กลับมาทำการแข่งขันกันในฤดูกาลใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึกการแย่งชิงความเป็น "เจ้ายุโรป" ยูฟา แชมเปียนส์ลีก หรือ UCL ประจำฤดูกาล 2023/2024 โดยทำการแข่งขันไปครบแล้ว 8 กลุ่มในนัดแรก มีเรื่องราวให้พูดถึงอยู่บ้าง เช่น การกลับมาเล่นฟุตบอลยุโรปครั้งแรกในรอบ 20 ปีของ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิล หรือในรอบ 6 ปีของ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอลกับรายการนี้ หรือจะเป็นการทำประตูในนาทีสุดท้ายของผู้รักษาประตูลาซิโออย่างอิวาน โพรเวเดลที่ช่วยให้ทีมตีเสมอแอต.มาดริดได้ แต่เพิ่งเริ่มเตะกันใหม่ก็ยังไม่ได้มีเรื่องให้พูดถึงเท่าที่ควรผมเลยขออนุญาตพาทุกคนย้อนอดีตไปดูว่าตลอดระยะเวลาตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก "ยูโรเปียน คัพ" มาเป็นยูฟา แชมเปียนส์ลีกหรือ Ucl 10 นักเตะหรือตำนานที่ยิงประตูได้มากที่สุด มีใครกันบ้าง ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆ คุณผู้อ่านน่าจะเดากันออกว่ามีใครกันบ้าง ผมเพียงแต่เอาพวกเขามารำลึกความหลังให้หายคิดถึงกันซักหน่อย จะมีใครกันบ้าง ไปดูกันเลยครับอันดับ 10: ฟิลิปโป อินซากี (46 ประตู)"จอมล้ำหน้า" นี่คือฉายาของกองหน้าระดับตำนานของอิตาลีอย่าง "ฟิลิปโป อินซากี" เขานั้นมักจะโดนจับล้ำหน้าบ่อยครั้งจนโดนล้อว่าเป็นกองหน้าที่ชอบล้ำหน้า แถมไม่ได้มีทักษะฟุตบอลอะไรที่โดดเด่นเลย แต่ถ้าหากกองหลังพลาดหรือเผลอเช็คล้ำหน้าไม่ดีเมื่อไหร่ล่ะก็ทีมของคุณจะโดนอินซากีทำลายกับดักล้ำหน้าหลุดเข้าไปยิงประตูแน่นอนโดยตลอดการลงเล่นในเวทีนี้พี่กุ้งลงเล่นให้กับ 2 สโมสรอย่าง "ม้าลาย" ยูเวนตุส และ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการค้าแข้งคงหนีไม่พ้นช่วงเวลาที่อยู่กับปีศาจแดงดำ ลงเล่นทั้งหมด 300 นัด ยิงได้ 126 ปะตูพี่กุ้งลงเล่น UCL ทั้งหมด 81 เกม แบ่งเป็น ยูเว่ 26 เกม (17 ประตู) มิลานอีก 55 เกม (29 ประตู) ฤดูกาลที่อินซากีระเบิดฟอร์มได้ดีที่สุดก็คือฤดูกาล 2002/2003 ลงเล่น 14 เกม ยิงไป 10 ประตู สุดท้ายในฤดูกาลนั้นเอซี มิลานก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 6 ส่วนตัวเองนั้นก็สามารถคว้าแชมป์นี้ไปได้ 2 สมัยซึ่งก็เป็นในช่วงที่เขาอยู่กับมิลานในฤดูกาล 2002/2003 และ 2006/2007อันดับ 9: อันเดร เชฟเชนโกและซลาตัน อิบราฮิโมวิช (48 ประตู)ตำนานศูนย์หน้าอันดับ 1 ของชาวยูเครนคนนี้คือเจ้าของรางวัลลูกบอลทองคำหรือ "บัลลงดอร์" ในปี 2004 เขาระเบิดฟอร์มให้กับเอซี มิลานที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาแล้วในการค้าแข้ง เขายิงให้มิลานไปทั้งหมด 175 ประตูจากการลงเล่น 322 เกมส่วนในเวทียูซีแอลเขาลงเล่นไป 100 เกมถ้วนแบบพอดิบพอดี โดยเขาลงเล่นให้กับ 3 สโมสร เริ่มจากดินาโม เคียฟ (26 เกม), เอซี มิลาน (59 เกม) และเชลซี (15 เกม) ฤดูกาลแรกที่เชฟเชนโกลงเล่นในรายการนี้คือฤดูกาล 1994/1995 ลงเล่นไป 2 นัด ยิงได้ 1 ประตู โดยเป็นการลงเล่นให้กับดินาโม เคียฟและในฤดูกาลสุดท้าย (2009/2010) ในรายการนี้ก็เป็นการลงเล่นให้กับดินาโม เคียฟเช่นกัน ลง 6 ยิง 1สำหรับฤดูกาลที่ดีที่สุดในการลงเล่นยูซีแอลของเชฟเชนโกคือฤดูกาล 2005/2006 ลงเล่นให้กับเอซี มิลาน 12 เกม ยิงได้ 9 ประตู ส่วนกับความสำเร็จในรายการนี้ก็เหมือนกับอินซากีที่ได้ 2 สมัยที่ช่วยให้มิลานคว้าแชมป์ได้สมัยที่ 6 และ 7 ในฤดูกาล 2002/2003 และ 2006/2007และมันช่างบังเอิญเสียจริงๆ ที่ศูนย์หน้าอีกคนที่ยิงได้เท่ากับเชฟเชนโกก็เป็นอีกหนึ่งตำนานของเอซี มิลานอย่าง "พระเจ้า" ซลาตัน อิบราฮิโมวิชที่เพิ่งประกาศรีไทร์ไป โดยซลาตันนั้นลงเล่นในรายการนี้ไปทั้งสิ้น 16 ฤดูกาล 124 เกมกับ 7 สโมสร ไล่ตั้งแต่ อาแจ็กซ์ (19 เกม), ยูเวนตุส (19 เกม), อินเตอร์ มิลาน (22 เกม), บาร์เซโลนา (10 เกม), เอซี มิลาน (20 เกม), เปเอสเช (33 เกม) และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1 เกม)ซลาตันนั้นถือว่าเป็นนักเตะพเนจรอีกคนนึง ค้าแข้งเกือบ 10 ทีมในยุโรปแต่เขานั้นก็สร้างอิมแพคได้ทุกทีมที่เขาไปอยู่ ใครจะบอกว่าเขาปากแซ่บ หยิ่งยโส (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ) เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้มีดีแค่ปาก เพราะฝีเท้าของเขาสุดยอดไม่แพ้กัน และฤดูกาลที่เขาทำผลงานได้ดีที่สุดในยูซีแอลก็คือฤดูกาล 2013/2014 ที่ลงเล่นให้กับปารีสฯ 8 เกม ยิง 10 ประตูซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะย้ายไปทีมระดับท็อปของยุโรปหลายทีม แต่เขาก็เหมือนกับยอดนักเตะหลายๆ คนที่ "ไม่เคย" ได้สัมผัสกับการเป็นแชมป์ในรายการนี้เลย และมันน่าเสียดายตรงที่ในฤดูกาล 2010/2011 ที่เป็นฤดูกาลเขาเพิ่งย้ายออกจากบาร์เซโลนากลับมาอยู่ในอิตาลีกับเอซี มิลานเป็นฤดูกาลแรกซึ่งสุดท้ายแชมป์ในฤดูกาลนั้นตกเป็นของเจ้าบุญทุ่มไปซะงั้น ถ้าหากเขาอดทนอยู่กับบาร์ซ่าอีกปีเดียว เขาก็จะได้มีถ้วยหูโตใบนี้ประดับการค้าแข้งของเขาแล้วอันดับ 8: เธียร์รี อองรี (50 ประตู)เจ้าของรูปปั้นหน้าสนามเอมิเรตส์ สเตเดียมของอาร์เซนอลนั้นเราคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความเก่งใดๆ ของเขาแล้ว สถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของอาร์เซนอลก็น่าจะการันตีเพียงพอแล้ว หรือการเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คนที่สามารถคว้าแชมป์ได้ครบทุกรายการเมเจอร์กับทั้งทีมชาติและสโมสร เสียดายแค่ว่าเขาไม่สามารถพาปืนใหญ่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ทั้งๆ ที่สามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้แล้วแท้ๆ ในฤดูกาล 2005/2006 แต่สุดท้ายก็อกหักพ่ายให้กับบาร์เซโลนาไปอย่างน่าเสียดายอองรีออกสตาร์ทการลงเล่นรายการนี้เป็นครั้งแรกได้อย่างยอดเยี่ยมกับโมนาโกในฤดูกาล 1997/1998 ลงเล่น 9 นัด ยิงไป 7 ประตู โดย ณ ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ก่อนที่ในฤดูกาล 1999/2000 เขาจะย้ายมาอังกฤษโดยตลอดการค้าแข้งกับอาร์เซนอล 9 ฤดูกาล เขายิงให้กับปืนใหญ่ไป 35 ประตู กลายเป็นเจ้าของสถิติยิงให้อาร์เซนอลมากที่สุดในรายการนี้และสุดท้ายเขาก็สมหวังกับการคว้าแชมป์รายการนี้ โดยเขาสามารถคว้าแชมป์ยูซีแอลร่วมกับบาร์เซโลนาในฤดูกาล 2008/2009 ที่ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้ 2-0อันดับ 7: โธมัส มุลเลอร์ (53 ประตู)เจ้าของรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้นั้นเป็นเพียงคนเดียวในบรรดานักเตะทั้งหมดของบทความนี้ที่ลงเล่นให้กับสโมสรเดียว หรือ One Club Man นั่นก็คือ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค และหลังจากที่ลงเล่นให้กับเสือใต้ในเกมที่เปิดบ้านชนะแมนยู 4-3 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ทำให้เขาลงเล่นในรายการนี้ไปแล้ว 16 ฤดูกาลติดต่อกันก่อนหน้านี้ 15 ฤดูกาล มุลเลอร์ยิงได้ทุกฤดูกาล ขาดเพียงฤดูกาล 2008/2009 ที่เขาไม่สามารถยิงได้ซึ่งนั่นก็คือซีซั่นแรกที่เขาลงเล่นในถ้วยนี้ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 143 เกมในยูซีแอล ยิงได้ 53 ประตู 23 แอสซิสต์ สถิตินี้เขาคือนักเตะเยอรมันที่ทำประตูได้มากที่สุดในรายการนี้ แถมทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างมาริโอ โกเมซถึง 2 เท่า (26 ประตู)มุลเลอร์นั้นสามารถคว้าแชมป์ยูซีแอลได้ถึง 2 สมัย ได้แก่ ฤดูกาล 2012/2013 และ 2019/2020อันดับ 6: รุด ฟาน นิสเตลรอย (56 ประตู)"พี่ม้า" นั้นก็คือหนึ่งในสุดยอดนักเตะที่ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้เช่นเดียวกับซลาตันทั้งๆ ที่ได้อยู่ร่วมทีมระดับท็อปของยุโรป ทั้งๆ ที่ฟาน นิสเตลรอยอยู่กับทั้งแมนยูและเรอัล มาดริด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสุดยอดและความเป็นตำนานของรุดฟานนั้นด้อยค่าลงไปเลย เขายังคงเป็นหนึ่งในสุดยอดกองหน้าของโลกลูกหนังเหมือนเดิมเขาประเดิมสนามในเวทียุโรปใบใหญ่ที่สุดนี้กับพีเอสวี ไอโฮเฟนในฤดูกาล 1998/1999 โดยลงเล่นไป 5 เกม สามารถยิงได้ 5 ประตู ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทัพปีศาจแดงในฤดูกาล 2001/2002 และเขาก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผีแดงผิดหวัง หลังจากลงเล่น 14 เกม ยิงไปถึง 10 ประตู และในฤดูกาลถัดมาก็ลงเล่น 9 เกมแต่สามารถยิงได้ถึง 12 ประตูอย่างที่บอกครับว่าถึงแม้พี่ม้าจะไม่เคยสัมผัสการเป็นแชมป์รายการนี้ แต่ความเป็นสุดยอดกองหน้าของเขาก็ไม่ได้ถูกด้อยค่าลงไปก็เพราะเขายังถือครองสถิติที่ยังไม่มีคนทำลายลงได้ เริ่มจากการเป็นนักเตะที่ยิงได้ถึง 50 ประตูด้วยจำนวนนัดน้อยที่สุดที่ 62 เกม นอกจากนี้ 35 ประตูจาก 56 ประตูที่ยิงได้เป็นการยิงให้กับแมนยู ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงให้กับแมนยูมากที่สุดในรายการนี้ ตามมาด้วยเวย์น รูนีย์และไรอัน กิกส์ (30 และ 28 ประตูตามลำดับ)อันดับ 5: ราอูล กอนซาเลซ (71 ประตู)"เจ้าชายชุดขาวน้ำเงิน" สาเหตุที่ผมเรียกราอูลด้วยฉายานี้ก็เพราะว่าเขาเป็นทั้งตำนานของ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริดและ "ราชันสีน้ำเงิน" ชาลเก 04 เขาเป็นตำนานขนาดไหนน่ะหรอ? ก็ขนาดที่ว่าคริสเตียโน โรนัลโดย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริดในฤดูกาล 2009/2010 ก็ยังไม่สามารถใส่เสื้อ "หมายเลข 7" ที่เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าแข้งของพี่โด้ได้เลย เนื่องจากราอูลนั้นเป็นเจ้าของอยู่ ต้องรอให้ราอูลย้ายไปร่วมทีมชาลเกก่อนถึงจะได้สวมเสื้อหมายเลข 7 หรือแม้กระทั่งตอนที่ราอูลย้ายออกจากชาลเก สโมสรถึงขั้นรีไทร์หมายเลข 7 ที่เขาใส่เลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นก็มีการยกเลิกการรีไทร์ไปราอูล กอนซาเลซนั้นคือเจ้าของสถิตินักเตะสเปนที่สามารถยิงในยูซีแอลได้มากที่สุด ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างเฟอร์นานโด มอริเอนเตสถึง 2 เท่า (33 ประตู), เป็นอันดับที่ 3 ของนักเตะเรอัล มาดริดที่ยิงได้มากที่สุดในยูซีแอล (66 ประตู) และก่อนหน้านี้ก่อนที่คริสเตียโน โรนัลโดและลีโอเนล เมสซีจะกลายร่างเป็นมนุษย์ต่างดาวก็มีราอูลนี่แหละที่ครองสถิติยิงเยอะสุดในยูซีแอล สุดท้ายสถิติก็โดนทำลายในเดือนพฤศจิกายน 2014 ราอูลเป็นนักเตะเรอัล มาริดคนแรกที่ยิงได้ถึง 50 ประตูในรายการนี้ (2005/2006)และในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับรายการนี้ก็คือการลงเล่นให้กับชาลเก 04 ฤดูกาล 2010/2011 เขายิงไป 5 ประตูทั้งๆ ที่เขาอายุ 33 ปีเข้าไปแล้ว สรุปผลงานของราอูล กอนซาเลซกับเวทียูฟา แชมเปียนส์ลีก เขาลงเล่นไป 142 เกม (เรอัล มาดริด 130 เกมและชาลเก 12 เกม) ยิง 71 ประตู คว้าแชมป์ได้ 3 สมัยอันดับ 4: คาริม เบนเซมา (90 ประตู)"คิงคาริม" เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์คนล่าสุด (2022) ซึ่งในฤดูกาลนี้เราไม่ได้เห็นเขาลงเล่นในเวทีนี้อีกแล้ว หลังจากที่ย้ายไปร่วมทีมอัล-อิตติฮัดในซาอุดิ โปรลีก แต่เขาก็ได้ฝากผลงานการยิงประตูในถ้วยหูโตนี้ไว้ถึง 90 ประตูเบนเซมานั้นคือดาวรุ่งที่พุ่งโคตรแรงของโอลิมปิก ลียงในยุคที่เราเรียกว่า "ลียงลงเป็นยิง" นั่นแหละครับ เขาประเดิมการลงเล่นรายการนี้ในฤดูกาล 2005/2006 กับลียง เขาลงเล่นไปทั้งหมด 18 ฤดูกาลติดต่อกันกับถ้วยนี้และไม่มีซักฤดูกาลเลยเขาจะยิงประตูไม่ได้ เขายิงประตูได้ทุกฤดูกาล แบ่งเป็นยิงให้ลียง 12 ประตู และเรอัล มาดริดอีก 78 ประตูจากการลงเล่น 152 เกมโดยฤดูกาลที่คิงคาริมนั้นสามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยแรกก็คือฤดูกาล 2013/2014 ในยุคสามประสาน "BBC" แต่ถ้าหากจะถามว่าฤดูกาลไหนที่เขาสุดยอดที่สุดก็คงหนีไม่พ้น 2 ฤดูกาลก่อน (2021/2022) ที่เขาเป็นดาวซัลโวของรายการนี้เลยแถมเป็นครั้งแรกด้วยที่เจ้าตัวเป็นดาวซัลโวรายการนี้ เขายิงไป 15 ประตู พาเรอัล มาดริดโกงความตายท้ายเกมถึง 3 เกมติดต่อกันไล่ตั้งแต่เปเอสเช (รอบ 16 ทีม), เชลซี (รอบ 8 ทีม) และแมนซิตี้ (รอบรองฯ) ก่อนที่จะช่วยให้เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูซีแอลสมัยที่ 14 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ผลงาน 78 ประตูที่ยิงให้ราชันชุดขาวทำให้เขากลายเป็นอันดับ 2 ของนักเตะเรอัล มาดริดที่ยิงได้เยอะที่สุดในรายการนี้ เป็นรองเพียงคริสเตียโน โรนัลโด และคว้าแชมป์ไปได้ 5 สมัยอันดับ 3: โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (92 ประตู)เลวานดอฟสกีคืออีกกองหน้าที่กำลังจ่อสถิติการยิงครบ 100 ประตูในรายการนี้ แต่ด้วยที่อายุ 35 ปีแล้วกับอีกการต้องการอีก 8 ประตูนั้นมันช่างดูยากเย็นเหมือนกันนะ แต่ระดับเลวานนั้นไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เอาใจช่วยเหมือนกันครับ อยากให้แกยิงได้แตะหลักร้อยเหมือนกันในฤดูกาลที่แล้ว (2022/2023) เขาพยายามเค้นฟอร์มอย่างสุดความสามารถแล้ว เล่น 5 เกม ยิง 5 ประตูให้กับบาร์เซโลนาแต่น่าเสียดายที่เจ้าบุญทุ่มไม่สามารถเข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ต้องตกลงไปเล่นในยูโรปา ลีก แต่ 5 ประตูนั้นก็เพียงพอนั้นที่จะทำให้เขานั้นสามารถเป็นนักเตะคนที่ 3 ที่ยิงเกิน 90 ประตูได้ต่อจากคริสเตียโน โรนัลโดและลีโอเนล เมสซี92 ประตูของเขานั้นแบ่งเป็น 69 ประตูกับบาเยิร์น มิวนิค, 17 ประตูกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ 6 ประตูกับบาร์ซา และถ้าหากถามว่าฤดูกาลไหนที่เขาระเบิดฟอร์มได้สุดยอดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฤดูกาล 2019/2020 ที่ลง 10 เกม ยิง 15 ประตู ช่วยให้พี่เสือนั้นคว้าแชมป์ไปครองแถมเป็นฤดูกาลเป็นเทรเบิลแชมป์อีกด้วย เสียดายเพียงแค่ว่ามันเป็นฤดูกาลที่ต้องหยุดเล่นไปเพราะโควิด-19 ทำให้เขาพลาดรางวัลบัลลงดอร์ไปอย่างน่าเสียดาย และนั่นเป็นแชมป์สมัยเดียวของเขา หลังจากที่เคยเข้าชิงมาก่อนหน้านั้นแล้วหนึ่งครั้ง สมัยที่อยู่กับดอร์ทมุนด์ในฤดูกาล 2012/2013 ซึ่งทีมที่หักอกเลวานก็คือบาเยิร์นนั่นแหละสถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจ เลวานคือเจ้าของสถิตินักเตะที่ยิงให้กับบาเยิร์น มิวนิคในรายการนี้มากที่สุด เหนือกว่าเกิร์ด มุลเลอร์ (65 ประตู), ยิงให้กับสโมสรจากเยอรมันในรายการนี้มากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลที่ 15 ประตูและเป็นนักเตะโปแลนด์คนแรกที่จบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวในรายการยูซีแอลหรือยูโรเปียน คัพอันดับ 2: ลีโอเนล เมสซี (129 ประตู)นี่เป็นเพียง 1 ใน 2 นักเตะที่ยิงได้แตะหลัก 100 ประตูในรายการนี้ เมสซีคืออันดับที่ 2 ดาวซัลโวสูงสุดของยูซีแอลด้วยจำนวน 129 ประตู แต่เขาคืออันดับ 1 ของนักเตะที่ยิงให้กับสโมสรเดียวมากที่สุดในยูซีแอล โดยเป็นการยิงให้บาร์เซโลนา 120 ประตู อีก 9 ประตูมาจากการยิงให้เปเอสเชสถิติที่น่าสนใจอีกอย่างนึงคือเมสซีนั้นสามารถยิงประตูใส่คู่แข่งในรายการนี้ได้มากถึง 40 ทีมด้วยกัน มากกว่าโรนัลโดที่ยิงได้ 38 ทีม โดยทีมที่โดนเมสซีถลุงประตูเยอะที่สุดก็คืออาร์เซนอลด้วยจำนวน 9 ประตู คิดเป็น 7% จากจำนวนทั้งหมด 129 ประตู เมสซีนั้นลงเล่นในยูซีแอลไปแล้ว 19 ฤดูกาล หลังจากที่เดบิวต์รายการนี้ในฤดูกาล 2004/2005 ซึ่งนั่นคือฤดูกาลเดียวที่เขาไม่สามารถยิงประตูได้ในรายการนี้ ที่เหลืออีก 18 ฤดูกาลหลังจากนั้นเขาสามารถยิงประตูได้ทุกฤดูกาล เมสซีครองสถิตินี้ร่วมกับเบนเซมา เพียงแต่เบนเซมานั้นสามารถยิงได้ทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ที่เดบิวต์เลย (2005/2006)นอกจากนี้เมสซียังมีครองสถิติที่ครองร่วมกับศัตรูที่รักอย่างโรนัลโด คือการสามารถยิงแฮตทริกได้มากที่สุดที่ 8 ครั้งเท่ากัน แต่มีหนึ่งอย่างนึงที่เขาเหนือกว่า CR7 คือการยิงคนเดียว 5 ประตูในเกมเดียวโดยเป็นเกมที่บาร์ซาถล่มไบเออร์ เลเวอร์คูเซน 7-1 ในเดือนมีนาคม 2012 สรุปผลงานการลงเล่นในเวทีนี้ของเมสซี 163 เกม ยิง 129 ประตู คว้าแชมป์ได้ 4 สมัย ยิงได้เยอะที่สุดในฤดูกาล 2011/2012 ที่ 14 ประตูอันดับ 1: คริสเตียโน โรนัลโด (140 ประตู)และแล้วก็มาถึงมนุษย์ที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดในยูฟา แชมเปียนส์ลีกที่จำนวน 140 ประตู ความจริงจะบอกว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่ถูก เหมือนกับเมสซีนั่นแหละครับ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ทั้งคู่ทำนั้นมันเกินว่ามนุษย์ที่ได้ชื่อว่านักฟุตบอลด้วยกันทำได้ และนี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษหรือ 20 ปีที่เวทียูซีแอลไม่มีทั้งสองคนนี้ลงเล่นสถิติการยิงประตูรายการนี้ของพี่โด้แบ่งเป็นยิงให้กับแมนยู 21 ประตู, เรอัล มาดริด 105 ประตู และยูเวนตุส 14 ประตู พี่โด้เป็นเจ้าของยิงประตูในยูซีแอลมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลที่ 17 ประตูซึ่งเกิดขึ้นในฤดูกาล 2013/2014 กับเรอัล มาดริดซึ่งสุดท้ายก็สามารถพามาดริดคว้าแชมป์ไปครองได้หลังจากเอาชนะการดวลจุดโทษต่อแอตเลติโก มาดริด และหลังจากนั้นก็ยังสามารถยิงได้ 16 ในฤดูกาล 2015/2016 นอกจากนี้เขายังเป็นดาวซัลโวของรายการนี้ไปถึง 7 ฤดูกาล140 ประตูของพี่โด้มาจากการลงเล่น 93 เกมจากทั้งหมด 183 เกม อธิบายง่ายๆ ก็คือจากการเล่นรายการนี้ทั้งหมด 183 เกม พี่โด้นั้นสามารถยิงได้ 93 เกม อีก 90 เกมนั้นไม่สามารถทำประตูได้ คิดเป็น 51% ของการลงเล่นทั้งหมด และอย่างที่บอกในอันดับที่แล้วของเมสซีครับว่าทั้งคู่ครองสถิติของการทำแฮตทริกได้มากที่สุด (8 แฮตทริก) แถมสามารถยิงใส่คู่แข่งได้ถึง 38 ทีมตลอดการลงเล่นยูซีแอล ส่วนทีมที่เขาสามารถยิงประตูใส่ได้มากที่สุดก็คือยูเวนตุส ยิงไปได้ถึง 10 ประตูสรุปสถิติและผลงานของ CR7 ในรายการนี้คือ เล่น 183 เกม ยิง 140 ประตู เถลิงแชมป์ได้ 5 สมัย (แมนยู 1 สมัยและเรอัล มาดริด 4 สมัย)ขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Instagram ของนักเตะ อินซากี (@pippoinzaghi), เชฟเชนโก (@andriyshevchenko), มุลเลอร์ (@esmuellert), ฟาน นิสเตลรอย (@rvnistelrooij), เบนเซมา (@karimbenzema), เลวานดอฟสกี (@_rl9), เมสซี (@leomessi) และโรนัลโด (cristiano)Official Instagram และ X ของยูฟา แชมเปียนส์ลีกภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 9, ภาพประกอบ 10 และภาพประกอบ 11 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !