เกือบต้องไปลุ้นกันในการฎีกาดวลจุดโทษและเกือบทำเอาแฟนๆ หัวใจวายกันไปแล้ว สำหรับเกมนัดชิงคาราบาว คัพประจำฤดูกาล 2023/2024 ที่สุดท้ายแล้วก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเล่นกันถึง 120 นาที และเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลต้องเล่นกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซีจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษและก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่สามารถย้ำแค้นสิงห์บลูได้ หลังจากที่ในฤดูกาล 2022 ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะเชลซีได้การในชิงบอลถ้วยในประเทศสองรายการ โดยลิเวอร์พูลนั้นมาได้ประตูจากการโขกของ "บิ๊กเวิร์จ" เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กัปตันทีมในนาทีที่ 118 ซึ่งความจริงก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ลูกพี่ไดจ์กสามารถส่งบอลไปกองที่ก้นตาข่ายได้ เพียงแต่ครั้งแรกนั้นถูก VAR ริบคืนจากจังหวะล้ำหน้าของวาตารุ เอ็นโดะ ประตูนี้กลายเป็นประตูส่งให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีก คัพหรือชื่อปัจจุบันก็คือคาราบาว คัพสมัยที่ 10 ของสโมสรและเริ่มโปรเจคต์อำลา "เยอร์เกน คล็อปป์" หลังจบฤดูกาลนี้ครับในเกมนี้มีเรื่องราวให้พูดถึงเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เล่นของฝั่งลิเวอร์พูลที่เจ็บครึ่งทีม ความใจป๊อดของโปเช็ตติโน อีกหลายเรื่องราวครับที่อยากจะพูดถึง แต่เหมือนเดิมครับ ผมรวบรวมมา 5 ประเด็นที่อยากพูดถึง ผมจะพูดถึงในประเด็นไหนบ้าง ไปดูกันเลยครับพอชหรือป๊อด?นี่คือสิ่งที่ผมโล่งใจที่สุดในนัดชิงเกมนี้ เพราะการได้เจอกับเชลซีในยุคของเมาริซิโอ โปเช็ตติโนเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ แต่บอกก่อนนะครับว่าที่เชลซีแพ้เกมนี้ส่วนหนึ่งก็โทษพอชไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วเชลซีมีโอกาสปลิดชีพลิเวอร์พูลหลายจังหวะมากๆ แต่ทำหมูหก จบไม่คมกันไปเอง อันนี้มันก็นอกเหนือการควบคุมของพอชเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ขอโทษที่ไม่ใช่ขอโทษ Sorry แต่เป็นขอ "โทษ" พอชนั่นแหละที่ทำทีมแบบ "ใจป๊อด" ซึ่งแตกต่างกับเยอร์เกน คล็อปป์แบบสิ้นเชิงอย่างที่ทราบกันตั้งแต่ก่อนเกมนี้เตะว่าลิเวอร์พูลนั้นมีตัวผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บอยู่ครึ่งค่อนทีม ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองกลาง อลิซอน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เคอร์ติส โจนส์และดิโอโก โชตา แถมพอประกาศ 11 ตัวจริงก็ไม่มีทั้งโมฮาเหม็ด ซาลาห์, โดมินิก โซโบซไลและดาร์วิน นูนเญซอีก ทำให้ตัวจริงในเกมนัดจริงนี้ยังคงยืดตัวผู้เล่นจากเกมกลางสัปดาห์ที่ชนะลูตัน ทาวน์มาได้ เปลี่ยนเพียงอิบราฮิมา โกนาเตที่ลงเล่นแทนจาเรลล์ ควอนซาห์ เหมือนเดิมตั้งแต่ตัวจริงยันตัวสำรอง แถมในเกมไรอัน กราเฟนแบร์กก็โดนมอยเซส ไคเซโด เข้าสกัดที่ข้อเท้าจนไม่สามารถเล่นต่อได้อีกตั้งแต่ครึ่ง พิการครึ่งทีมไปแล้ว แต่สิ่งที่โปเช็ตติโนทำนั้นคือสั่งให้ลูกทีมเล่นเกมรับ เน้นผลสกอร์เพื่อไปลุ้นในช่วงดวลจุดโทษถึงแม้ว่าผมไม่ได้เชียร์เชลซี ถึงแม้จะเชียร์ลิเวอร์พูลแต่ผมดูแล้วยังหงุดหงิดแทนแฟนๆ สิงห์บลูเลย คุณมีตัวผู้เล่นที่ครบสมบูรณ์มากกว่าคู่แข่งแทบจะครึ่งทีม แต่สิ่งที่เห็นคือเหมือนทีมที่เจ็บครึ่งทีมคือเชลซีมากกว่าอีก ในช่วงท้ายเกมของครึ่งหลังรวมถึงช่วงต่อเวลาเห็นได้ชัดว่าลิเวอร์พูลนั้นอ่อนแรงไปมาก หมดแรงกันไปหลายคนแล้ว แทนที่พอชจะสั่งนักเตะให้โถม ให้เดินเกียร์เกมรุกใส่ลิเวอร์พูล แต่ไม่เลย พอชสั่งให้ลูกทีมค่อยๆ เล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้เดินหน้าบุก แถมไม่พอในช่วงท้ายของการต่อเวลาก็ยังส่งเทรโวห์ ชาโลบาลงมาเล่น มาเพื่อแพ็คเกมรับอีก ถามจริงงงง คุณไม่ได้คิดจะเอาชนะคู่แข่งที่ทั้งเด็กและเหนื่อยล้าไปทั้งทีมแล้วเนี่ยนะ คุณจะไปหวังในการดวลจุดโทษที่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เนี่ยนะ คุณไม่คิดที่อยากจะเอาชนะในเวลาเลยหรอ ทีมของคุณเต็มไปด้วยนักเตะที่มูลค่าครึ่งร้อยล้านบ้าง ทะลุร้อยล้านบ้าง แต่คุณไม่สามารถทำให้นักเตะเหล่านี้เล่นได้ถึงครึ่งของค่าตัวเลยด้วยซ้ำผมไม่แปลกใจที่แฟนเชลซีจะไล่โปเช็ตติโนเช้า กลางวัน เย็น 3 มื้ออาหาร เพราะเป็นโค้ชที่ Mentality หรือทัศนคติของความเป็นผู้ชนะไม่มีอยู่เลย กลัวแม้กระทั่งคู่แข่งที่เด็กกว่าด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าท็อดด์ โบห์ลียังเก็บพอชไว้ มีหวังเชลซีร้างแชมป์ไปอีกนานแน่นอนลิเวอร์พูลเจ็บครึ่งทีม สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ (รุ่นเด็ก)ผมเชื่อว่าในเกมนี้แฟนๆ ลิเวอร์พูลนั้นทำใจส่วนหนึ่งแล้วถ้าหากแพ้ก็คงจะไม่เสียใจ เพราะตัวผู้เล่นนั้นเป็นรองเชลซีอย่างมาก สามตัวจริงแดนบนทั้งซาลาห์, โชตาและนูนเญซไม่สามารถลงเล่นได้ในเกมนี้ โซโบ, โจนส์และเทรนท์ก็เช่นกัน ลงเล่นให้จบๆ เกม เล่นและสู้ให้เต็มที่ก็เพียงพอแล้ว เพราะด้วยตัวผู้เล่นนั้นอย่างที่บอกครับว่าเป็นรองเชลซีจริงๆลองดูรายชื่อสำรองของลิเวอร์พูลในเกมนี้นะครับ นอกจากซีเนียร์ของทีมอย่างอาเดรียน, โจ โกเมซและคอสตัส ซิมิคาสแล้วที่เหลือคือเด็กเยาวชนจากอคาเดมีของทีมทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่บ๊อบบี คลาร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, ลูอิส คูมาส, เจย์เดน แดนน์ส, จาเรลล์ ควอนซาห์และเทรย์ เอ็นโยนี แถมใน 11 ตัวจริงก็ยังมีคอเนอร์ แบรดลีย์ ดาวรุ่งจากอคาเดมีอีกคนนะครับที่ต้องลงเล่นแทนเทรนท์ แต่ก็ด้วยการที่เล่นมาหลายนัดแล้วกับทีมชุดใหญ่และทำผลงานได้ดีจึงทำให้ไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่กับเด็กคนอื่นๆ นี่สิ คิดภาพไม่ออกเลยถ้าเกมตามหลัง ต้องการประตู ต้องการเปลี่ยนตัวจะเปลี่ยนใครลงมาเล่นดี ไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้จะเปลี่ยนเกมได้หรือไม่แต่ไม่เลยครับ ตัวซีเนียร์เหนื่อย ล้า สิ่งที่เราได้เห็นเยอร์เกน คล็อปป์ทำก็คือส่งเด็กๆ ลงมาเล่น แถมเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีด้วยซ้ำ พูดให้เห็นภาพก็คือส่งทีม U-21 ลงเล่นนั่นแหละครับซึ่งประกอบไปด้วยคลาร์ก, แม็คคอนเนลล์, แดนน์สและควอนซาห์ หาได้กลัวนักเตะราคาแพงของเชลซีไม่ สิ่งที่คล็อปป์ให้กับเด็กๆ เหล่านี้คือความมั่นใจ ความเชื่อใจในตัวเด็กๆ คล็อปป์เชื่อใจในตัวเด็กๆ ทุกคน และสิ่งที่เด็กๆ ตอบแทนบอสก็คือการเล่นแบบเต็มที่ ลงไปแล้วไม่ได้กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยสุดท้ายเราก็ได้เห็นที่เหล่าเด็กๆ จากอคาเดมีมารวมตัวถ่ายรูปฉลองแชมป์กันครับ ครั้งหนึ่งผมเคยอิจฉาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่มีเด็กๆ Class of 92 ขึ้นมาทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ส่วนลิเวอร์พูลชาตินึงจะมีนักเตะจากอคาเดมีโผล่ขึ้นมา แต่ในวันนี้ถึงแม้ว่าเด็กๆ ชุดนี้ของลิเวอร์พูลยังไม่สามารก้าวไปถึง Class of 92 แมนยูได้และผมเชื่อว่ายากมากๆ ที่จะก้าวไปถึงจุดนั้น แต่แค่นี้ผมก็ดีใจมากๆๆๆๆ แล้วที่ได้เห็น "ลูกหม้อ" ของทีมขึ้นมาช่วยเหลือทีมในยามวิกฤติแถมยังพาทีมได้แชมป์อีก โคตรภูมิใจในตัวเด็กๆ เลยเชลซีจบไม่คม vs ลูกหมีโคตรเซฟอย่างที่ผมบอกไปในข้อแรกครับ ไม่ใช่ว่าเชลซีไม่โอกาสชนะเลย เพราะพวกเขามีโอกาสยิง 19 ครั้งซึ่งทั้งหมดนั้น ยิงเข้ากรอบ 9 ครั้ง แทบจะครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ พวกเขามีทั้งโอกาสยิงจ่อๆ ของโคล พาลเมอร์ ทั้งโอกาสที่หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงแล้วแต่ก็พลาดของคอเนอร์ กัลลาเกอร์และมีจังหวะโดนควีวีน เคลเลเฮอร์เซฟไว้ได้ อีกหลายครั้ง รวมไปถึงส่งบอลเข้าไปในประตูแล้วจากราฮีม สเตอร์ลิงแต่ก็โดน VAR ริบคืนจากจังหวะล้ำหน้าของนิโคลัส แจ๊คสัน และหลังจบเกมเชลซีนั้นมีค่า xG อยู่ที่ 2.28 คือค่านี้บอกว่าในเกมนี้พวกเขาควรยิงได้อย่างน้อย 2 ประตู แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับมาเลยซักประตู แต่นอกจากจะโทษตัวเองที่ไม่คมแล้วสำหรับเชลซี อีกส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมทาง "ลูกหมี" ควีวีน เคลเลเฮอร์ที่ได้โอกาสลงเฝ้าเสาในเกมนัดชิงคาราบาว คัพอีกครั้งแล้วเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หลังจากที่ในฤดูกาล 2021/2022 ที่ได้เข้าชิงกับเชลซีเหมือนกันก็เป็นเคลเลเฮอร์คนเดิมที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในเกมนี้เคลเลเฮอร์โชว์ซูเปอร์เซฟ ช่วยชีวิตลิเวอร์พูลไว้หลายครั้งมากๆ บางจังหวะก็วิ่งออกมาเตะบอลทิ้งในจังหวะที่นักเตะเชลซีมีโอกาสหลุดเดี่ยว ทำให้หลังจบเกมเคลเลเฮอร์นั้นได้รางวัล Player of The Match จากทางคาร์ลส์เบิร์ก ทำให้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เคลเลเฮอร์เก็บคลีนชีทได้ในเกมนัดชิงของคาราบาว คัพและนี่คือสถิติหลังจบเกมของลูกหมี ควีวีน เคลเลเฮอร์ครับสัมผัสบอล 75 ครั้งผ่านบอล 50 ครั้ง (แม่นยำ 74%)เซฟ 9 ครั้งเซฟ 6 ครั้งในกรอบเขตโทษเคลียร์บอล 3 ครั้ง1 คลีนชีท1 รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ (จากผู้สนับสนุนทีม)ลูกพี่ไดจ์ก Man of The Matchมาถึงคิวของกัปตันทีมที่โหม่งประตูชัยพาทีมชนะและคว้าแชมป์คาราบาว คัพในฤดูกาลนี้ไปครองอย่าง "บิ๊กเวิร์จ" เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กแล้วครับ อย่างที่ผมบอกไปในหลายๆ บทความครับว่าฟาน ไดจ์กในฤดูกาลนี้เป็นฟาน ไดจ์กในเวอร์ชันที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชันที่พาทีมคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกและพรีเมียร์ลีกมากที่สุดแล้วครับ เพราะในฤดูกาลก่อนๆ ต้องยอมรับว่าฟาน ไดจ์กนั้นดรอปลงไปอย่างมากจากอาการบาดเจ็บบริเวณ ACL ถือว่าใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายให้ฟิตใกล้เคียงในตอนนั้นหลายฤดูกาลอยู่เหมือนกันกว่าจะกลับมาได้ถึงตอนนี้ในเกมนี้เป็นอีกเกมที่ฟาน ไดจ์กโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและสุดยอดจริงๆ ครับสามารถรับมือลูกโด่งของฝั่งเชลซีได้แบบ 100% เก็บลูกโด่งเรียบหมด ภาคพื้นดินก็ไม่แพ้กัน ไล่กวดไล่ตามเบียดชนแนวรุกของเชลซีได้อย่างอยู่หมัด แทบจะหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลยในเกมนี้ แถมภาวะผู้นำก็สูงลิ่วเช่นกัน สามารถคุม ประคองสติ สมาธิของลูกทีม รวมไปถึงเด็กๆ ดาวรุ่งที่ได้ลงเล่นนัดชิงได้เป็นอย่างดี แถมใน 90 นาทีก็สามารถโขกทำประตูไปได้แล้วครั้งนึง น่าเสียดายที่ประตูนั้นโดนจับล้ำหน้าไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องยื้อกันจนถึงต่อเวลาอีก 30 นาที แต่บทคนจะยิงได้ยังไงมันก็ยิงได้ครับ สุดท้ายในนาทีที่ 118 บิ๊กเวิร์จก็ยังสามารถโหม่งประตูชัยประตูพาทีมเป็นแชมป์ลีก คัพสมัยที่ 10 ได้สำเร็จ และเป็น "แชมป์แรก" ของฟาน ไดจ์กในฐานะ "กัปตันทีม" อีกด้วย แทบจะไม่มีอะไรเพอร์เฟคไปกว่านี้แล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ชูอีกหลายๆ ถ้วยเลยในฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ยังคว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์อีกด้วย ทำให้ฟาน ไดจ์กนั้นได้รางวัล MOTM ในเกมนัดชิงไปแล้ว 3 ครั้ง ต่อจากเกมนัดชิงยูซีแอล ฤดูกาล 2018/2019 และเกมนัดชิงคาราบาว คัพ 2022 สุดท้ายนี้นี่คือสถิติของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กในเกมนัดชิงคาราบาว คัพ 2024 ครับลงเล่น 120 นาทีสัมผัสบอล 120 ครั้ง (มากที่สุดในเกมร่วมกับมาโล กุสโต)ผ่านบอล 101 ครั้ง (มากที่สุดในสนามและแม่นยำ 91.1%)ชนะการดวล 7 ครั้งชนะการแทคเกิล 3 ครั้งดักบอล 2 ครั้งเคลียร์บอล 7 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)บล็อคลูกยิง 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)เอาบอลกลับมาครอง 6 ครั้งคีย์พาส 2 ครั้ง1 คลีนชีท1 ประตูชัย1 รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์นับ 1 โปรเจคต์ 4 แชมป์อำลาคล็อปป์นับตั้งแต่ที่เยอร์เกน คล็อปป์ประกาศว่าเขาจะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ซึ่งเขาประกาศในตอนที่ทีมกำลังมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ทำให้หลายๆ สื่อหรือหลายๆ คนเริ่มผุดความคิดโปรเจคต์ " 4 แชมป์" กลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นการอำลาคล็อปป์แบบยิ่งใหญ่ โดยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลิเวอร์พูลมีลุ้นในการเป็นแชมป์ 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว เพราะก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2021/2022 ลิเวอร์พูลก็เคยคั่ว 4 แชมป์ไปจนถึงนัดสุดท้ายของแต่ละรายการมาแล้ว โดยในฤดูกาลนั้นก็สามารถคว้ามาได้ 2 แชมป์ คือ คาราบาว คัพและเอฟเอ คัพ ส่วนพรีเมียร์ลีกแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตีเพียง 1 คะแนนและในยูฟา แชมเปียนส์ลีกก็แพ้ต่อเรอัล มาดริดไป 0-1ซึ่งในตอนนี้โปรเจคต์ 4 แชมป์นั้นมันได้เริ่มนับ 1 ไปแล้ว แถมอีก 3 รายการก็ยังอยู่ในเส้นทางเหมือนกัน เอฟเอ คัพนั้นในรอบต่อไปต้องเจอกับเซาแธมป์ตันที่อยู่ในแชมเปียนชิพ, ยูโรปา ลีกก็เจอกับสปาร์ตา ปาร์ก และพรีเมียร์ลีกก็นำเป็นจ่าฝูงอยู่ มันเลยทำให้หลายๆ คนคิดว่าลิเวอร์พูลอาจจะคว้า 4 แชมป์ส่งท้ายเยอร์เกน คล็อปป์ก็ได้แต่ส่วนตัวผมแล้วไม่จำเป็นต้องมี 4 แชมป์เพื่ออำลาบอสอันเป็นที่รักเลย ใจจริงขอแค่แชมป์พรีเมียร์ลีกแชมป์เดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะในฤดูกาล 2019/2020 ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมันดันตรงกับช่วงที่โควิดมันกำลังระบาดอย่างหนัก ในครั้งนั้นการเฉลิมฉลองแชมป์มันกร่อยสุดๆ ฉลองได้กันแค่ในสนาม ฉลองได้แค่นักเตะและทีมงานด้วยกันเอง ไม่ได้ออกมาแห่ฉลองแบบที่ควรจะเป็น ในฤดูกาลนี้มันจึงหวังเพียงแค่ได้เห็นคล็อปป์ขึ้นรถแห่ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกแค่นั้น เพราะก่อนหน้านี้ที่ได้ขึ้นรถบัสเปิดประทุนฉลองแชมป์นั้นก็เป็นแชมป์ยูซีแอลในปี 2019 แล้วดับเบิลแชมป์บอลถ้วยในประเทศในปี 2022 ขาดเพียงแค่แชมป์พรีเมียร์ลีกถ้วยเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ร่วมฉลองกับแฟนๆ ในเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งกัปตันทีมอย่างฟาน ไดจ์กได้บอกในห้องแต่งตัวในช่วงฉลองแชมป์ว่า "เรายังไม่จบแค่นี้" เพิ่มความฮึกเหิมและเติมไฟให้กับทีมและแฟนบอลเข้าไปอีกซึ่งสุดท้ายหากมันจะพลาดอีก 3 แชมป์ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ก็คงเสียดายเป็นธรรมดาแหละ แต่คงไม่เสียใจอะไร เพราะอย่างน้อยฤดูกาลสุดท้ายของคล็อปป์กับทีมก็ไม่ได้จบด้วยมือเปล่า อย่างน้อยก็มีแชมป์ติดมืออยู่บ้าง ถึงมันจะเป็นถ้วยเล็กหรือถ้วยที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรก็เถอะ แต่ถ้ามันจะมีลุ้นยันนัดสุดท้ายของแต่ละรายการก็ขอเชียร์ให้มันสุดหัวใจ ส่งกำลังใจให้นักเตะทำให้เต็มที่สุดแล้วมาดูกันว่าเมื่อจบฤดูกาลว่าจะได้กี่แชมป์อำลาส่งท้ายให้กับ "เยอร์เกน คล็อปป์"สถิติหลังเกมที่น่าสนใจลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีก คัพได้เป็นสมัยที่ 10 กลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นสมัยที่ 2 ของเยอร์เกน คล็อปป์ซึ่งมีเพียง "ปู่บ๊อบ" บ๊อบ เพสลีย์ที่ทำได้มากกว่าคล็อปป์ที่ 3 สมัยเชลซีแพ้ในรอบชิงลีก คัพใน 3 ครั้งหลังสุดที่เข้าชิง (2019, 2021 และ 2024) หลังจากที่ก่อนหน้านั้นในช่วงระหว่างปี 1965 ถึง 2015 พวกเขาแพ้นัดชิงลีก คัพเพียง 2 ครั้งเท่านั้นจากการเข้าชิง 7 ครั้งเชลซีกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่แพ้เกมนัดชิงฟุตบอลถ้วยในประเทศถึง 6 ครั้งติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่ 2019 (ลีก คัพ), 2020 (เอฟเอ คัพ), 2021 (เอฟเอ คัพ), 2022 (เอฟคัพ และลีก คัพ) และ 2024 (ลีก คัพ)เมาริซิโอ โปเช็ตติโนชนะในการดวลกับเยอร์เกน คล็อปป์เพียง "ครั้งเดียว" จากการเจอกัน 14 เกมโดยที่เหลือจะเป็นเสมอ 5 แพ้ 8 และไม่สามารถเอาชนะได้เลยตลอด 8 เกมที่ผ่านมา ชัยชนะครั้งล่าสุดที่ชนะต้องย้อนไปในตุลาคม 2017 ที่ชนะด้วยสกอร์ 4-1 ในสมัยที่เขายังคุมท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ลิเวอร์พูลต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษของนัดชิงลีก คัพตลอดการเข้าชิง 5 ครั้งหลังสุด (2005, 2012, 2016, 2022 และ 2024) และจากการเข้าชิง 11 ครั้ง พวกเขาได้เล่นที่สนามเวมบลีย์ไปถึง 9 ครั้งประตูที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กโหม่งได้ในวันนี้ในนาทีที่ 118 กลายเป็นประตูชัยที่มาช้าที่สุดนับตั้งแต่ที่ไบรอัน ลิตเติลของแอสตัน วิลลาเคยทำไว้ในนัดชิงลีก คัพปี 1977 ในนาทีที่ 119 ในเกมที่พบกับเอฟเวอร์ตันหลังจากที่ที่ลงเล่นให้กับทีมมา 252 เกม เป็นครั้งแรกที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กทำประตูได้ 2 เกมติดต่อกันในการเล่นให้กับลิเวอร์พูล (เกมที่พบกับลูตัน ทาวน์และเกมที่พบเชลซีนี้)ฟาน ไดจ์ก กลายเป็นนักเตะคนแรกของลิเวอร์พูลในรอบ 35 ปีที่สามารถทำประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษให้กับทีมได้ในเกมนัดชิงของฟุตบอลในประเทศต่อจากเอียน รัชที่เคยยิงได้ในเกมนัดชิงเอฟเอ คัพที่เจอกับเอฟเวอร์ตันในปี 1989เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลที่ 11 ผู้เล่นตัวจริงมีถึง 3 คนด้วยกันที่มีอายุ 21 ปีหรือน้อยกว่าที่ออกสตาร์ทตัวจริงในนัดชิงฟุตบอลรายการเมเจอร์ ประกอบไปด้วย ไรอัน กราเฟนแบร์ก (21 ปี), คอเนอร์ แบรดลีย์และฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (20)การลงเล่นของเจย์เดน แดนน์ส (18 ปี), บ๊อบบี คลาร์กและเจมส์ แม็คคอนเนลล์ (อายุ19 ปี) ทั้งคู่ในเกมนัดชิงเกมนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่มีนักเตะดาวรุ่ง (ต่ำกว่า 20 ปี) ลงเล่นในนัดชิงลีก คัพเยอะที่สุดต่อจากอาร์เซนอลที่ลงเล่นไป 4 คนในปี 2007 (วอลค็อตต์, ฟาเบรกาส, เดนิลสันและตราโอเร)เอ็นโซ เฟอร์นันเดซออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับเชลซีเป็นเกมที่ 50 แล้ว (รวมทุกรายการ) ทำให้กลายเป็นนักเตะที่ออกสตาร์ทตัวจริงให้กับเชลซีมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เดบิวต์กับทีมในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 หรือกุมภาพันธ์ปีที่แล้วนี่เองในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลมีสถิติในการเปลี่ยนแปลง 11 ผู้เล่นตัวจริงในทุกรายการที่ลงแข่งไปแล้ว 217 ครั้ง (ตำแหน่ง) มากกว่าทีมอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีก 54 ครั้ง โดยทีมพรีเมียร์ลีกที่เปลี่ยนแปลงไลน์อัพตัวจริงเยอะรองลงมาจากลิเวอร์พูลก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตีที่ 163 ครั้งจากการแอสซิสต์ของคอสตัส ซิมิคาส ทำให้หากนับทุกรายการแข่งขัน ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมจากพรีเมียร์ลีกที่ตัวสำรองมีส่วนกับประตูมากที่สุดในฤดูกาลนี้ที่ 40 ประตู ทิ้งห่างอันดับที่ 2 อย่างอาร์เซนอลถึง 18 ประตู โดยอาร์เซนอลมีตัวสำรองที่มีส่วนกับประตูอยู่ที่ 22 ประตูในช่วงศตวรรษนี้มีนักเตะเอเชียเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนัดชิงลีก คัพและสุดท้ายได้แชมป์ไปครอง ประกอบไปด้วย ปาร์ค จี-ซอง (2006 และ 2010), คี ซุง-ยอง (2013) และวาตารุ เอ็นโดะ (2024)บทความที่เกี่ยวข้องครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วน!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ ลูตัน ทาวน์10 อันดับการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลในยุคเยอร์เกน คล็อปป์ลิเวอร์พูล, แมนซิตี้หรืออาร์เซนอล!!!? วิเคราะห์ใครจะเข้าวินแชมป์พรีเมียร์ลีกเอลเลียตต์เปลี่ยนเกม, เทรนท์ไม่ฟิต!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ เบิร์นลีย์โคตรพีค 10 อันดับกองหน้าที่คมที่สุด ในพรีเมียร์ลีกของ หงส์แดง ลิเวอร์พูลขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta Analyst, Squawka และ WhoscoredOfficial Instagram ของเชลซี (@chelseafc)Official Facebook ของลิเวอร์พูลและคาราบาว คัพภาพปก, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !