วินาทีนี้ในบรรดากองกลางระดับท็อปของโลกคงไม่มีใครฟอร์มแรงเกินไปกว่า ดาวรุ่งสัญชาติอังกฤษคนนี้อีกแล้ว ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง "จู๊ด เบลลิงแฮม" กองกลางของ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด โคตรทีมจากสเปนที่ในฤดูกาลนี้เขาเพิ่งย้ายมาฤดูกาลแรกจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วยค่าตัว 103 ล้านยูโรและในช่วงที่พักเบรคทีมชาติแบบนี้ผมก็ถือโอกาสนำบทความที่เขียนถึงน้องจู๊ดมาฝากคุณผู้อ่านซักหน่อย โดยเป็นบทความจาก Opta Analyst ที่เขียนน้องจู๊ด เนื้อหาจะเป็นยังไง ไปดูกันเลยครับแต่ก่อนจะไปดูเนื้อหาบทความที่ผมนำมาฝาก ผมขออนุญาตนำประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของจู๊ดมาพูดถึงซักนิดหน่อยนะครับจู๊ด เบลลิงแฮมนั้นเกิดวันที่ 29 มิถุนายน 2003 ที่ย่านสเตาบริดจ์ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ มีน้องชาย 1 คนชื่อโจ๊บ เบลลิงแฮม เป็นนักฟุตบอลเช่นเดียวกัน เขาเป็นเด็กฝึกเป็นลูกหม้อของทีมเบอร์มิงแฮม ซิตีเลยก็ว่าได้ เขาเป็นดาวรุ่งที่ไม่ได้โด่งดังเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้เล่นอยู่ในลีกสูงสุดหรือในพรีเมียร์ลีกเลย (แต่มีการจับตามองจากยักษ์ใหญ่อยู่ตลอด) แต่เขากลายเป็นที่โด่งดังเมื่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยักษ์ใหญ่ของบุนเดสลีกามาซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 11 ล้านยูโร (25 ล้านปอนด์) ในฤดูกาล 2020/2021 ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุครบ 17 ปีเองแถมยังเพิ่งขึ้นชุดใหญ่มาได้เพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้น แต่เขาย้ายไปต่างแดนต่างลีกด้วยค่าตัวเกือบ 30 ล้านปอนด์ มันกลายเป็นค่าตัวสถิติที่เบอร์มิงแฮมได้รับในการขายนักเตะเลยถึงขั้นเบอร์มิงแฮม "ยกเลิกเบอร์เสื้อ" หมายเลข 22 ของเขาให้เลย เพราะจำนวนเงินนี้มันยังช่วยให้สถานะการเงินของสโมสรดีขึ้นอีกด้วย และหลังจากนั้นก็มีแต่ความมหัศจรรย์ครับจนสุดท้ายเขาได้ย้ายไปร่วมทัพราชันชุดขาวในฤดูกาลนี้ส่วนสถิติกับทีมชาติอังกฤษนั้น เขาติดทีมชาติอังกฤษมาทุกชุด ไล่ตั้งแต่ U-15 ถึง U-21 จนถึงทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ลงเล่นให้กับชุดใหญ่ไปแล้ว 25 เกม ยิงได้ 1 ประตูกลับมาสู่เนื้อหาของบทความของเรากันดีกว่าครับ ถ้าหากจะให้เรานึกภาพถึงเด็กดาวรุ่งอังกฤษคนนึงที่อายุยังไม่ถึง 18 ขวบเลยแต่ต้องย้ายไปเล่นในต่างประเทศด้วยค่าตัวสถิติของสโมสรที่ขาย เราแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าคนสุดท้ายก่อนหน้าจู๊ดจะเป็นใคร จู๊ดนั้นคือ "ปรากฎการณ์" ของวงการฟุตบอลอังกฤษเลยก็ว่าได้นะครับ เขาย้ายไปเยอรมัน ต้องไปต่อสู้กับบาเยิร์น มิวนิคทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขายังเพิ่งขึ้นมาชุดใหญ่ของเบอร์มิงแฮมได้เพียงฤดูกาลเดียว เขาย้ายมาเปลี่ยนที่รักของแฟนๆ รวมไปถึงได้เป็นกัปตันของทีมด้วย ในฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขา (ฟุตบอลโลก 2022) เขาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและสุดท้ายจบฤดูกาลที่ผ่านมาเขาก็ได้ย้ายไปโคตรทีมของโลกฟุตบอลอย่างเรอัล มาดริดอีก กราฟชีวิตมีแต่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น แถมมากไปกว่านั้นถ้าใครสังเกตจะเห็นได้ว่าจู๊ดนั้นเลือกสวมใส่เสื้อหมายเลข 5 ถ้าใครจำได้จะรู้เลยว่าเบอร์ 5 คือหมายเลขหนึ่งในตำนานของทีมและของโลกลูกหนังนี้อย่าง "ซีเนดีน ซีดาน" แต่ละอย่างโคตรกดดันจู๊ดเลยยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปนั้นล้วนแล้วแต่ต้องการตัวจู๊ดเบลลิมแฮมมาร่วมทีมทั้งนั้น ทีมที่มีข่าวหนักที่สุดคงหนีไม่พ้น "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่ในฤดูกาลที่แล้วมีข่าวด้วยกันตลอดทั้งฤดูกาล แฟนๆ มโนกันไปแล้วว่าได้ตัวแน่ๆ หงส์แดงพร้อมทุบคลังคว้าตัวมา ไหนจะมีจังหวะให้ชวนจิ้นกันด้วยตอนบอลโลกที่จอร์แดน เฮนเดอร์สันที่ตอนนั้นยังอยู่กับลิเวอร์พูล รวมไปถึงเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ดูสนิทสนมกับจู๊ดเป็นสนิทจนหวังให้ทั้งคู่เป็นเอเยนต์ช่วยจีบให้จู๊ดย้ายมาร่วมทีมด้วย แต่สุดท้ายก็แห้ว ฝันสลายไปตามๆ กันเพราะ 103 ล้านยูโรที่เรอัล มาดริดจ่ายไปให้ดอร์ทมุนด์ (อาจจะไปถึง 134 ล้านยูโร) นั้นเพียงพอให้เจ้าตัวย้ายไปร่วมทัพด้วย แถมเจ้าตัวก็ได้ออกมาบอกแล้วว่าความจริงแล้วเขาเลือกเรอัล มาดริดตั้งแต่หลังจบเกมชิงชนะเลิศของยูฟา แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2021/2022 แล้วและค่าตัวระดับ 100 ล้านยูโรก็ทำท่าที่จะคุ้มตั้งแต่เกมแรกที่จู๊ดลงเล่นในลาลีกา สเปนแล้ว เพราะเขาสามารถยิงประตูแรกได้เลย แถมยังเป็นประตูชัยให้กับทีมอีกด้วยในเกมที่ชนะเรอัล มาดริดชนะเกตาเฟในถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิว แต่นั่นเป็นเพียงเหมือนการจิบน้ำชาก่อนเริ่มมื้ออาหารครับ เพราะหลังจากนั้นอีก 3 เกมเขายิงได้ทุกเกมแถมมีแอสซิสต์ด้วย สรุป 4 เกมในลาลีกาก่อนเบรคทีมชาติ เขายิงไปแล้ว 5 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ขึ้นนำแบบเดี่ยวๆ ในตำแหน่งดาวซัลโวลีกจู๊ดกลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของลา ลีกา สเปนยุคศตวรรษที่ 21 ที่ใน 4 เกมแรกสามารถยิงประตูได้ทุกเกม ต่อจากซลาตัน อิบราฮิโมวิชและคริสเตียโน โรนัลโดในฤดูกาล 2009/2010 และเชสก์ ฟาเบรกาสในฤดูกาล 2011/2012 นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในสามนักเตะร่วมกับ CR7 และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกีที่ใน 4 เกมเขาสามารถยิงไปได้ 5 ประตู มีเพียงราดาเมล ฟัลเกาเท่านั้นที่จำนวนนัดนั้นน้อยกว่า (3 เกม) เหตุผลใดที่ทำให้จู๊ดฟอร์มดีขนาดนี้น่ะหรอ เรามีคำตอบครับเริ่มที่เหตุผลง่ายๆ เลยครับ เพราะเขานั้นมักจะพาตัวเองเข้าไปในพื้นที่สามารถทำประตูได้ครับ การสัมผัสบอลเฉลี่ยต่อเกมของเขา ณ ตอนนี้พื้นที่บริเวณหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งหรือบริเวณหัวกะโหลกนั่นคือจุดที่จู๊ดนั้นสัมผัสบอลมากที่สุด 9% บวกกับบทบาทและสไตล์การเล่นที่เขาได้รับมอบหมายให้เล่นด้วย การเล่นมิดฟิลด์แบบ Box to Box นั้นช่วยได้มากและคาร์โล อันเชล็อตติมักจะจับเขาเล่นในบทบาทของกองกลางเบอร์ 10 แถมนอกจากนี้เขาก็หมดห่วงในเรื่องของเกมรับไปได้พอสมควร เมื่อหันหลังไปเขายังมีมิดฟิลด์ระดับตำนานอย่างทั้งโทนี โครสและลูกา โมดริชอีก ไหนจะยิงมีออเรเลียน ชูอาเมนี, เอดูอาร์โด คามาแวงกา รวมไปถึงเฟเดริโก บัลเบร์เดที่คอยจัดการปัดกวาดให้อีก ทำให้เวลาจู๊ดเล่นเกมบุกนั้นแบบไม่ต้องพะวงด้านหลังเลย สามารถเล่นเกมรุกและวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษลุ้นทำประตูได้แบบหมดห่วงเลยผลงานของจู๊ดกับฤดูกาลสุดท้ายที่ดอร์ทมุนด์นั้น เขายิงไปได้ 8 ประตูจากการลงเล่น 31 เกมลีก แต่ในฤดูกาลนี้เขายิงไปแล้ว 5 ประตูในลาลีกา สเปน แถม 5 ประตูนี้มาจากจังหวะการยิงเพียง 10 ครั้งเท่านั้น ทำให้ค่า xG ของเขานั้นอยู่ที่ 1.8 และไม่มีนักเตะคนไหนใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปมีค่า xG นี้มากไปกว่าน้องจู๊ดอีกแล้วอันเช่นั้นให้ความไว้วางใจในการเลือกใช้งานจู๊ดสุดๆ เพราะมีเพียงดาวิด อลาบาคนเดียวเท่านั้นที่ลงเล่นด้วยจำนวนนาทีที่มากกว่า อลาบาลงเล่นไป 360 นาที ส่วนจู๊ดอยู่ที่ 351 นาที มีอีกสถิติที่น่าสนใจก็คือตลอดช่วงเวลาที่เล่นให้กับเบอร์มิงแฮม 44 เกม จู๊ดยิงไปได้เพียง 4 ประตูเท่านั้น แต่กับเรอัล มาดริดเพียง 5 เกมก็ยิงมากกว่าตอนที่เล่นในอังกฤษแล้ว นอกจากนี้สถิติในการสร้างสรรค์โอกาสก็มีเพียงโครสที่ทำได้มากกว่าที่ 11 ครั้ง ส่วนจู๊ดทำไป 9 ครั้ง รวมไปถึงสถิติการมีส่วนร่วมกับเกมรุก เขาก็รั้งอันดับที่ 2 ร่วมของสถิติในลาลีกา เขาอยู่ร่วมกับชูร์ส คุนเดของบาร์เซโลนาและยาโก อาสปาสของเซลตา บีโกที่ 28 ครั้ง โดยสถิติของจู๊ดแบ่งเป็นยิง 5 ประตู, สร้างสรรค์โอกาส 8 ครั้งและสร้างจังหวะยิง 12 ครั้ง เป็นรองเพียงเฟรงกี เดอ ยองของบาร์เซโลนาที่ทำไปได้ 30 ครั้ง นอกจากเขาจะครองบอลได้อย่างเหนียวแน่แล้ว การผ่านบอลของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน โอเคแหละถึงแม้อาจจะไม่ได้เทียบเท่าหลัก 90% อย่างโครส, ชูอาเมนี หรือคนอื่นๆ แต่เขาก็ยังมีเปอร์เซนต์ความแม่นยำที่สูงอยู่ดีระดับ 88.7% เลยทีเดียวแต่เดี๋ยวจะหาว่าเก่งแต่รุก รับไม่เอาเลย เกมรับของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าเกมรุกเลย ในฤดูกาลที่แล้วในบุนเดสลีกามีนักเตะเพียง 5 คนเท่านั้นที่มีโอกาสในการเข้าปะทะมากกว่าจู๊ด โดยสถิติของจู๊ดนั้นมีโอกาสการเข้าปะทะอยู่ที่ 76 ครั้ง (ชนะไป 55.3%) ส่วนในฤดูกาลนี้ที่เพิ่งเริ่มต้นไปได้เพียง 4 เกม เขามีโอกาสในการปะทะเพียง 3 ครั้งจาก 4 เกม แต่ 3 ครั้งนั้นเขาชนะไปได้ถึง 2 ครั้งว่ากันว่า "ความกดดัน" นั้นมักจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเจียรไนเพชรในวงการฟุตบอลขึ้นมา มีมานักต่อนักแล้วที่แบกความกดดันไม่ไหวจนกลายร่างจากดาวรุ่งอนาคตไกลกลายมาเป็นนักเตะธรรมดาหรือดาวรุ่งตลอดกาลก็มีมาแล้ว แต่ใครที่สามารถผ่านความกดดันระดับมหาศาลไปได้ก็ล้วนแล้วแต่กลายเป็นซุปตาร์ในโลกลูกหนังทั้งนั้น ซึ่งผมเชื่อว่าจู๊ดนั้นจะเป็นดาวรุ่งแบบหลังมากกว่า หลายๆ อย่างกดดันตั้งค่าตัว ระดับสโมสรที่อยู่ไปถึงเบอร์เสื้อที่สวมใส่นั้นดูเหมือนไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ผมมั่นใจได้เลยว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นโคตรนักเตะของฟุตบอลยุคใหม่เคียงคู่อย่างคีเลียน เอ็มบัปเป, วินิซิอุส จูเนียร์ และเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ได้อย่างแน่นอนขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Instagram ของจู๊ด เบลลิงแฮม (@judebellingham)ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5ภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !