รีเซต
Sports Profile : ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพผู้เป็นหัวใจสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

Sports Profile : ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพผู้เป็นหัวใจสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

Sports Profile : ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพผู้เป็นหัวใจสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
BALLYSLAM
10 มกราคม 2564 ( 09:00 )
8.5K

ประวัติและข้อมูลล่าสุดของ เควิน เดอ บรอยน์ ดาวเตะทีมชาติเบลเยียม ที่ว่ากันว่าเขาคือกองกลางที่มีความครบเครื่องที่สุดในโลก และเป็นนักเตะคนสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ ที่ทีมจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

ข้อมูลนักเตะ

ชื่อเต็ม : เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne)

เกิด : วันที่ 28 มิถุนายน 1991 (ดรอนเก้น ประเทศเบลเยียม)

อายุ : 29 ปี

ตำแหน่ง : กองกลาง

ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร

เส้นทางลูกหนัง

เส้นทางสายลูกหนังของ เจ้าหนูเดอ บรอยน์ เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศบ้านเกิด โดยเขาได้เข้าไปฝึกวิชาที่แรกกับ กาเฟเฟ่ ดรอนเก้น ในปี 1997 ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เคเอเอ เกนท์ ในปี 1999 เขาอยู่ที่นานถึง 6 ปี ก่อนที่ ในปี 2005 เขาจะโยกย้ายไปเล่นในระดับเยาวชนให้กับ เคอาร์ซี เกงค์ ที่นี่เองที่เจ้าตัวพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างมาก ตั้งแต่การเล่นเยาวชน ขยับขึ้นมาเป็นตัวสำรอง จนสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้

ในฤดูกาล 2010-2011 ถือเป็นปีไฮไลท์ของ เดอ บรอยน์ กับ เกงค์ เลยก็ว่าได้ เมื่อเจ้าตัวระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง พาทีมเดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น จนในท้ายที่สุดทีมก็สามารถคว้าแชมป์เบลเยียมโปรลีก ได้สำเร็จ

เดอ บรอยน์ อยู่ค้าแข้งกับ เกงค์ มาอีก 1 ฤดูกาล และก็ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม จนฟอร์มการเล่นไปเข้าตาทีมงานของ เชลซี ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก ทำให้เขาถูกทาบทามตัวมาร่วมทีม และเมื่อถึงวันที่ 31 มกราคม ปี 2012 เขาก็ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะใหม่ของ ทัพ "สิงห์บลูส์" ด้วยค่าตัว 6.7 ล้านปอนด์ และสัญญายาวถึงห้าปีครึ่ง ทว่าเขายังไม่ได้ย้ายมาทันที ยังอยู่เล่นช่วย เกงค์ จนจบฤดูกาล 2011-2012 ต่อไป

หลังจากจบ ฤดูกาล 2011-2012 แล้ว เดอ บรอยน์ ได้ย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ให้กับ เชลซี แบบเต็มตัว และเขาก็ได้ลงประเดิมสนามเปิดตัวกับทีมใหม่ ในเกมกระชับมิตร ที่ทีมลงดวลกับ ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส ทีมในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา แล้วสามารถเอาชนะไปได้ 4-2 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2012 นั่นเอง

เนื่องจากในเวลานั้น เดอ บรอยน์ ยังเป็นแค่เพียงแข้งดาวรุ่ง และแผงกองกลางของ เชลซี ยังอัดแน่นไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ ทำให้เขาโดนปล่อยตัวไปให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมในบุนเดสลีกา ยืมตัวไปใช้งาน ในฤดูกาล 2012-13 ซึ่งการย้ายมาเล่นที่ เบรเมน ครั้งนี้ เขาก็โชว์ฟอร์มการเล่นได้แบบสุดยอดอย่างมาก กลายเป็นตัวหลักของทีมที่จะขาดไม่ได้เลย และสามารถยิงได้ถึง 10 ประตู อีก 10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 34 นัด และคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา อีกด้วย

หลังจากไปโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมในบุนเดสลีกา เดอ บรอยน์ ก็ได้กลับมาที่ เชลซี อีกครั้ง และหวังที่จะกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงให้ได้ ทว่าทุกอย่างก็ไม่เป็นดังหวัง เมื่อเจ้าตัวยังเป็นตัวสำรองของทีม ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม จาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เวลานั้นเป็นกุนซือของทีม เนื่องจากเบียดแผงมิดฟิลด์ตัวรุกอันแข็งแกร่งที่มีทั้ง ฆวน มาต้า, เอแดน อาซาร์, อันเดร เชือร์เล่, วิลเลี่ยน และ ออสการ์ ขึ้นไปเป็นตัวจริงไม่ไหว ทำให้ได้ลงสนามเพียง 9 นัดเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นเกมลีกคัพ หรือถ้าได้ลงในลีก ก็จะเป็นท้ายเกมแล้วเท่านั้น

และในที่สุดในเดือนมกราคม ปี 2014 ทาง "สิงห์บลูส์" ก็ได้อนุญาตให้ ดาวเตะเบลเยียมสามารถย้ายทีมได้ ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจกลับไปที่ บุนเดสลีกา อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาขอไปเริ่มต้นกับ โวล์ฟสบวร์ก ทีมลูกหนังที่กำลังมาแรงอย่างมากในช่วงเวลานั้น ซึ่งขอซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์

การย้ายมาเล่นให้กับ โวล์ฟสบวร์ก เขามาพร้อมกับความมุ่งมั่น และแรงขับดันที่อยากจะโชว์ให้ทุกคนให้เห็นว่าเขาสามารถเล่นได้ และดีพอที่จะเป็นตัวจริงของทีมได้ และที่นี่ก็เหมือนกับเป็นสถานที่ ที่สร้างให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง

เจ้าหนุ่ม "เคดีบี" ระเบิดฟอร์มการเล่นได้แบบยอดเยี่ยม เขาแปลงร่างจากกองกลางธรรมดา กลายเป็นจอมทัพที่จ่ายบอลได้อย่างเฉียบขาด บัญชาเกมแดนกลางของทีมได้อย่างสุดยอด และในเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2013-14 เดอ บรอยน์ ก็ช่วยให้ โวล์ฟสบวร์ก จบอันดับ 5 ของบุนเดสลีกา พร้อมกับเข้ารอบรองชนะเลิศบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีกต่างหาก

แต่ความสุดยอด และฝีเท้าระดับเทพ อย่างแท้จริง มันมาเกิดขึ้นใน ฤดูกาล 2014-15 เมื่อเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างเปล่งประกายตั้งแต่ต้นซีซั่น ยาวไปจนถึงนัดสุดท้าย จนสามารถพาต้นสังกัดผงาดขึ้นไปเป็นรองแชมป์บุนเดสลีกา ได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ เป็นรองแค่ บาเยิร์น มิวนิค เท่านั้น

แค่นั้นยังยอดเยี่ยมไม่พอ เดอ บรอยน์ ยังพาทีมทุบเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล คว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยในเกมนั้น เขายังยิงสามารถยิงประตูได้ด้วย

นอกจากถ้วยรางวัลแล้ว ในฤดูกาลดังกล่าว กองกลางชาวเบลเยียม ยังสามารถแอสซิสต์ได้มากถึง 21 ครั้ง ซึ่งเป็นการทำลายสถิติของบุนเดสลีกา เลยทีเดียว จนเมื่อจบซีซั่นเขาก็ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา, ติดทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกา รวมทั้งยังได้ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน อีกด้วย

หลังจากประสบความสำเร็จกับ โวล์ฟสบวร์ก และกลับมาเกิดใหม่อย่างสวยงามอีกครั้ง เดอ บรอยน์ ก็ได้โอกาสกลับมาพิสูจน์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง เมื่อ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือชาวชิลี คุมทีมอยู่ในเวลานั้น ได้ทำการทุ่มเงินถึง 55 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีม ซึ่งก็มีหลายคนมองว่าดีลนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มหรือไม่ เนื่องจากนักเตะเคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีก มาแล้ว

ทุกคำถามที่ยิงเข้ามาหา "เคดีบี" ว่าเจ้าตัวจะล้มเหลวอีกครั้งหรือไม่ เขาก็สามารถตอบได้หมดด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในสนาม เมื่อเขาระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง ยิงไป 16 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ และทะยานเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นอกจากนั้นยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของสโมสรได้ถึง 4 ครั้ง อีกด้วย

 

แม้ว่า ในฤดูกาลถัดมา เปเยกรินี่ ผู้ให้โอกาสเขากลับมายังอังกฤษอีกครั้ง จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง ทว่าคนที่เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีม ก็คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สุดยอดผู้จัดการทีมแห่งยุค ที่ครั้งหนึ่งเค้าเคยบอกว่าต้องการได้ร่วมงานกับ เดอ บรอยน์ สักครั้งในชีวิต และก็เหมือนฟ้าลิขิตให้ทั้งคู่ได้มาบรรจบกันที่ แมนฯ ซิตี้ นี้เอง

ในซีซั่นแรกที่ เดอ บรอยน์ ได้ทำงานร่วมกับ เป๊ป เขาต้องรับบทบาทหลายตำแหน่ง หลายครั้งต้องปรับเปลี่ยนไปเล่นในตำแหน่งที่เขาไม่คุ้นเคย ทั้ง มิดฟิลด์ตัวกลาง, ปีก 2 ข้าง, หน้าต่ำ หรือแม้กระทั่ง วิงแบ็กฝั่งซ้าย นั่นก็เพราะ กุนซือชาวสเปน ต้องการหาตำแหน่งที่ดีที่สุดให้กับนักเตะ เพื่อรีดศักยภาพอันสูงสุดออกมาให้ได้

และแม้จะถูกโยกไปเล่นในหลายตำแหน่ง ทว่าในฤดูกาลนี้ เขาก็ยังทำไปถึง 18 แอสซิสต์ ทว่าทัพ "เรือใบสีฟ้า" จบเพียงอันดับ 3 ของตาราง เท่านั้น

หลังจากทดลองอยู่นาน และแล้ว เป๊ป ก็มาได้ตำแหน่งที่ลงตัวของ เดอ บรอยน์ คือการให้เจ้าตัวเป็นตัวฟรี ของแผงกลางกลาง คอยเป็นคนที่สร้างสรรค์เกม, ควบคุมจังหวะการเล่นของทีม เหมือนกับ คอนดักเตอร์ ที่เป็นผู้ควบคุมการแสดงของวงออเคสตรา นั่นเอง

 

และทุกอย่างก็มาบรรจบลงตัว ในฤดูกาล 2017-18 นี้เอง เมื่อ เป๊ป โชว์กึ๋นในการคุมทีม บวกกับฟอร์มอันร้อนแรงของนักเตะ แมนฯ ซิตี้ โดยเฉพาะ เดอ บรอยน์ ที่ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด ไม่มีอะไรมาหยุดความแรงของเจ้าตัวได้เลย เขาพาทีมผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเก็บไปถึง 100 คะแนน ทั้งห่างอันดับ 2 อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 19 คะแนน ด้วยกัน ส่วนผลงานส่วนตัว เขายังยิงไปถึง 12 ประตู กับทำไปอีก 21 แอสซิสต์ กลายเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อย่างแท้จริง

แม้ว่าจะคว้าแชมป์ลีกมาครองอย่างยิ่งใหญ่ ทว่า แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ กวาร์ดิโอล่า ยังเดินหน้าล่าถ้วยรางวัลอย่างไม่หยุดพัก ในฤดูกาล 2018-2019 แม้ว่าในช่วงต้นฤดูกาล จนถึงกลางฤดูกาล ทีมจะเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำแต้มหล่นหายหลายแต้ม จนตามหลัง ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฟอร์มการเล่นของทีม และ เดอ บรอยน์ ที่ดร็อปลงไป เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่มารบกวนตลอด ทว่าในช่วงปลายซีซั่น พลพรรคนักเตะ ซิตี้ ก็เร่งเครื่อง เร่งฟอร์ม จนสุดท้ายทีมแซงหน้า "หงส์แดง" คว้าแชมป์ได้อย่างสุดระทึก มีแต้มชนะเพียงแค่ 1 คะแนน เท่านั้น

โดย ซีซั่นนี้ ฟอร์มของ "เคดีบี" ตกลงมาพอสมควร เนื่องจากเจ้าตัว ทำได้เพียง 6 ประตู กับ 11 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 32 นัด ซึ่งหายคนก็เริ่มมองแล้วว่า เขาเริ่มถึงช่วงขาลงหรือไม่

แต่ของจริงก็คือของจริงอยู่วันยังค่ำ ในฤดูกาล 2019-2020 แม้ว่าในฤดูกาลนี้จะเป็น ลิเวอร์พูล ที่โชว์ฟอร์มแบบร้อนแรงตั้งแต่ต้นซีซั่น นำโด่งแบบม้วนเดียวจบ แม้ว่าจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถมาหยุดพวกเขาได้ ส่งผลให้ "หงส์แดง" คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ส่วน แมนฯ ซิตี้ ได้ตำแหน่งรองแชมป์ไปครอง

แม้ว่า ซิตี้ จะได้แค่ที่ 2 ทว่า สิ่งที่โดดเด่นอย่างมาก ก็คือฟอร์มการเล่นของ เดอ บรอยน์ ที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง ลบคำสบประมาทว่าเขาถึงช่วงขาลงได้แบบเด็ดขาด ด้วยการยิงไปถึง 16 ประตู กับอีก 23 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 48 นัด แถมยังสามารถช่วยพาทีมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ได้อีกด้วย

และมาถึง ฤดูกาล 2020-2021 ซึ่งเป็นฤดูกาลปัจจุบัน เดอ บรอยน์ ก็ยังเป็นกำลังสำคัญ และเป็นหัวใจหลักของทีมอย่างแท้จริง แม้ในช่วงแรกทีมจะโชว์ฟอร์มได้อย่างย่ำแย่อย่างมาก จนหล่นไปอยู่กลางตาราง ทว่าเมื่อ นักเตะทุกคน รวมทั้ง เดอ บรอยน์ สามารถเรียกฟอร์มการเล่นอันสุดยอดกลับมาได้ทันเวลา ก็ทำให้เวลานี้ "เรือใบสีฟ้า" ขึ้นไปอยู่หัวตารางของลีกเรียบร้อย และทีมก็ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศคาราบาว คัพ อีกหนึ่งครั้งแล้ว

ซึ่งถึงเวลานี้ "เคดีบี" ก็จัดการยิงไปแล้ว 3 ประตู กับทำอีก 12 แอสซิสต์ เรียกได้ว่าผลงานกำลังพุ่งปรี๊ดๆ อย่างแท้จริง ซึ่งก็ต้องมาคอยดูกันว่าเมื่อถึงตอบจบฤดูกาล แมนฯ ซิตี้ จะคว้าแชมป์อะไรบ้าง และ ดาวเตะทีมชาติเบลเยียม จะสร้างสรรค์ผลงาน และสุดยอดสถิติอีกมากน้อยแค่ไหนให้กับตัวเอง

ผลงานทีมชาติ

เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับทีมชาติเบลเยียม ตั้งแต่ชุดเยาวชน 18 ปี ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับชั้นขึ้นมาเล่นในชุดเยาวชน 19 ปี ตามมาด้วยชุดเยาวชน 21 ปี และจากฝีเท้าอันยอดเยี่ยม และโดดเด่นเกินวัย ทำให้เขาถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก ในปี 2010 ซึ่งเวลานั้นเจ้าตัวมีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น และเจ้าตัวก็ได้ลงสนามในเสื้อทีมชาติชุดใหญ่ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2010 ในเกมที่ดวลแข้งกับ ฟินแลนด์

โดย ไฮไลท์สำคัญในการรับใช้ชาติของ "เคดีบี" คือการพาทีม ไปคว้าอันดับ 3 ศึกฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเอาชนะ อังกฤษ 2-0 และจนถึงเวลานี้เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วถึง 78 นัด และยิงไปแล้ว 20 ประตู ด้วยกัน

เกียรติประวัติ

เคอาร์ซี เกงค์ :

  • แชมป์เบลเยียมโปรลีก 2010–11
  • แชมป์เบลเยียมซูเปอร์คัพ 2011

โวล์ฟสบวร์ก :

  • แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2014–15
  • แชมป์เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 2015

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ :

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก 2017–18, 2018–19
  • แชมป์เอฟเอ คัพ 2018–19
  • แชมป์อีเอฟแอลคัพ 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2019-2020
  • แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ชีลด์ 2019

เบลเยียม :

  • อันดับที่สาม ฟุตบอลโลก 2018

รางวัลส่วนตัว :

  • Bundesliga Young Player of the Year 2012-13
  • Bundesliga Player of the Year 2014-15
  • Bundesliga Team of the Year 2014-15
  • UEFA Europa League Squad of the Season 2014-15
  • Footballer of the Year in Germany 2015
  • France Football World XI 2015
  • Belgian Sportsman of the Year 2015
  • Manchester City Player of the Year 2015-16, 2017-18
  • FIFA FIFPro World XI 2nd team 2018
  • FIFA FIFPro World XI 3rd team 2016
  • IFFHS Men's World Team 2017
  • UEFA Team of the Year 2017
  • PFA Team of the Year พรีเมียร์ลีก 2017-18
  • Premier League Playmaker of the Season 2017-18
  • UEFA Champions League Squad of the Season 2017-18, 2018-19
  • FIFA World Cup Dream Team 2018

-------------------------------------------------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

>> Sports Profile : ประวัติ แจ็ค กรีลิช แข้งอังกฤษที่เนื้อหอมที่สุด ณ เวลานี้

>> Sports Profile : ประวัติ มาร์คัส แรชฟอร์ด แข้งชาวแมนเชสเตอร์ ผู้มีเลือดผีอยู่เต็มหัวใจ

-------------------------------------------------

ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น

รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่

เก็งไม่มีพลาด! ฟันธงคู่ไหนเด็ด! เจาะลึกก่อนเกมพรีเมียร์ลีก สมัครทาง SMS พิมพ์ R1 ส่งมาที่ 4238066 หรือคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ ใช้ฟรี 7 วัน!!!!

 

ยอดนิยมในตอนนี้