ผลการแข่งขันที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านแอนฟิลด์ถล่มทีมน้องใหม่อย่างบอร์นมัธไปอย่าถล่มทลาย 9 ประตูต่อ 0 ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมนี้คงหนีไม่พ้น "บ๊อบบี้" โรแบร์โต เฟอร์มิโน กองหน้าชาวบราซิลที่มีส่วนในการทำประตูไปถึง 5 ลูก (แอสซิสต์ 3 ยิง 2) หลังจากที่ฟอร์มตกลงอย่างมากเป็นเวลานานหลายเกม พร้อมกับทำสถิติยิงครบ 100 ประตูให้กับลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นอกเหนือจากการยิงประตูไป 9 ลูก มีสิ่งนึงที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงซักเท่าไหร่ เพราะโดนผลการแข่งขันกลบหมด นั่นก็คือเหล่า "Young Blood of Livepool" หรือกลุ่มสายเลือดใหม่ของทีมที่เหมือนนัดนี้รวมตัวทำผลงานได้ดี จะเป็นใครบ้าง ไปดูกันเลยครับลิเวอร์พูล VS บอร์นมัธ : คลิปไฮไลท์พรีเมียร์ลีก 2022/23https://sport.trueid.net/premier-league/clips/Q1OXWax2W8n6เรามาเริ่มกันที่ หลุยส์ ดิอาซ (25 ปี) แนวรุกทีมชาติโคลอมเบียที่เป็นคนโหม่งเบิกร่องสกอร์แรกในเกมนี้ และถือว่าอายุเยอะสุดในลิสต์ที่จะพูดถึงวันนี้ ดิอาซนั้นย้ายจากปอร์โต ทีมชั้นนำจากลีกโปรตุเกสมาร่วมทีมหงส์แดงเมื่อช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวของฤดูกาลที่แล้ว แต่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว และได้สร้างผลงานที่อย่างโดดเด่นมากๆ และด้วยฤดูกาลนี้ที่ซาดิโอ มาเน อดีตปีกขวัญใจเดอะ ค็อปย้ายไปร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิค ทำให้ดิอาซขยับขึ้นมาเป็นตัวแทนของมาเนและยึดตำแหน่งตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้ายอย่างเป็นทางการ โดยถึง ณ ตอนนี้ดิอาซลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลไปแล้ว 31 นัด ผลงาน 9 ประตู 5 แอสซิสต์ ถือว่าทำผลงานได้เป็นอย่างดีถ้าวัดกันจากระยะเวลาร่วมทีมเพียงครึ่งปี แต่ถ้ามองลงไปลึกๆ ในหลายๆ เกมแล้ว ต้องยอมรับว่าฟอร์มของดิอาซนั้นยังมีอยู่บ้างที่ยังไม่ค่อยคงเส้นคงวาเมื่อเทียบกับมาเน บางนัดเขาโดนประกบจนหายไปจากเกม หรือก็เลี้ยงติดๆ ขัดๆ แต่อย่าลืมว่าดิอาซย้ายมาร่วมทีมได้เพียง 7 เดือนเท่านั้น และยังอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น ยังมีเวลาปรับตัวและพัฒนาอีกมาก แถมนับวันฟอร์มของดิอาซก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสร้างความแตกต่างในเกมรุกได้หลากหลายมากขึ้นไปกันต่อที่ "เจ้าจุก" ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (19 ปี) ดาวรุ่งชาวอังกฤษวัยเพียง 19 ขวบ สำหรับลิเวอร์พูลนั้นเอลเลียตต์ เขาบอกว่าตัวเขาเป็นแฟนคลับทีมนี้และเป็นเดอะ ค็อปมาตั้งแต่วัยจิ๋ว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเด็กปั้นจากอคาเดมีของฟูแล่มแต่วันนี้เขาได้มาเป็นส่วนนึงของทีมที่เขาเชียร์และรักแล้ว เอลเลียตต์นั้นถูกจับตาและคาดหวังว่าเป็นอย่างมาก เพราะลิเวอร์พูลซื้อเขามาจากฟูแล่มตั้งแต่อายุ 16 ปี (ฤดูกาล 2019-2020) ก่อนที่จะถูกปล่อยให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์สทีมในเดอะ แชมเปียนชิพยืมตัวไปในฤดูกาล 2020-2021 และสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยจัดการยิงประตูไป 7 ลูก และทำไปอีก 11 แอสซิสต์ และมีชื่อเข้าชิงรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของลีกแชมปเปียนชิพอีกด้วย จนมาถึงฤดูกาลที่แล้วเจ้าจุกกลับมาลิเวอร์พูลและถูกดันขึ้นชุดใหญ่ ซึ่งก็สามารถโชว์ฝีเท้าและทำผลงานได้อย่างดี แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง เพราะเจ้าตัวดันดวงแตกได้รับอาการบาดเจ็บจากการปะทะในเกมที่พบกับลีดส์ ยูไนเต็ด จนทำให้กระดูกข้อเท้าหักแล้วเคลื่อนหลุดจากตำแหน่ง ทำให้ต้องพักรักษาตัวไปนานเกือบ 5 เดือนก่อนที่จะกลับมาลงเล่นได้ในเกมเอฟเอ คัพที่พบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และสามารถยิงประตูได้ทันที จนมาฤดูกาลนี้ด้วยสภาวะที่ทีมประสบปัญหาผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางบาดเจ็บหลายคน ทำให้โอกาสตกมาถึงเจ้าหนูเอลเลียตต์ และเจ้าตัวก็ตอบแทนความไว้วางใจของเยอร์เกน คล็อปป์ด้วยการยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้กับทีมได้แล้วในเกมลีกนัดที่ผ่านมา พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาหลังจากที่ยิงได้ เนื่องจากเจ้าตัวพึ่งเสียคุณยายไปไม่กี่วันก่อนแข่ง โดยประตูนี้เอลเลียตต์บอกว่าขอมอบให้คุณยายที่จากไป และด้วยสไตล์การเล่นที่วูบวาบ ทุ่มเท เต็มไปด้วยแพสชั่นที่รักทีมสุดๆ ทำให้เอลเลียตต์เข้าไปนั่งอยู่ในใจของกองเชียร์ได้อย่างรวดเร็ว และล่าสุดสโมสรก็ได้ตอบแทนเจ้าจุกด้วยการต่อสัญญาไปจนถึงปี 2027 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนถึงตอนนี้คล็อปป์ก็เฝ้าฟูมฟักดาวรุ่งคนนี้อย่างทะนุถนอม และค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าไปเรื่อยๆ รอวันที่จะขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ในอนาคต และแฟนๆ ก็เชื่อเหลือเกินว่าเอลเลียตต์จะสามารถทำได้แน่นอนคนต่อมาก็คือ "ฟาบิโอ คาร์วัลโญ" (20 ปี) ดาวรุ่งชาวโปรตุเกสที่เพิ่งครบอายุ 20 ปีไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผลผลิตจากอคาเดมีของฟูแล่มเช่นเดียวกับเอลเลียตต์ เขาย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกแต่ดีลของคาร์วัลโญนั้นเสร็จสิ้นก่อนที่จะจบฤดูกาลที่แล้วเสียอีก โดยผลงานของคาร์วัลโญกับฟูแล่ม ชุดใหญ่นั้น ลงเล่นไป 44 นัด ยิง 12 ประตู แอสซิสต์ให้เพื่อนอีก 8 ลูก โดยเมื่อเห็นการเล่นของคาร์วัลโญนั้นล้วนแต่ทำให้เหล่าแฟนๆ หงส์แดงหวนนึกถึงฟิลิเป คูตินโญ อดีตเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิลของทีม เนื่องจากมีรูปร่างที่ตัวเล็ก และสไตล์การเล่นคล้ายคลึงกับสตาร์ชาวบราซิลที่จะชอบเลี้ยงทางกาบซ้ายแล้วตัดเข้าใน ซึ่งจนถึงตอนนี้คาร์วัลโญลงสนามในเกมทางการให้กับลิเวอร์พูลไปแล้ว 5 นัด ทำไป 1 ประตู และนอกจากจะมาจากอคาเคมีของฟูแล่มเหมือนกันแล้ว เจ้าตัวก็ยังยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูลได้เกมลีกนัดที่ผ่านมาเหมือนกับเอลเลียตต์อีกด้วย และด้วยสถานการณ์ปัญหานักเตะบาดเจ็บของทีมในตอนนี้ เชื่อเหลือเกินว่านี่จะโอกาสที่คาร์วัลโญจะได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้น และพัฒนาฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เส้นทางอนาคตของคาร์วัลโญกับลิเวอร์พูลยังอีกยาวไกล ต้องจับตาดูให้ดีๆสเตฟาน บายเซติช (17 ปี) คือคนที่ 4 ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ ดาวเตะดาวรุ่งลูกครึ่งสเปน-เซอร์เบียรายนี้ถูกดันขึ้นมาจากทีมชุด U-18 ของลิเวอร์พูล โดยลิเวอร์พูลซื้อบายเซติชมาจากเซลต้า บีโก้จากสเปนเมื่อกุมภาพันธ์ 2021 และเจ้าตัวประเดิมสนามในทีมชุด U-18 ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยความสามารถเจ้าหนูลูกครึ่งคนนี้ก็คือสามารถเล่นได้ทั้งเซ็นเตอร์แบ็ค และกองกลางตัวรับ โดยฤดูกาลที่แล้วในทีมชุด U-18 นั้นถูกส่งลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คซะเป็นส่วนใหญ่ และได้ขยับขึ้นไปเล่นในทีมชุด U-23 อยู่บ่อยครั้ง จนมาถึงฤดูกาลนี้ที่ช่วงพรี-ซีซันคล็อปป์ได้หนีบเจ้าหนูคนนี้ไปทำการอุ่นเครื่องกับทีมชุดใหญ่ด้วย และเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว โดยที่คล็อปป์นั้นจับบายเซติชมายืนในตำแหน่งกองกลางตัวรับ ซึ่งความน่าสนใจอีกอย่างนึกของบายเซติชก็คือ ตอนนี้เจ้าตัวอายุเพียง 17 ปีแต่มีส่วนสูงถึง 185 ซม. ยังสามารถสูงได้อีก แถมรูปร่างก็ค่อนข้างดี ดูเหมาะกับการเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค หรือกองกลางตัวรับเหมือนกัน อีกทั้งยังมีเซนส์บอลที่ค่อนข้างดี การจ่ายบอลสั้น-ยาวก็ดีอีกเช่นเดียวกัน และเจ้าตัวก็ได้ลงประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเกมที่ชนะบอร์นมัธที่ผ่านมา และตอนนี้เจ้าตัวได้รับสัญญาอาชีพกับทีมเรียบร้อยแล้ว ถือว่าตอนนี้ลิเวอร์พูลนั้นมีกองกลางดาวรุ่งที่รอวันเจียระไนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้วดำเนินมาถึงคนสุดท้ายแล้วของ 5 Young Blood of Liverpool โดยเป็นคนเดียวในลิสต์นี้ที่ไม่ได้ลงเล่น 2 เกมนัดล่าสุด ซึ่งนั่นก็คือ ดาร์วิน นูนเญซ (23 ปี) กองหน้าชาวอุรุกวัยเจ้าของค่าตัวสถิติสโมสร 100 ล้านยูโร (75 ล้าน บวกแอดออน 25 ล้านยูโร) ลิเวอร์พูลไปสอยนูนเญซมาจากเบนฟิกาในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยผลงานของเขากับเบนฟิกานั้นแบ่งเป็น ลงสนาม 85 นัด ยิง 48 ประตู กับอีก 16 แอสซิสต์ สำหรับผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าตัวลงสนามให้เบนฟิกาไป 44 นัด ยิงไป 34 ประตู ซึ่ง 6 ใน 34 ประตูนี้มาจากเกมยูฟา แชมเปียนส์ลีก และจำแนกมาอีก 5 ประตูจาก 6 เป็นการยิงบาร์เซโลนา 2 ลูก และ 1 ลูกในเกมพบบาเยิร์น มิวนิคในรอบแบ่งกลุ่ม และยิงอีก 2 ประตูในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบกับลิเวอร์พูล (ยิงทั้งเกมเหย้าและเกมเยือน) โดยเฉพาะเกมที่มาเยือนแอนฟิลด์ นูนเญซนั้นโชว์ฟอร์มสร้างความปั่นป่วนให้กับกองหลังลิเวอร์พูลหลายต่อหลายครั้ง แถมยังโชว์เทคนิคการยิงประตูในขณะที่ดวล 1 ต่อ 1 กับอลิซอน เบคเกอร์ ซึ่งอลิซอนนั้นถือว่าผู้รักษาประตูที่ยิงผ่านได้ยากมากๆ เวลาที่ต้องดวลตัวต่อตัวแต่นูนเญซทำได้ ด้วยฟอร์มการเล่นที่เตะตาโดนใจเยอร์เกน คล็อปป์ขนาดนี้ ทำให้ซัมเมอร์ที่ผ่านลิเวอร์พูลจัดการทุบคลังไปสอยมาร่วมทีมจนได้ โดยจนถึงตอนนี้เขาลงสนามในเกมทางการให้ลิเวอร์พูลไปแล้ว 3 นัด ยิงได้ 2 ประตูและ 1 แอสซิสต์ แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยคือในการอุ่นเครื่องที่เจ้าตัวซัดคนเดียว 4 ประตูในเกมที่ชนะไลป์ซิก 5-0 และยิงประตูอย่างเป็นทางการได้ในเกมคอมมูนิตี ชิลด์ที่ชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไป 3-1 และในยิงประตูแรกได้ทันทีในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกที่พบกับฟูแล่ม แถมแอสซิสต์แบบงงๆ ให้กับโมฮัมเหม็ด ซาลาห์อีกด้วยแต่ล่าสุดเขาสร้างวีรกรรมต้อนรับเกมพรีเมียร์ลีกในนัดที่ 2 เพราะไปเสียค่าโง่เสียเหลี่ยมไปเอาหัวโขกใส่โยอาคิม แอนเดอร์เซนกองหลังคริสตัล พาเลซจนโดนใบแดงไป พลาดการลงสนามไป 3 เกม แถมเกมที่ผ่านๆ มาเจ้าตัวหาจังหวะการจบสกอร์ได้เยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่จะยิงแป้กไปหมดเลย แถมในอดีตที่ผ่านมาเจ้าตัวมีปัญหาการรับมือคอมเมนต์จากโซเชียล แต่จะมาพูดถึงวีรกรรมแย่ๆ อย่างเดียวก็คงไม่แฟร์เท่าไหร่ ลองมาดูจุดเด่นของนูนเญซกันบ้างดีกว่า สำหรับนูนเญซนั้นมีจุดเด่นที่รูปร่างสูงใหญ่ สามารถเล่นได้ 3 ตำแหน่ง คือ กองหน้าริมเส้น, กองหน้าตัวต่ำ และกองหน้าตัวเป้าที่ถือว่าเป็นอาวุธใหม่ของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะลูกกลางอากาศ หรือลูกโหม่งซึ่งจะมาเพิ่มมิติ สร้างความหลากหลายให้กับเกมรุกของหงส์แดงแน่นอน อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นกองหน้าที่หาพื้นที่การทำประตูได้ดี เหลือเพียงการจบสกอร์แค่เฉียบคมเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเรื่องของค่าตัวที่กดดันอยู่ก็เป็นได้ เชื่อว่าหากปรับตัวกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและสลัดความกดดันเรื่องค่าตัวไปได้ นูนเญซน่าจะระเบิดฟอร์มได้แน่นอนส่วนคนนี้ผมขอแถม เพราะเป็นลูกหม้อ เป็นเด็กท้องถิ่นขนานแท้ และชอบเป็นการส่วนตัว โดยผมถือว่าเทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ (23 ปี) เป็นหัวหน้ากลุ่มดาวรุ่ง Young Blood of Liverpool เลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าตัวเลื่อนขั้นขึ้นมาทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ฤดูกาล 2016-2017 โดยที่ตอนนั้นอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ก่อนหน้าที่จะพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้จนถึงทุกวันนี้ พร้อมกับสถิติลงเล่น 231 นัด ยิง 14 แอสซิสต์ 62 กับอีก 6 แชมป์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรายการเมเจอร์ทั้งนั้น (ยูซีแอล, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก, พรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ และเอฟเอ คัพ อย่างละสมัย) กับอีก 1 แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ จนถึงตอนนี้ผมเชื่อเหลือเกินว่ากัปตันทีมของทีมในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้าคงหนีไม่พ้นเทรนท์แน่นอน และหวังว่าเจ้าตัวจะเป็นนักเตะ One Clube Man ให้ชื่นใจเด็กหงส์อีกซักคนคงจริงอย่างที่หลายคนพูดจริงๆ ว่า "ในวิกฤตมักจะมีโอกาสเสมอ" เช่นเดียวกับลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ที่ประสบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน โดยถ้าหากไม่นับรวมดิอาซกับนูนเญซที่ซื้อมาเป็นตัวหลักแล้ว อีก 3 คนที่เหลือถือว่าได้รับโอกาสในการพัฒนาฝีเท้าฉบับเร่งด่วนจริงๆ ต้องรอดูกันต่อไปว่าเหล่า Young Blood of Liverpool จะพัฒนาฝีเท้าไปได้ระดับไหน และจะขึ้นมาทดแทนเหล่ารุ่นพี่ที่เริ่มโรยราได้หรือไม่ ต้องติดตามดูกันครับขอบคุณภาพประกอบจาก Official Facebook ของลิเวอร์พูลภาพปก (ภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3) ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !