การเปลี่ยนถ่ายกองกลางพร้อมกันทีเดียว 5 คนของลิเวอร์พูลนั้นทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านของทีม เช่น กองกลางตัวหลักของทีมนั้น ณ ตอนนี้คือล้วนเซ็ตใหม่เป็นเซ็ตใหม่ที่ซื้อเข้ามาทั้งนั้น 2 ตัวหลักคืออเล็กซิส แมคอัลลิสเตอร์และโดมินิก โซโบซไล หรืออีกเรื่องที่สำคัญก็คือการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกัปตันและรองกัปตันของทีม โดยเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์นั้นก็ขึ้นมาเป็นรองกัปตันทีมแทนที่ของเจมส์ มิลเนอร์ ส่วนกัปตันทีมที่ขึ้นมาแทนจอร์แดน เฮนเดอร์สันนั่นก็คือ "เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก" ที่ปกติแล้วจะเป็นกัปตันทีมอันดับ 3 ในยามที่เฮนโด้และมิลเนอร์ไม่ได้ลงสนามและในบทความนี้ผมก็จะพูดถึงฟาน ไดจ์กกับบทบาทกัปตันคนใหม่ของลิเวอร์พูลครับ โดยนำมาจากบทความที่เจมส์ เพียร์ซ นักข่าวเทียร์ 1 ของลิเวอร์พูลจาก The Athletic ได้เขียนถึงกัปตันคนใหม่ของลิเวอร์พูลไว้ฟาน ไดจ์กมักจะเป็นคนที่เข้าไปพูดคุยกับลูกทีมก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มเตะเป็นประจำ มันกลายเป็นกิจวัตรที่เขาจะทำทุกครั้งก่อนที่จะลงเตะ โดยปกตินี่คือหนึ่งในส่วนหนึ่งของหน้าที่กัปตันทีมของลิเวอร์พูลที่จะทำเป็นประจำและพอฟาน ไดจ์กขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เขาก็ยังคงทำตามธรรมเนียมนี้เหมือนเดิมโดยฟาน ไดจ์กได้บอกว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยสร้างพลัง สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นภายในทีมและนอกจากสร้างความสามัคคีให้กับเพื่อนร่วมทีมแล้ว พี่ยักษ์ของแฟนๆ ก็ยังคอยที่จะกระตุ้น จุดไฟให้กับแฟนบอลในการช่วยส่งเสียงเชียร์ให้ดังกึกก้องแอนฟิลด์อีกด้วยอย่างที่บอกไปว่าฟาน ไดจ์กนั้นขึ้นมารับบทบาทนี้ต่อจากจอร์แดน เฮนเดอร์สันที่ย้ายไปในลีกซาอุซึ่งถือว่านี่คืออีกหนึ่งในความภูมิใจของตัวเขาเลยก็ว่าได้ แต่ปกติแล้วถ้าเฮนโด้ไม่ได้ลงสนาม เขาก็มักที่จะเป็นผู้นำของเพื่อนร่วมทีมอยู่แล้ว เขานั้นมักจะเป็นคนคอยออกคำสั่งต่างๆ รวมไปถึงการเป็นพี่ใหญ่ที่คอยคุมแนวรับ สั่งการแนวรับอยูตลอด นอกจากนี้เขาก็ยังได้รับความเคารพจากเพื่อนๆ และน้องๆ ภายในทีมอีกด้วยhttps://www.instagram.com/reel/CwqkC4ktJHr/?utm_source=ig_web_copy_link&igshid=MzRlODBiNWFlZA==ฟาน ไดจ์กนั้นก็คือนักเตะที่อยู่ในกลุ่มผู้นำของทีมอยู่แล้ว ยิ่งพอเฮนโด้และมิลเนอร์ย้ายออกไป ยิ่งทำให้เขากลายเป็นผู้นำเบอร์ 1 ของทีมไปโดยปริยาย ไม่ใช่เพียงในสนามเวลาแข่งขันแต่มันยังรวมไปถึงเวลาที่ทีมฝึกซ้อมอีกด้วยเขาได้ให้การต้อนรับและซัพพอร์ตเพื่อนร่วมทีมกลุ่มใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ซัมเมอร์นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแมคอัลลิสเตอร์, โซโบซไล, วาตารุ เอนโดและรุ่นน้องเพื่อนร่วมชาติอย่างไรอัน กราเฟนแบร์ค โดยที่ฟาน ไดจ์กนั้นจะเป็นเหมือนคนที่คอยช่วยเหลือให้นักเตะกลุ่มใหม่นั้นปรับตัวกับชีวิตที่เมืองลิเวอร์พูลได้ดียิ่งขึ้นเท่าที่เขาจะทำได้ รวมไปถึงการเป็น "พี่เลี้ยง" ให้กับดาวรุ่งของทีมที่ขึ้นมามีบทบาทในทีมชุดใหญ่อย่างจาเรลล์ ควอนซาห์และเบน โด๊คและเหมือนเป็นโชคดีหรือการคัดสรรนักเตะที่ดีของลิเวอร์พูลก็ไม่รู้ แต่ต้องชมจริงๆ ว่าเหล่านักเตะซีเนียร์ของทีม ตั้งแต่ตอนที่มีเฮนโด้และมิลเนอร์แล้วด้วยซ้ำที่จะมีระเบียบวินัยที่สูงมากๆ เพราะนักเตะซีเนียร์หลายๆ คนอย่างเทรนท์, แอนดรูว โรเบิร์ตสัน, อลิซอนและโม ซาลาห์นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีของน้องๆ ในทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการตรงต่อเวลา การมีระเบียบวินัย โคดี กัคโปบอกว่าคนที่มักจะมาซ้อมก่อนเพื่อนร่วมทีมก็คือซาลาห์กฎระเบียบต่างๆ ภายในทีมด้วยที่กลุ่มนักเตะที่เป็นผู้นำของทีมจะคอยสอดส่องไม่ให้เพื่อนๆ ทำผิด รวมไปถึงการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่สโมสรได้จัดขึ้น พวกเขาก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมตลอดในช่วงหลังฟาน ไดจ์กนั้นมักจะถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นของเขาที่ตกลงไปพอสมควร นับตั้งแต่ที่ได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณ ACL ที่ถูกเข้าปะทะจากจอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารของเอฟเวอร์ตันในเกมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/2021 นับตั้งแต่นั้นมาฟาน ไดจ์กก็ไม่ได้มีฟอร์มที่สุดยอดเหมือนก่อนหน้านั้นอีกเลย เขามีจังหวะผิดพลาดหรือประมาทจนทีมโดนยิงหลายต่อหลายครั้ง โดนมีฉายาที่แฟนๆ ล้อกันว่ากลายเป็น "เดอะ มอง" เพราะชอบประมาทและมองดูคู่แข่งยิงหลายครั้ง แถมในฤดูกาลนี้ก็มีจังหวะที่โดนใบแดงไล่ออกในเกมที่พบกับนิวคาสเซิลอีกแต่สุดท้ายแล้วฟาน ไดจ์กก็คือฟาน ไดจ์ก "บิ๊กเวิร์จ" ยังคงเป็นคนสำคัญและเป็นพี่ใหญ่ในแนวรับให้กับน้องๆ และเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ และไม่ได้สำคัญเพียงแค่กับลิเวอร์พูล แต่เขายังสำคัญกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์อีกด้วย เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นกัปตันทีมชาติแล้ว ในเกมทีมชาติล่าสุดเขาก็เพิ่งยิงประตูชัยจากลูกจุดโทษในเกมที่พบกับทีมชาติกรีซ ต่อลมหายใจให้ทีมกังหันสีส้มมีลุ้นไปลุยฟุตบอลยูโร 2024 อีกเฮือกส่วนพรีเมียร์ลีกเกมล่าสุด ในเกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บีที่เปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตันไปได้ 2-0 สปอตไลท์ส่วนใหญ่ส่องไปที่โม ซาลาห์ที่ยิงสองประตู แต่อีกคนที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือเหล่าผู้เล่นเกมรับ โดยเฉพาะฟาน ไดจ์กที่มีเพียงครั้งเดียวที่ปล่อยให้โดมินิก คัลเวิร์ท-เลวินได้โหม่งลุ้นทำประตูในช่วงต้นเกม แต่ที่เหลือหลังจากนั้นก็โดนฟาน ไดจ์กเก็บเข้ากระเป๋า ในเกมนี้ฟาน ไดจ์กผ่านบอลสำเร็จ 95 ครั้งจาก 106 ครั้ง คิดเป็น 90%, เคลียร์บอล 5 ครั้ง, เข้าปะทะ 2 ครั้งและชนะการดวลลูกกลางอากาศ 12 ครั้งจาก 17 ครั้ง คิดเป็น 71% นอกจากนี้ยังเป็นเดอะ แบกในเกมรับหลังจากที่อิบราฮิมา โกนาเตโดนใบเหลือง แถมสุ่มเสี่ยงจะโดนเหลืองแดงด้วยฟาน ไดจ์กทำสถิติไม่แพ้ในการพบกับเอฟเวอร์ตันมาแล้ว 14 เกม (ชนะ 8 เสมอ 6) แถมถ้าใครยังจำได้ เกมแรกที่ฟาน ไดจ์กลงสนามให้ลิเวอร์พูลก็เกิดขึ้นในเกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี ในเกมเอฟเอ คัพ 2018 และในเกมนั้นเขาก็คือคนที่โขกประตูชัยให้กับทีมชนะไปได้อย่างสุดมันเราต้องมาดูกันครับว่า "ลิเวอร์พูลเวอร์ชัน 2.0" ของเยอร์เกน คล็อปป์ที่มีกัปตันที่ชื่อว่า "เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก" นั้นจะไปได้ไกลแค่นั้น ฟาน ไดจ์กจะพาทีมนั้นประสบความสำเร็จได้เท่าไหร่ แต่ผมเชื่อว่าแฟนๆ ลิเวอร์พูลหลายคนยังไว้ใจพี่ไดจ์กในการลงสนามมากกว่าในยามที่ขาดเขาไป อุ่นใจพอสมควรในยามที่มีลูกพี่ตัวใหญ่คนนี้คุมแผงเกมรับขอบคุณข้อมูและภาพประกอบจากThe Athlectic: Virgil van Dijk - Liverpool's leaderOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลOfficial Instagram ของลิเวอร์พูลและฟาน ไดจ์ก (@liverpoolfc และ @virgilvandijk)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3 และภาพประกอบ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !