หลังจากที่ "เยอร์เกน คล็อปป์" ได้ทำการประกาศช็อกแฟนๆ ลิเวอร์พูลว่าเขาจะอำลาหลังจากจบฤดูกาลนี้ก็ทำให้มีหลายๆ ชื่อของแคนดิเดตผู้จัดการทีมคนต่อไปถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะ "คุณชาย" ชาบี อลอนโซ อดีตตำนานกองกลางเบอร์ 14 ของสโมสรที่ตอนนี้ได้เริ่มทำการทาบทามแล้ว ในช่วงนี้หลายๆ คนอาจจะจับตาไปที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ว่าจะเป็นใคร แต่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือเหล่านักเตะที่ลิเวอร์พูลได้เซ็นคว้ามาร่วมทีมในยุคของคล็อปป์ เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่คล็อปป์อยู่กับทีมมาก็ได้ทำการดึงตัวนักเตะมาร่วมทีมมากมายหลายคนเช่นกันโดยทาง The Athletic ได้ทำการจัดอันดับการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งผมก็ได้นำมาเฉพาะ 10 อันดับแรกที่ทางเกร็กก์ อีแวนส์ ทีมงานนักเขียนของทางดิ แอธเลติกได้จัดไว้ โดยจะผสมกับเหตุผลที่ทางอีแวนส์ได้ให้ไว้ ผสมกับความคิดเห็นส่วนตัวของผมเข้าไปด้วย สิบอันดับนักเตะที่ดีที่สุดที่คล็อปป์เซ็นเข้ามาจะมีใครกันบ้าง ไปดูกันเลยครับ10. โดมินิก โซโบซไล (จากแอร์เบ ไลป์ซิก 2023, 60 ล้านปอนด์)เกร็กก์ อีแวนส์ให้เหตุผลว่าสิ่งที่โซโบมอบให้กับทีมนั้นคือ "พลังงาน" ถึงแม้ว่าในช่วงพรี-ซีซันฟอร์มอาจจะยังไม่ได้ปังหรือโดดเด่นอะไรมากมาย แต่พอเริ่มแข่งจริงและมีเกมลงเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ โซโบก็สามารถเฉิดฉายได้แบบสุดๆ รวมไปถึงอิทธิพลทั้งในที่ขับเคลื่อนเกมของทีมด้วยพลังงานและนอกสนามที่สามารถเป็นขวัญใจแฟนบอลได้แบบรวดเร็วด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาแบบนายแบบที่เตะบอลได้นิดหน่อย9. อิบราฮิมา โกนาเต (จากแอร์เบ ไลป์ซิก 2023, 36 ล้านปอนด์)ถึงแม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้งซึ่งนั่นก็คือเรื่องเดียวที่แฟนบอลเป็นห่วงในตัวของโกนาเต แต่เมื่อมีเรื่องอื่นๆ มาตัดสินใจด้วยแล้วก็ไม่แปลกที่โกนาเตจะสามารถพุ่งขึ้นมาติดได้ถึงอันดับที่ 9 เพราะเพียงขวบปีแรกหรือฤดูกาลแรก โกนาเตก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้เลย แถมได้ลงเล่นในเกมนัดชิงยูฟา แชมเปียนส์ลีก 2022 ที่พบกับเรอัล มาดริดอีกด้วยแทนที่จะเป็นโฌเอล มาติป คู่หูที่เคียงข้างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กมาตลอดซึ่งด้วยความสามารถ, ความแข็งแกร่งและมีความเร็วของเขาก็เพียงพอที่จะยึดตัวจริงหรือสลับหมุนเวียนกับมาติปและจาเรลล์ ควอนซาห์ลงสนามกับฟาน ไดจ์กได้เหมือนกัน8. ฟาบินโญ (จากโมนาโก 2018, 39.3 ล้านปอนด์)นี่คือหนึ่งในโฮลดิง มิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก นี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ฟาบินโญย้ายมาหลังจากที่ลิเวอร์พูลแพ้ในนัดชิง UCL 2018 และการมาของฟาบินโญนั้นก็ได้เข้ามาเติมเต็มในสิ่งที่ลิเวอร์พูลขาดหายไป เขาเป็นเหมือนด่านสุดท้ายก่อนที่เกมรุกของคู่แข่งจะหลุดไปถึงแนวรับซึ่งเขาก็สามารถจัดการปัดกวาดได้อยู่เสมอ ช่วยให้ทีมมีความสมดุลมากขึ้นและได้ขยับจอร์แดน เฮนเดอร์สันขึ้นไปเล่นร่วมกับเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์และโม ซาลาห์ รวมไปถึงมีทีเด็ดจากลูกยิงไกลและการดักบอลข้ามหัวแนวรับคู่แข่งได้หลายต่อหลายครั้งความสำคัญของฟาบินโญก็แสดงออกมาให้เห็นในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีม เพราะในฤดูกาล 2022/2023 ที่ลิเวอร์พูลตกลงไปอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากสภาพร่างกายของฟาบินโญที่อ่อนล้าหลังจากกรำศึกหนักมาอย่างต่อเนื่องจนมันส่งผลต่อฟอร์มในสนามและต่อเนื่องถึงฟอร์มของทีม หรือจะในฤดูกาล 2020/2021 ฤดูกาลที่กองหลังเจ็บแทบจะยกแผงจนต้องถอยฟาบินโญและเฮนโดไปเล่นเป็นคู่เซนเตอร์ซึ่งมันทำให้ไม่มีใครชะลอเกมรุกของคู่ต่อสู้ได้เลยในแดนกลาง เป๊ป ไลน์จเดอร์ ผู้ช่วยของคล็อปป์เคยนิยามฟาบินโญไว้ว่า "แสงสว่างในความวุ่นวาย"7. จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (จากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2016, 25 ล้านปอนด์)หนึ่งในการซื้อตัวจากทีมหนีตกชั้นที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือกองกลางที่ลงมาเปลี่ยนเกมและพาลิเวอร์พูลเข้าสู่รอบชิงฯ ยูซีแอลฤดูกาล 2018/2019 ในเกมที่พลิกนรกเอาชนะบาร์เซโลนา 4-0 ในเกมนั้นไวจ์นัลดุมยิง 1 โหม่ง 1 ซึ่งประตูที่โหม่งคือประตูที่ทำให้ผลสกอร์รวมอยู่ที่ 3-3 ก่อนที่ดิว็อก โอริกีจะยิงประตูชัยอีแวนส์บอกว่าไวจ์นัลดุมคือนักเตะเซ็ตแรกๆ ที่คล็อปป์ซื้อเข้ามาเพื่อปรับโฉมลิเวอร์พูลและไม่ใช่เพียงประตูที่ยิงใส่บาร์เซโลนาเท่านั้น ในพรีเมียร์ลีก เขาก็ยังยิงใส่เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดซึ่งทำให้ทีมบุกไปชนะทีมดาบคู่ 0-1 ในฤดูกาล 2019/2020 ซึ่งนั่นก็คือฤดูกาลที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกนั่นเอง ไวจ์นัลดุมมักจะเป็นคนที่ยิงประตูสำคัญๆ ให้กับทีมเสมออีกด้วย และถ้าผมจำไม่ผิดในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2016/2017 ที่พบกับมิดเดิลสโบรห์ ในเกมนี้ลิเวอร์พูลต้องชนะเพื่อการันตีอันดับ 4 และคนที่ยิงประตูขึ้นนำปลดล็อกให้ทีมก็คือไวจ์นัลดุมนี้แหละ ยิงแบบสุดสวยอีกด้วย6. โฌเอล มาติป (จากชาลเก 04 2016, ฟรี)นี่คือตัวอย่างของ "ของฟรี มีคุณภาพ" เพราะ "เจ๊ติป" ย้ายจากชาลเกมาอยู่กับลิเวอร์พูลแบบไม่มีค่าตัวเลยซักเพนนีเดียว นี่คือหนึ่งในการเซ็นสัญญาแบบไม่มีค่าตัวที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร แต่อย่างที่เราทราบกันครับ มาติปชอบมีอาการบาดเจ็บมารบกวนอยู่ตลอดๆ ทำให้การลงสนามไม่ค่อยต่อเนื่องซักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ลงเล่นเจ๊ติปก็มักจะเป็นหนึ่งในคนที่ไว้ใจได้อยู่เสมอการได้ลงเล่นคู่กับฟาน ไดจ์กมันเหมือนทำให้ลิเวอร์พูลมีอาวุธจากแดนหลังเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เพราะแบ็คสองข้างก็เติมเกมรุก ครอสบอลได้ดีแล้ว ฟาน ไดจ์กก็วางบอลได้แม่นยำ ส่วนมาติปมักจะพาบอลขึ้นด้วยตัวเอง บางครั้งก็ได้ลุ้นประตูได้ด้วย และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ในเกมที่พบลีดส์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2021/2022 เป็นจังหวะที่เจ๊ติปเลี้ยงบอลขึ้นมาเองก่อนที่จะฝากที่ซาลาห์และซาลาห์ก็จ่ายต่อให้เจ๊ติปที่วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษและยิงเข้าไปเป็นประตูสุดสวย5. แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (จากฮัลล์ ซิตี 2017, 8 ล้านปอนด์)หลังจากที่ปีที่แล้วจัดการสอยนักเตะจากทีมตกชั้นอย่างไวจ์นัลดุมมาแล้วทำผลงานได้ดี คล็อปป์เหมือนติดใจก็เลยจัดการดึงตัวแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันอีกคนจากฮัลล์ ซิตีด้วยค่าตัวเพียง "8 ล้านปอนด์" ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกของร็อบโบ้กับทีมนั้นไม่ได้โรยด้วยกุหลาบ เพราะในตอนนั้นยังมีอัลแบร์โต โมเรโนยึดตำแหน่งตัวจริงอยู่ จนร็อบโบ้ไปเคาะประตูห้องทำงานของคล็อปป์และถามว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ลงเล่น และหลังจากนั้นก็คือประวัติศาสตร์และตำนานครับการมีอยู่ของเทรนท์และการเข้ามาของร็อบโบ้ทำให้ลิเวอร์พูลเหมือนได้มีอาวุธริมเส้นอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง เพราะทั้งคู่นั้นเป็นเหมือนเพลย์เมกเกอร์ที่เล่นอยู่ในตำแหน่งของฟูลแบ็ค ครอสบอล เปิดบอลทำให้แอสซิสต์จนขึ้นแท่นกองหลังที่แอสซิสต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะร็อบโบ้นั้นเล่นได้สุดยอด มาตรฐานแทบไม่เคยตกลงไปเลย เล่นในระดับสูงอยู่ตลอดและพลังงานไม่มีหมด จนในเกมแดงเดือดในฤดูกาล 2018/2019 ที่ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้ 3-1 หลังเกมโชเซ มูรินโญต้องออกมาชมว่าร็อบโบ้นั้นเหมือนคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูร็อบโบ้วิ่งแล้วยังเหนื่อยแทน ทุ่มเทสุดๆ เกมรุกสุดยอดไม่แพ้เกมรับจริงๆ4. ซาดิโอ มาเน (จากเซาแธมป์ตัน 2016, 30 ล้านปอนด์)เปิดตัวประตูแรกด้วยการโซโลตัดเข้าในไปยิงใส่อาร์เซนอล ยังเป็นประตูเปิดตัวที่ผมยังจำได้ติดตาอยู่มาจนถึงทุกวันนี้สำหรับซาดิโอ มาเน และ 120 ประตูกับอีก 38 แอสซิสต์พร้อมกับถ้วยแชมป์ในทุกรายการที่ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล เราสามารถเรียกได้เต็มปากจริงๆ ว่ามาเนคือหนึ่งใน "ตำนาน" ของทีม และการมาอยู่กับลิเวอร์พูลก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ "เยอร์เกน คล็อปป์"เพราะความจริงแล้วมาเนนั้นก็มีโอกาสที่จะย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเช่นกันในช่วงซัมเมอร์ของปี 2016 แต่ด้วยการมีอยู่ของคล็อปป์มันเหมือนเป็นตัวช่วยให้มาเนเลือกที่จะย้ายมาอยู่ที่เมอร์ซีไซด์ การย้ายมาของมาเนมันไม่ได้เพียงแต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมเท่านั้น แต่เหมือนเป็นการเสริม "เดอะ แบก" เข้ามาให้กับทีม เพราะในฤดูกาลนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟิลิปเป คูตินโญนั้นมีอาการบาดเจ็บและไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมก็มีมาเนนี่แหละที่คอยช่วยทีมไว้ นอกจากนี้มาเนนั้นก็ได้เสียสละตัวเองในการโยกตำแหน่งจากปีกขวาไปเล่นปีกซ้ายในตอนที่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ย้ายมาในฤดูกาลถัดมาจนทำให้เกิดเป็น 3 ประสาน "SMF" พาทีมคว้าแชมป์อีกมากมายและยิ่งไปกว่านั้นมาเนก็ยังเล่นตำแหน่งของโรแบร์โต เฟอร์มิโนในฤดูกาลสุดท้ายของตัวเองด้วยในตำแหน่ง False 9 ในช่วงที่บ๊อบบี้ฟอร์มตกลงไปและการมาของหลุยส์ ดิอาซ โดยถึงแม้มาเนจะเล่นแต่ตัวริมเส้นมาตลอด แต่พอโดนจับมาเล่นตรงกลาง เขาก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม และสำหรับผมตอนนี้ดิอาซก็ยังไม่สามารถทดแทนกันจากไปของมาเนได้เลย 3. อลิซอน เบ็คเกอร์ (จากโรมา 2018, 56 ล้านปอนด์)ถ้าจะบอกว่านี่คือ "จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย" ที่พาให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จอย่างมากมายของยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ก็คงไม่แปลกครับ เพราะนับตั้งแต่ที่อลิซอนตัดสินใจย้ายจากโรมามาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยสถิติผู้รักษาประตูที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ณ ตอนที่ซื้อมา (ภายหลังโดนเกปา อาร์ริซาบารากาทำลาย) มันก็ทำให้กลายเป็นลิเวอร์พูลที่ "สมบูรณ์แบบ" ไปโดยปริยาย ในตอนแรกหลายคนก็บอกว่าเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กน่ะคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายแล้ว แต่พอเจอจังหวะพลาดของลอริส คาริอุสพลาดในนัดชิงยูซีแอล 2018 นั่นจึงทำให้คล็อปป์ต้องหาผู้รักษาประตูคนใหม่โดยด่วน และก็อย่างที่เห็นครับ 56 ล้านปอนด์ที่จ่ายไปมันคุ้มค่าทุกเม็ดเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่พ่อหมีย้ายมาก็สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้ทันทีในการคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใบที่ใหญ่ที่สุดเป็นสมัยที่ 6 ของสโมสรและมีเซฟสำคัญพาทีมเข้ารอบในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับนาโปลี ในช่วงท้ายเกมพ่อหมีนั้นเซฟลูกยิงของอาร์คาดิอุซ มิลิคได้แบบสุดยอดและส่งให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบน็อคเอาท์และทะลุไปเป็นแชมป์ในท้ายที่สุดฤดูกาลต่อมาก็เป็นกำลังหลักของทีมในการคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีแถมในฤดูกาลนั้นก็ยังมีแอสซิสต์แรกในการเล่นกับลิเวอร์พูลอีกด้วยแถมเป็นการ "แอสซิสต์" ให้โม ซาลาห์ยิงใส่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกด้วยและเราก็ได้เห็นภาพที่อลิซอนวิ่งจากกรอบประตูตัวเองวิ่งมาดีใจกับซาลาห์ที่มุมธงของฝั่งแมนยู กลายเป็นภาพที่คลาสสิคอีกภาพนึงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในฤดูกาลถัดมา (2020/2021) ก็เป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลเหมือนนั่งรถไฟเหาะและต้องลุ้นพื้นที่ยุโรปยันเกมสุดท้ายแต่ก่อนหน้านั้นก็มีประตูประวัติศาสตร์ของสโมสรเกิดขึ้นประตูที่ว่านั้นเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลไปเยือนเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อลุ้นไป UCL ซึ่งในเกมนั้นลิเวอร์พูลโดนยิงขึ้นนำไปก่อน ก่อนที่จะตีเสมอได้และในนาทีสุดท้ายที่ทีมต้องการประตูและได้ลูกเตะมุม อลิซอนก็วิ่งขึ้นมาลุ้นทำประตูและใครจะไปเชื่อครับว่าคนที่โขกประตูชัยให้กับทีมที่ทำให้ชนะเวสต์บรอมได้ก็คืออลิซอน ทำให้อลิซอนกลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ทำประตูให้กับทีม เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องบรรยายอะไรต่อแล้วแหละครับว่าทำไมอลิซอนถึงติด Top 3 ของการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของคล็อปป์ นี่ยังไม่รวมกับเรื่องการเซฟอะไรอีกนะ เพราะถ้าบรรยายจนหมด บทความมีหวังได้ยาวกว่านี้แน่ๆ2. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก (จากเซาแธมป์ตัน 2018, 75 ล้านปอนด์)"มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้อง...ด้วย" นี่คือวลีที่ลิเวอร์พูลโดนแซะ โดนค่อนขอดในตอนที่ทุ่มเงินกว่า "75 ล้านปอนด์" ไปซื้อตัวเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กมาจากทีมนักบุญแดนใต้ กองหลังบ้าอะไรราคาตั้ง 75 ล้านปอนด์ ซื้อกองหน้าคมๆ ได้ตัวนึงเลย บลาๆๆๆ สารพัดคำกระแนะกระแหนที่ถาโถมใส่ลิเวอร์พูลและคล็อปป์ รวมถึงเดอะ ค็อปด้วยกันเองด้วยซ้ำยังบ่นทีมเลยว่าทุ่มเงินอะไรกับกองหลังคนๆ เดียว แถมกว่าจะได้ตัวมาก็แย่งกับแมนเชสเตอร์ ซิตี ไม่เพียงแค่นั้นยังไปเล่นไม่ซื่อ ไปแอบติดต่อกับฟาน ไดจ์กลับหลังเซาแธมป์ตันจนทีมนักบุญทำเรื่องฟ้อง สุดท้ายก็ต้องออกแถลงการณ์ขอโทษและบอกว่าจะเลิกติดต่อกับฟาน ไดจ์ก แต่สุดท้ายก็ยังไปซื้อตัวมาอยู่ดีพร้อมกับค่าขอโทษอีก 15 ล้านปอนด์ และภาพการเปิดตัวของบิ๊กเวิร์จก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพคลาสสิค โดยเป็นภาพที่ฟาน ไดจ์กนั้นยืนชูเสื้อพร้อมกับต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับสวยงามอยู่ด้านหลัง เสมือนว่านี่คือของขวัญในวันคริสต์มาสแก่เดอะ ค็อปทั่วโลกแต่จนถึงตอนนี้ผมเชื่อว่าฟาน ไดจ์กนั้นได้ตอบทุกข้อสงสัยและตบปากพวกนักวิจารณ์เหล่านั้นไปหมดแล้วว่าทำไมลิเวอร์พูลต้องยอมจ่ายเงินระดับนั้นในการดึงตัวเขาเข้าสู่ทีม แถมเพียงแค่เกมนัดแรกของเขากับทีมก็เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว เพราะฟาน ไดจ์กโหม่งประตูชัยทำให้ลิเวอร์พูลเอาชนะเอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมืองไปได้ในเกมเอฟเอ คัพและเพียงฤดูกาลแรก ฟานไดจ์กก็เข้ามาขันเกมรับที่เป็นจุดอ่อนของลิเวอร์พูลมาหลายสิบปีให้แข็งแกร่งสุดๆ จนสามารถพาทีมเข้าชิงยูซีแอลได้ในรอบเกือบ 10 ปี แต่น่าเสียดายที่พ่ายต่อเรอัล มาดริดไป แต่ฤดูกาลต่อมาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จแถมในเกมนัดชิงที่ชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 2-0 ฟาน ไดจ์กก็ได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปด้วยพร้อมกับรางวัลอันดับที่ 2 ของบัลลงดอร์ซึ่งแพ้ให้กับลิโอเนล เมสซีไปไม่กี่คะแนนเท่านั้น และในฤดูกาลต่อมาก็พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกแต่น่าเสียดายที่ในฤดูกาล 2020/2021 ฟาน ไดจ์กก็ต้องบาดเจ็บอย่างหนักบริเวณ ACL จากการเข้าบอลแบบ.... (เติมเอาเองนะครับ) ของจอร์แดน พิคฟอร์ดจนต้องพักยาวทั้งฤดูกาล และกว่าจะกลับเข้าสู่ฟอร์มเดิมๆ ที่เคยพีคได้ก็ใช้เวลาเป็นปีๆ เลยทีเดียว น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าฟาน ไดจ์กไม่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น ตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรและการไปของจอร์แดน เฮนเดอร์สันในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ทำให้ฟาน ไดจ์กนั้นได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็น "กัปตันทีม" คนใหม่ของทีม สำหรับผมก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงครับ1. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (จากโรมา 2017 ,34 ล้านปอนด์)205 ประตูกับอีก 89 แอสซิสต์ในทุกรายการที่ลงเล่น (ณ วันที่พิมพ์) ให้กับลิเวอร์พูล แถมยิงได้ตั้งแต่เกมแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูลในเกมที่เจอวัตฟอร์ด พร้อมกับแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่นให้กับทีม ผมว่าคงตอบได้แล้วแหละครับว่าทำไมซาลาห์ถึงเป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าและดีที่สุดของลิเวอร์พูลในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ เพราะไม่ว่าในบรรดาตัวรุกที่ไม่ว่าใครจะมาหรือใครจะไป ซาลาห์ก็ยังเป็นคนที่คล็อปป์และบอร์ดบริหารเลือกที่รั้งไว้ให้อยู่กับทีมและอย่างที่เห็นครับในฤดูกาลนี้ซาลาห์ตอบแทนความไว้ใจและตอบคำถามว่าทำไมลิเวอร์พูลต้องรั้งไว้ถึงแม้ว่าจะมีข้อเสนอมหาศาลจากซาอุฯ ถึงแม้ว่าความเร็วหรือร่างกายจะถดถอยอย่างไร แต่สิ่งที่ซาลาห์ไม่เคยหายไปเลยคือ "เซนส์บอล" แถมนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าจะลดบทบาทลงมาเป็นคนสร้างสรรค์เกมมากกว่าคนถล่มประตูให้กับทีม ไม่ได้ร้อนแรงอย่างในอดีตแล้วแต่ซาลาห์ก็ยังยิงจนเป็นรองดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ ซึ่งถึงแม้จะเจ็บพักเกือบเดือนจากการไปเล่น AFCON กับทีมชาติอียิปต์แต่พอกลับมาในนัดที่เจอเบรนท์ฟอร์ด ซาลาห์ก็ยังช่วยยิงและแอสซิสต์อย่างละหนึ่ง เสมือนว่าไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงก่อนหน้านี้เลยสำหรับซาลาห์ ผมว่าคงไม่ต้องพูดอะไรให้มันมากมายแล้วล่ะครับ ผลงานมันประจักษ์อยู่แล้ว หลังจากนี้ก็ต้องรอดูว่า "คิงโม" จะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นการส่งท้ายท้ายให้กับเยอร์เกน คล็อปป์ได้หรือไม่ความจริงทาง The Athletic จัดไว้ถึง 43 อันดับซึ่งอันดับสุดท้ายได้แก่ ลอริส คาริอุส อดีตนายทวารสุดเท่ซึ่งผมคงไม่ลงรายละเอียดนะครับว่าทำไมคาริอุสถึงอยู่อันดับสุดท้าย แต่ผมจะไล่เรียงอีกซักสิบอันดับ ตั้งแต่อันดับ 11-20 นะครับว่ามีใครกันบ้าง เริ่มที่ดิโอโก โชตา, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี กัคโป, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, เซอร์ดาน ชากิรี, ธิอาโก อัลคันทารา, ไรอัน กราเฟนแบร์กและวาตารุ เอ็นโดะส่วนตัวผมมอง 3 อันดับแรกนั้นสามารเป็นใครได้หมดเลย เพราะทั้งสามคนนั้นคือคนสำคัญของทีมนับตั้งแต่ย้ายมา ส่วนคนอื่นๆ ผมแอบคิดว่าโชตาน่าจะอันดับสูงกว่านี้ แต่อาจจะเพราะด้วยอาการบาดเจ็บที่มารบกวนตลอดเวลาที่กำลังฟอร์มดีๆ เลยทำให้อันดับไปอยู่ที่ 11 ที่เหลือก็ตามผลงานเลยครับ และถ้าหากนับเฉพาะผลงานปัจจุบันผมว่าอันดับของเอ็นโดะจะสูงกว่านี้แน่นอนบทความที่เกี่ยวข้องลิเวอร์พูล, แมนซิตี้หรืออาร์เซนอล!!!? วิเคราะห์ใครจะเข้าวินแชมป์พรีเมียร์ลีกเอลเลียตต์เปลี่ยนเกม, เทรนท์ไม่ฟิต!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ เบิร์นลีย์โคตรพีค 10 อันดับกองหน้าที่คมที่สุด ในพรีเมียร์ลีกของ หงส์แดง ลิเวอร์พูลพ่อหมี VVD พลาดคู่, ปืนดุดัน!!! 5 ประเด็นหลังเกมปืนใหญ่ยิงหงส์ไส้แตกหนูนคมเสา แบรดลีย์เปิดซิง! 5 ประเด็นหลังเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หงส์จิกสิงห์ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากThe AthleticOfficial X ของลิเวอร์พูล (@LFC)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 9 และภาพประกอบ 10 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !