จบการแข่งขันแมตช์ "แดงเดือด" ที่สนามแอนฟิลด์ วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม ด้วยสกอร์ที่แม้กระทั่งแฟนๆ ลิเวอร์พูล ยังคาดไม่ถึง ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดลอย 7-0ก่อนคิกออฟผมเป็นแฟน ลิเวอร์พูล คนหนึ่งที่มองว่า รูปเกมน่าเข้าทางฝั่ง ยูไนเต็ด มากกว่า เนื่องจาก ลิเวอร์พูล ต้องพยายามเอาชนะ เพื่อเข้าใกล้พื้นที่ท็อป 4 และวิธีการเล่นซึ่ง เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน แทบจะไม่เปลี่ยน คือ เพรสซิงสูง แดนหลังต้องขยับมาประมาณกลางสนาม เพื่อรักษาช่องไฟ หาก แมนฯ ยู รับแน่นๆ แล้วใช้ความเร็วของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ให้เกิดประโยชน์ ย่อมมีโอกาสได้ประตูมากกว่า บวกกับ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ยิ่งโดนก็ยิ่งเดิน เพื่อเอาคืนก็จะมีสิทธิ์เสียเพิ่มนอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่สู้กับ high line หรือภาษาบ้านเรียกว่า แดนหลังลอย ได้ดี เห็นจากเกม ยูโรปา ลีก เพลย์ออฟ กับ บาร์เซโลนา ทั้ง 2 เลก ซึ่งพวกเขาไม่แพ้ แดนหน้ามีสปีดทางตรงของ แรชฟอร์ด เป็นอาวุธ กับ คาเซมิโร ที่ตัดบอลได้ แล้วหาทางแทงบอลขึ้นแดนหน้า การจู่โจมของ "ปิศาจแดง" จึงไม่จำเป็นต้องเล่นมากจังหวะ หรือครองบอลเยอะๆ ก็สามารถลุ้นประตูได้แล้ว รูปเกมครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เริ่มต้นดีกว่า ครองบอลบุกเข้าใส่ แต่จังหวะจบไม่ได้มีความอันตรายจน ดาบิด เด เคอา นายทวาร ต้องออกแรงเซฟลูกยาก แตกต่างจาก ยูไนเต็ด ซึ่งโอกาสเข้าทำจะแจ้งกว่าทั้งลูกยิงไกลของ แอนโทนี, ลูกโหม่งของ บรูโน เฟร์นานเดส และลูกแปของ แรชฟอร์ด แต่กลายเป็นว่าความผิดพลาดครั้งเดียวของ ทีมเยือน เป็นเหตุให้ถูกลงโทษแมนฯ ยูไนเต็ด ตกเป็นรองจังหวะ ดิโอโก ดาโลต์ แบ็กขวาโปรตุกีส ถูกดึงออกจากตำแหน่ง เฟร็ด กับ ราฟาเอล วาราน ขยับมาซ้อนไม่ทัน เปิดโอกาสแก่ โคดี กักโป ยิงเสียบเสาไกล แถมยังเป็นการเสียประตูช่วงนาทีบาป (5 นาทีแรก และ 5 นาทีสุดท้ายของแต่ละครึ่ง) เชื่อว่าถ้าครึ่งแรกจบ 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด จะสามารถตั้งรับแล้วสวนได้ต่อไป ขณะที่ ลิเวอร์พูล จะยิ่งเดินเข้าหา แดนหลังจะยิ่งเกิดความหละหลวม พอเริ่มครึ่งหลังด้วยสกอร์ตาม 0-1 กลายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเดินเข้าหา บวกกับความเป็นทีมที่ไม่ได้มีความแน่นอนด้านการรับ-ส่งบอล พอถูกแดนหน้า ลิเวอร์พูล เข้าหาเร็ว ก็มักจ่ายบอลเสียบอลง่ายๆ ซึ่งนำไปสู่การเสียประตูที่ 2 และ คาเซมิโร ไม่สามารถตั้งบอลได้ พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิ่งเดินหน้าเพื่อเอาคืน กลับกลายเป็นเปิดพื้นที่ให้แนวรุก ลิเวอร์พูล สไตล์พุ่งไปข้างหน้า โจมตีง่ายขึ้น พอ เอริก เทน ฮาก กุนซือชาวดัตช์ ถอด 2 ตัวแบก คาเซมิโร กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ซึ่งคอยเก็บงานแทนเพื่อนๆ ออกมานั่งพัก เกมรับก็เสียกระบวนชัดเจน บางคอมเมนต์ตามโลกโซเชียลบอกว่า เทน ฮาก จัดตัวผิดพลาด แต่ก็อย่าลืมเสียว่า การถอย เวาท์ เวกฮอร์สท ศูนย์หน้า ถอยมายืนตำแหน่งเบอร์ 10 แล้วใช้ แรชฟอร์ด ที่มีความเร็ว เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จเมื่อเจอ บาร์ซา ดังนั้นโค้ชจึงพยายามไม่เปลี่ยนทีมและวิธีการบ่อยๆ แต่เมื่อเกมนี้ไม่ได้ผล ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาโจมตีพื้นที่หลังแบ็ก ซึ่งเปฺ็นทำเลทองสำหรับคู่ต่อสู้ของ ลิเวอร์พูล ดังนั้น เทน ฮาก ต้องตัดสินใจเปลี่ยน อเลฮันโดร การ์นาโช ลงมาโจมตี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เปลี่ยนลงมาตอนตามหลัง 2-3 ลูกไปแล้ว หรือบางทีเขาน่าจะเปลี่ยนตั้งแต่พักครึ่งส่วน ลิเวอร์พูล ดูกลับมาน่ากลัวและดุดันไม่เกรงใจใคร วิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ และแดนกลางตามเก็บบอลสองแล้วบุกต่อเนื่องเหมือนตอนลุ้น 4 แชมป์ฤดูกาลที่แล้ว แดนกลางตามเก็บบอลจังหวะสอง แล้วบุกกดดันต่อเนื่อง หรือพอเห็นคู่แข่งเปิดพื้นที่หลังแบ็กหรือมุมธง ก็สาดยาวหากโหม่งสกัดไม่ดี แดนกลางตามเก็บแล้วบุกต่อ นี่คือจุดเด่นที่ทำให้คู่ต่อสู้ต้านทาน ลิเวอร์พูล ลำบาก เพราะโดนบุกกระหน่ำแบบไม่ได้หายใจสุดท้ายจบเกม "แดงเดือด" มันก็แค่เกมๆ หนึ่ง ลิเวอร์พูล จะลุ้นท็อป 4 ก็ต้องรักษาความสม่ำเสมอ ตามสายตาของแฟน ลิเวอร์พูล อย่างผมยังคิดว่า ค่อยๆ ลุ้นไปเกมต่อเกม ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องแก้ไข แล้วพยายามรวมใจกันเพื่อตอบสนองเกมถัดไป ซึ่งจะดวลกับ รีล เบติส ศึกยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลก 1 วันพฤหัสบดีนี้ (9 มี.ค.) ภาพปกจาก twitter Liverpool FCภาพประกอบ 1 จาก twitter Liverpool FCภาพประกอบ 2 จาก twitter Liverpool FCภาพประกอบ 3 จาก twitter Liverpool FCภาพประกอบ 4 จาก twitter Liverpool FCส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !