สามารถเจาะตาข่ายฟูแลมได้เลยโดยเรทติงนักเตะของนักเตะลิเวอร์พูลในครึ่งแรก มี 2 คนที่ได้น้อยที่สุดร่วมกัน สองคนนั้นก็คือหลุยส์ ดิอาซและไรอัน กราเฟนแบร์กที่ไม่สามารถสร้างอันตรายให้กับฟูแลมได้เลย Whoscored ให้คะแนนทั้งคู่ในครึ่งแรกที่ 5.9ฟูแลมมาดีเหมือนเดิมเป็นอีกเกมแล้วที่เจ้าสัวน้อยนั้นสร้างความยากลำบากให้กับทีมของคล็อปป์ หลังจากเกมพรีเมียร์ลีกที่ทั้งคู่เจอกันเกมแรกก็เป็นเหมือนเกมนี้เลยที่ลิเวอร์พูลต้องมาไล่ยิงแซง แต่เพียงแต่เกมนั้นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนและมาโดนแซง 2-3 แต่ก็ยังดีที่แซงกลับมาชนะได้อีกครั้งและย้อนกลับไปในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่แล้ว เกมนัดแรกของทั้งคู่ก็จบลงด้วยผลเสมอที่บ้านของฟูแลม เป็นเกมที่ยากของลิเวอร์พูลมากๆ ในการเจอฟูแลมในยุคของกุนซืออย่างมาร์โก ซิลวาอย่างที่บอกให้ข้อแรก ฟูแลมตั้งใจมาแพคเกมรับให้แน่นและใช้เกมสวนกลับด้วยทักษะของผู้เล่นและมันก็ได้ผลจริงๆ เกมรุกของฟูแลมมาน้อยแต่มานะ มาแต่ละครั้งน่ากลัวใช้ได้เลย มีหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขามีโอกาสทิ้งห่างลิเวอร์พูลแต่ก็คงด้วยคุณภาพนักเตะที่ไม่สามารถฝังลิเวอร์พูลไม่ได้และเป็นสัจธรรมของโลกฟุตบอล เมื่อคุณลงโทษไม่ได้ คุณก็จะโดนลงโทษแทนแต่ภาพรวมของฟูแลมในเกมนี้ถือว่าสร้างความปั่นป่วนให้กับลิเวอร์พูลได้เป็นอย่างดีเลย นักเตะที่โดดเด่นก็มีหลายคน วิลเลียนคนที่ยิงประตู, อันเดรส เปเรราก็เป็นคนแอสซิสต์ให้วิลเลียน หรือกองกลางตัวรับอย่างเจา ปาลินญาที่ช่วยปัดกวาดเกมรุกของลิเวอร์พูลได้อย่างยอดเยี่ยมและราอูล ฆิมิเนซก็เป็นคนพักบอลให้เพื่อนได้หลายต่อหลายครั้งโจนส์ยังแรง กราเฟนแบร์กยังห่วยhttps://www.instagram.com/p/C1-I7m-tBBV/ประเด็นนี้ที่ผมตั้งใจใช้ชื่อ 2 คนเลย เพราะผลงานของทั้งคู่นั้นตรงข้ามกันพอสมควร คนนึงนั้นฟอร์มดีจนเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะ ส่วนอีกคนนั้นฟอร์มยังแย่อยู่เรามาเริ่มคนที่ยังทำผลงานให้แฟนๆ ลิเวอร์พูลประทับใจไม่ได้กันก่อนละกันครับ สำหรับไรอัน กราเฟนแบร์ก เกมนี้เป็นอีกเกมที่เขานั้นยังมีฟอร์มการเล่นที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่แฟนๆ เคยได้เห็น เขาไม่สามารถสร้างสรรค์เกมหรือเป็นคนอันตรายของฟูแลมได้เลยซึ่งเรทติงที่ได้จาก Whoscored เขาก็คือคนที่ได้ต่ำที่สุดในลิเวอร์พูลที่ 6.1 นอกจากนี้ยังมีจังหวะเหวอๆ ของอีก เป็นจังหวะที่ลูกบอลลอยกำลังจะลอยออกนอกสนาม แต่เขานั้นไม่รู้ว่าใจลอยอะไร บอลยังไม่ออกดี ยังอยู่ในสนาม เขาดันเอามือไปรับลูกบอลที่กำลังตกลงมา สุดท้ายจากจะได้ลูกทุ่มกลายเป็นเสียแฮนด์บอลแบบไม่น่าเสีย ก็ได้แต่หวังว่าคล็อปป์และทีมงานจะปรับจูนให้กราฟนั้นเข้าที่เข้าทาง กลับมามีฟอร์มที่โดดเด่นเหมือนตอนที่ย้ายมาช่วงแรกๆ ก็แล้วกันส่วนคนที่ผลงานดีอย่างเคอร์ติส โจนส์ นี่คือหนึ่งในคนที่สามารถให้ตำแหน่ง Man of The Match ได้เลย เกมนี้เขาโดดเด่นมากๆ ขับเคลื่อนเกมของทีมได้ดี ใช้ทักษะในเวลาที่จำเป็น ช่วยให้ทีมแกะการเพรสซิงของฟูแลมได้หลายๆ ครั้ง แถมมีจังหวะพลิกบอลบริเวณกรอบเขตโทษได้อย่างสุดยอดอีกด้วย สุดท้ายแล้วโจนส์ก็คือคนที่ยิงประตูตีเสมอให้กับลิเวอร์พูล สถิติหลังจบเกมของโจนส์เป็นดังนี้ครับสัมผัสบอล 74 ครั้งผ่านบอล 49 ครั้ง (แม่นยำ 98%)ชนะการแทคเกิล 2 ครั้งชนะการดวลบนพื้น 4 ครั้งคีย์พาส 1 ครั้ง1 ประตูแจ้งเกิดน้องแบรดลีย์ด้วยสถานการณ์ที่เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์นั้นบาดเจ็บในเกมที่พบกับอาร์เซนอลในเกมเอฟเอ คัพและเทรนท์คือแบ็คขวาซีเนียร์คนเดียวในทีม คนที่เล่นได้อย่างโจ โกเมซนั้นก็ต้องโยกไปเล่นแบ็คซ้าย เพราะแบ็คซ้ายทั้งตัวจริงและสำรองนั้นยังไม่หายเจ็บกลับมา มันจึงจำเป็นต้องทำให้เยอร์เกน คล็อปป์นั้นตัดสินใจส่งเจ้าหนูโคนอร์ แบรดลีย์ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนี้ ซึ่งความจริงแบรดลีย์นั้นก็เคยได้ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้คือเกมที่เจ้าตัวแจ้งเกิดแบบจริงๆนี่คือเสน่ห์และสิ่งที่ผมชอบมากๆ ในการส่งเด็กจากอคาเดมีลงสนาม เพราะต่อให้คุณจะเก่งหรือเก่ง เราไม่รู้ แต่สิ่งที่หนึ่งที่ผมเชื่อว่าคุณไม่เป็นสองรองใครก็คือเรื่องของ "หัวใจ" คุณสู้ไม่ถอยแน่นอน กัดไม่ปล่อยแน่นอน ใส่เกินร้อยแน่นอนซึ่งในเกมนี้เจ้าหนูแบรดลีย์เป็นแบบนั้นจริงๆ แถมไม่ใช่แค่หัวใจที่แข็งแกร่งแต่ฝีเท้าก็ใช่ย่อยที่ไหน ต่อให้ตัวเองอายุเพียง 20 ปีแต่เกมนี้แบรดลีย์นั้นรับมือกับปีกตัวเก๋าอย่างวิลเลียนได้ดีมากๆ หลายๆ ครั้งที่วิลเลียนนั้นไม่สามารถเลี้ยงผ่านแบรดลีย์ได้เลย โดนดักทางได้หลายต่อหลายครั้งและสุดท้ายแล้วผลงานในเกมนี้ของแบรดลีย์ก็ได้รับผลตอบแทนจากแฟนบอลที่โหวตให้เป็น MOTM ไปครอง และนี่คือสถิติหลังเกมของเจ้าหนูโคนอร์ แบรดลีย์ครับสัมผัสบอล 87 ครั้งผ่านบอล 56 ครั้ง (แม่นยำ 87.5%)ชนะการแทคเกิล 6 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ชนะการดวลบนพื้น 9 ครั้งดักบอล 1 ครั้งคีย์พาส 2 ครั้งนูนเญซ กัคโปสำรองเปลี่ยนเกมในเกมนี้ทั้งดาร์วิน นูนเญซและโคดี กัคโป คู่หู "ไอ้เบี้ยวไอ้โด่ง" ของแฟนบอลนั้นต้องนั่งเป็นตัวสำรองข้างสนามไปก่อนครับ แต่มันกลายเป็นดีครับ เพราะในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ถูกส่งลงสนามคือช่วงครึ่งหลังและกำลังเข้าสู่ช่วงเฟสสุดท้ายของเกมแล้ว เพราะบดแข้งกันไปแล้ว 2 ใน 3 ของเกมทั้งหมด (เข้าสู่ 30 นาทีสุดท้าย) มันคือช่วงที่ผู้เล่นเริ่มอ่อนแรงแล้วครับ แต่ความสดและความทะลุทะลวงของทั้งนูนเญซและกัคโปยังมีเต็มร้อย ทำให้ลงมาแล้วก็สามารถบดกองหลังของฟูแลมได้ดีเลยทีเดียวกัคโปใช้เวลาเพียง 15 นาทีในสนามก็ยิงให้ทีมขึ้นนำ ทำให้เขานั้นสามารถยิงประตูในรายการคาราบาว คัพในฤดูกาลนี้ได้ทุกรอบที่ลงแข่งขัน และนี่คือสถิติหลังเกมของกัคโปซึ่งใช้เวลา 34 นาทีครับสัมผัสบอล 26 ครั้งผ่านบอล 16 ครั้ง (แม่นยำ 88%)เลี้ยงบอลสำเร็จ 2 ครั้งชนะการดวลบอลพื้น 2 ครั้งคีย์พาส 2 ครั้งโอกาสยิง 1 ครั้ง (เข้ากรอบ 1 ครั้ง)1 ประตูมาถึงคิว "น้องหนูน" สำหรับดาร์วิน นูนเญซ ปีกเบอร์ 9 ของหงส์แดง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องให้นูนเญซยิงยังไงถึงจะเป็นประตู เพราะขนาดมีจังหวะยิงจ่อๆ ก็ดันโชคร้ายไปติดเซฟของแบรนด์ เลโนบริเวณขา ทั้งๆ ที่เลโนพุ่งไปผิดฝั่งแล้วแต่ยังติดขา เจ้าตัวถึงกับบ่นกับสตาฟฟ์ของทีมว่ายิงยังไงก็ไม่เข้าซึ่งก็คงเป็นแบบนั้นจริงๆ จ่อๆ ก็แล้ว ผู้รักษาประตูพุ่งผิดทางแล้วก็ยังไมไ่ด้ ต้องแก้ปีชงแล้วมั้งหนูน แต่นี่คือสถิติของนูนเญซในเกมที่ช่วยให้ทีมยิงแซงฟูแลมได้ครับสัมผัสบอล 29 ครั้งชนะการดวลบนพื้น 4 ครั้ง (ทั้งหมด 5 ครั้ง)เลี้ยงบอลสำเร็จ 3 ครั้ง (ทั้งหมด 4 ครั้ง)คีย์พาส 2 ครั้ง2 แอสซิสต์และสถิติต่อไปนี้คือสถิติที่นูนเญซทำได้มากที่สุดในทีม สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากที่สุด (12 ครั้ง), ยิงมากที่สุด (4 ครั้ง), ยิงตรงกรอบมากที่สุด (3 ครั้ง) และสร้างโอกาสมากี่สุด (2 ครั้ง) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ลงเล่นในนาทีที่ 55แต่สุดท้ายแล้วในเกมนี้ยังเป็นเพียงเกมนัดแรกในรอบรองชนะเลิศของคาราบาว คัพ ฟูแลมยังมีนัดที่ 2 ให้แก้ตัวอยู่ แถมยังได้กลับไปเล่นในบ้านของตัวเองอีกด้วย ได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์ไม่พอ สกอร์ยังตามหลังเพียงประตูเดียวอีกด้วย อะไรก็เกิดขึ้นได้ ลิเวอร์พูลก็ห้ามประมาทเช่นกัน โดยในเกมนัดที่ 2 นัดจะเตะกันในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม เวลาตี 3 แฟนเจ้าสัวน้อยและหงส์แดงห้ามพลาดครับ ใครจะตีตั๋วไปเวมบลีย์ต้องติดตามครับขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากWhoscoredOfficial X ของ Squawka Live และ Statman DaveOfficial Facebookและ Instagram ของลิเวอร์พูล (@liverpoolfc) และฟูแลมภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6 ติดตามข่าวสาร คอนเทนต์เด็ด ๆ ก่อนใคร อย่าช้า โหลดเลยที่ TrueID !!