จบลงไปเรียบร้อยครับ สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งทวีปยุโรป หรือ ศึกยูโร 2020 (ที่เตะจริงปี 2021) โดย อิตาลีเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ด้วยการเอาชนะอังกฤษด้วยการชนะจุดโทษ 3-2 ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับทีมชาติอังกฤษ เพราะนัดชิงได้เล่นในสนามเวมบลี่ย์ สนามเหย้าของพวกเขาเอง ได้เสียงเชียร์จากแฟนบอลเกือบ 8 หมื่นคน แต่สุดท้ายความได้เปรียบกลับกลายเป็นความกดดันซะเองและ จุดโทษก็ยังเป็นอาถรรพ์ของทีมชาติอังกฤษอยู่ดี ประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงคือ ผู้จัดการทีม อย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต ยังมีความเหมาะสมกับการคุมทีมต่อหรือไม่แม้ทัวร์นาเมนต์นี้จะผลงานดีไม่แพ้ทีมใดเลยในเวลา แต่พอถึงรอบชิงชนะเลิศที่มีความสำคัญถึงแชมป์ กลับมีความผิดพลาดมากมายที่เห็นชัด ดังนั้นในฟุตบอลโลกปี 2022 เขาสมควรจะได้คุ้มทีมต่อหรือไม่ มาลองพิจราณาดูข้อดีของ แกเร็ธ เซาธ์เกตกันซักหน่อย 1. สร้างสปริตในทีมได้ เซาธ์เกต ถือเป็นผู้จัดการทีมอีกหนึ่งคนที่มีการบริหารจัดการนักเตะภายในทีมได้ดี ไม่มีปัญหากับนักเตะตัวเก๋า หรือนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ในทีมที่อยู่กับทีมสโมสรใหญ่ เช่น กรณีที่แจ็ก กรีลิช ในเกมรอบรอง ชนะเลิศกับเดนมาร์ก ที่ถูกเปลี่ยนตัวออก ทั้งๆที่พึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาเป็นตัวสำรอง แต่กลับมีบทสัมภาษณ์ว่า แจ็ก บอกกับ เซาร์เกต ว่าไม่มีปัญหา ซึ่งหากเป็นผู้จัดการทีมที่คุมห้องแต่งตัวไม่อยู่ อีโก้ของนักเตะระดับกัปตันสโมสร ย่อมสร้างปัญหาให้กับสปริตในทีมเป็นแน่ 2 มีส่วนการวางระบบตั้งแต่ต้น แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำงานกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2013 โดย เริ่มคุมทีมชาติชุด ยู 21 และได้คุมทีมชาติชุดใหญ่เมื่อปี 2016 ทำให้ เซาธ์เกต มีความเข้าใจ ในการทำงานกับนักเตะอายุน้อย ที่เป็นวัยหนุ่ม รวมถึงยังสามารถประสานงานด้านการทำงานกับทีมสตาฟโค้ช ชุดเยาวชนได้อย่างดี ที่ชาติอังกฤษจึงมีความต่อเนื่องของนักเตะที่ถูกดันขึ้นมาจากชุดเยาวชนและพัฒนาเป็นกำลังหลักของทีมชาติชุดใหญ่ 3. มีการเล่นเกมรับที่รัดกุมขึ้น ทีมชาติอังกฤษชุดนี้มีการเน้นเกมรับให้รัดกุมไม่ได้เล่นสนุกบุกแหลกเหมือนอย่างเคย ซึ่งจะเลือกใช้เป็นมิดฟิลด์ กองกลางตัวรับคู่ ไม่ว่าจะเป็นหลังสามหรือหลังสี่ ส่งผลให้ทีมชาติอังกฤษเสียประตูน้อยมาก ในทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา โดยเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น ไม่บุกเพลินจนโดนสวนกลับแล้วตกรอบเหมือนในอดีตที่ผ่านมา 4. ผลงานจับต้องได้ นับตั้งแต่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้คุมทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ถือว่าเขาสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ซึ่งก้าวขึ้นไปจบอันดับ 4 ของทัวร์นาเมนต์ ขณะที่ปีต่อมาการแข่งขัน ยูฟ่า เนชันส์ ลีก 2018-19 ก็สามารถพาทีมคว้าอันดับ 3 ครองได้ และการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2020 ที่ผ่านมาก็มาไกลจนถึงเข้าชิงชนะเลิศ รวมถึงยังสามารถพาทีมเอาชนะทีมคู่อริตลอดการอย่างทีมชาติเยอรมัน ได้อีกด้วย 5. เลือกนักเตะตามฝีเท้า ถึงแม้จะมีประเด็น ดราม่าในตอนแรกก่อนตัดตัวผู้เล่น ในตำแหน่งแบ็คขวา แต่นอก จากนั้นถือว่านักเตะทุกคนที่เรียกมามีความสมดุลและเข้าใจได้ และมีนักเตะจากสโมสรขนาดกลางหรือเล็กที่ทำผลงานในพรีเมียร์ลีกได้ดี ติดทีมมาด้วยไม่ได้เน้นแต่นักเตะชื่อดัง ทำให้ทีมชาติอังกฤษชุดนี้มีนักเตะถูกเรียกมาจาก สโมสรถึง 13 สโมสร ได้แก่ แมนฯซิตี้, เชลซี, แมนยูฯ, ลิเวอร์พูล, เวสต์แฮม, ลีดส์ ยูไนเต็ด, ดอร์ทมุนด์ , แอตฯมาดริด, เอฟเวอร์ตัน, เวสต์บรอมวิช อัลเบียน, วูล์ฟแฮมป์ตัน, แอสตัน วิลลา , อาร์เซนอล อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว สุดท้ายผู้ที่ตัดสินใจก็ต้องเป็น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ FA และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรในฐานะแฟนบอลก็ขอให้ทีมชาติอังกฤษประสบความสำเร็จสมหวังได้ซักที บท่ความโดย หนึ่งเดียว เครดิตภาพ Facebook SoccerSociety : ภาพปก Facebook EURO2020 : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !