หลังจากที่ฟอร์มระส่ำระสายมาหลายนัด ในที่สุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็สามารถพลิกสถานการณ์เอาชนะ เชลซีไปได้ 2-1 โดย 2 ประตูนั้นเป็นสก็อตต์ แมคโทมิเนย์ ที่สอดจากแดนกลางเข้ามายิง ส่วนเชลซีได้ประตูจาก โคล พาลเมอร์ ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 6 มี 27 คะแนน ส่วนเชลซียังคงอยู่ที่ 10 เหมือนเดิม มี 19 คะแนนมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นในเกมนี้บ้าง มาดูกันครับประเด็นที่ 1 เกมรุกที่ดูสะเปะสะปะทั้งสองทีมเกมนี้ทั้งสองทีมต่างมาเจอกันด้วยความไม่คงเส้นคงวากันทั้งคู่ เจ้าบ้านก็กำลังเมาหมัดจากทั้งเรื่องฟอร์มในสนามและสื่อที่เล่นประเด็นเรื่องห้องแต่งตัว ส่วนทางฝั่งผู้มาเยือนก็มาด้วยฟอร์มไม่คงเส้นคงวา แพ้สลับเสมอสลับชนะ นักเตะตัวหลักก็ยังไม่พร้อม ทำให้ต้องเข็นใครลงก็ต้องลงตามนั้นไป เมื่อไปมองดูสถิติต่างๆ ฝั่งเจ้าบ้านมีโอกาสส่องทำประตูไปหลักยี่สิบครั้ง แต่ตรงกรอบไม่ถึงหลักสิบ การครองบอลก็พอๆกัน และยิ่งมองลึกลงไปในเกมที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดเลยว่าเกมบุกทั้งสองฝั่งไม่เฉียบคม แถมหมูหกหลายจังหวะ เล่นมากจังหวะเกินไปจนเสียของไปเปล่าประโยชน์ ท้ายที่สุด ทั้งสองทีมยังคงต้องปรับปรุงเรื่องแนวรุกกันต่อไปประเด็นที่ 2 แมคโทมิเนย์ กับบทบาทที่เทน ฮากฝังให้เขานัดนี้สก็อตต์ แมคโทมิเนย์ กลายเป็นฮีโร่ของแมนยูที่ซัดไปถึง 2 ประตูช่วยให้ทีมเก็บ 3 คะแนนไปได้สำเร็จ บทบาทที่เขาถูกบรีฟมาจากเทน ฮาก คงเป็นเรื่องของการสอดเข้าไปช่วยแนวรุกให้กับทีม แม้จริงๆแล้วตำแหน่งของเขานั้นจะเป็นกองกลางแนวรับก็ตาม แต่ด้วยพละกำลัง ความเร็ว และสรีระร่างกายที่สามารถท้าชนกับกองกลางตัวรับและกองหลังของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขากลายเป็นความได้เปรียบในเกมนี้อย่างมาก จังหวะการสอดไปยิงในประตูแรก และการโถมขึ้นไปโหม่งในประตูที่สอง นี่คงเป็นบทบาทในสไตล์ เอริค เทน ฮาก ที่ให้แมคโทมิเนย์เล่นมาหลายนัด อาจจะเป็นข้อดีสำหรับเทน ฮาก แต่ประเด็นต่อมา อาจจะไม่ใช่ข้อดีซะทั้งหมดประเด็นที่ 3 กองกลางรับภาระหนักเมื่อแมคโทมิเนย์ดันเกมสูงการเล่นกลางรับ 2 คนในแผน 4-2-3-1 ที่มีโซฟียาน อัมราบัต กับสก็อตต์ แมคโทมิเนย์ ยืนคู่กัน แต่ในเมื่อแมคโทมิเนย์ขึ้นไปดันเกมสูง ภาระด้านหลังจึงเป็นของอัมราบัตเพียงคนเดียว อีกทั้งกองหลังของทีมยังต้องดันโซนสูงขึ้นมาช่วยเหลืออัมราบัตไม่ให้รับภาระมากเกินไปอีกต่างหาก แต่สุดท้ายแล้วเกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่อัมราบัตเล่นได้ดี สามารถปิดตายแดนกลางที่มีทั้งเอ็นโซ่ เฟอร์นันเดส กับมอยเซส ไกเซโด้ได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม หากแผนนี้จะได้ผลในนัดต่อๆไปจริงๆ อาจจะต้องรอการกลับมาของคาเซมิโร่อีกคนหนึ่ง ด้วยประสบการณ์และความเก๋าของเขา น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้อัมราบัตได้พอสมควร ส่วนแมคโทมิเนย์อาจจะต้องนั่งสำรองต่อไปหลังการกลับมาของคาเซมิโร่ประเด็นที่ 4 แนวรุกเชลซีเท้าบอดอะไรขนาดนี้แนวรุกเชลซีที่ใครๆก็บอกว่าน่ากลัว หลังๆมาเริ่มสงสัยแล้วว่า ฟอร์มที่ดุดันยิงกระจายตอนเกมแมนเชสเตอร์ ซิตี้หายไปไหนหมด หมดโควต้าหรือไง แต่เมื่อมามองดูแล้ว แนวรุกที่แน่ๆและไว้ใจได้ มีแต่โคล พาลเมอร์ กับราฮีม สเตอร์ลิ่งเท่านั้นที่ฟอร์มยังน่ากลัว ส่วนนิโคลัส แจ็คสัน ก็หวือหวาไม่แน่ไม่นอน มิไคโล มูดริกก็ไม่ค่อยจะคม มีแต่ความเร็วและจังหวะกระชากที่สู้กับกองหลังได้ ส่วนคนอื่นๆก็เป็นดาวรุ่งที่ฟอร์มมาๆหายๆไม่แน่ไม่นอน ไอ้ครั้นจะหวังพึ่งพาอมาโด้ โบรย่าก็เจ็บบ่อยจนฟอร์มไม่สม่ำเสมอ ยิ่งตอกย้ำว่าปัญหาการจบสกอร์และการสร้างสรรค์โอกาสการทำประตู ยังคงเป็นสิ่งที่เป็นคำถามกับเชลซีอยู่ดี หากได้คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคูกลับมาลงสนาม อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนให้กับเชลซีในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้ประเด็นที่ 5 โปเช็ตติโน่ กับ ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของทีมความไม่สม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นและปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ อาจเป็นคำตอบในหลายๆคำถามที่เมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ กุนซือของทีมได้มาจากฟอร์มการเล่นและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านไปแล้ว 15 เกมในลีก หากมองดูในแต่ละนัด นัดไหนที่ไม่น่าชนะ ดันชนะ ส่วนนัดไหนที่น่าจะชนะ ดันแพ้ ไม่ก็เสมอ ปัญหาตัวผู้เล่นหลักบาดเจ็บหรือไม่ฟิตคงทำให้ฟอร์มทีมแกว่งไปมา แต่ที่เป็นปัญหามาตลอดของทีมคือแนวรุกที่ไม่เฉียบคมเหมือนยุคก่อนๆ แม้จะมีทั้งโคล พาลเมอร์ ราฮีม สเตอร์ลิ่งที่พอจะช่วยทีมได้ก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว แนวรุกยังคงปืนฝืดและเล่นไม่คงเส้นคงวา ตลาดซื้อขายมกราคมนี้ทีมอาจจะไม่ต้องเสริมทัพแล้วก็ได้ เพียงแต่ต้องหาทางใช้งานผู้เล่นที่มีอยู่ให้เต็มประสิทธิภาพมากกว่านี้ประเด็นที่ 6 เก้าอี้ที่อาจจะร้อนน้อยลงของเอริค เทน ฮาก กับฟางเส้นสุดท้ายหลังสุดสัปดาห์นี้แม้เกมนี้จะเป็นเกมที่ช่วยเซฟเก้าอี้ที่ร้อนระอุก่อนหน้านี้ของเอริค เทน ฮากก็ตาม แต่จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องการที่จมอยู่บ๊วยของ UCL รอบแบ่งกลุ่มที่นัดสุดท้ายจะต้องเปิดบ้านต้อนรับบาเยิร์น มิวนิค แล้วยังต้องไปลุ้นอีกเกมให้มีแค่ผลเสมอเท่านั้น หากมีทีมใดทีมหนึ่งชนะ แม้พวกเขาจะชนะบาเยิร์นก็ตาม พวกเขาก็จะจบอันดับที่ 3 ลงไปเล่นยูโรป้า ลีกแทน ดังนั้นแล้ว แมนยูจำเป็นต้องชนะสถานเดียวเท่านั้นเพื่อต่อลมหายใจไปต่อในเกมยุโรป แม้จะได้ลงไปเล่นยูโรป้าก็ตาม ส่วนเกมสุดสัปดาห์หน้าในเกมลีก พวกเขาจะต้องออกไปเยือนลิเวอร์พูล ที่ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาถูกลิเวอร์พูลสอนมวยแบบกลับบ้านไม่ถูกไปถึง 7-0 เป็นความพ่ายแพ้ที่อัปยศที่สุดที่แฟนบอลผีแดงอยากลืม หากทั้งสองเกมนี้ผลการแข่งขันออกมาพ่ายแพ้ อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บอร์ดบริหารจำเป็นต้องปลดเขาออกจากทีมก็เป็นได้ ดังนั้นแล้ว หากอยากต่อชะตาชีวิตกับแมนยูต่อ สองเกมที่ว่ามา ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้นขอขอบคุณภาพประกอบบทความภาพที่ 1, 2, 3, 4, 7 และ ภาพปกบทความ จาก Facebook Manchester Unitedภาพที่ 5 และ 6 จาก Facebook Chelsea Football Club เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !