วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2563 ตามเวลาประเทศอังกฤษ ต้องถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ว่าการเดินทางอันแสนยาวนานของหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ใช้เวลาตามหาแชมป์ พรีเมียร์ลีก มานานถึง 30 ปี ได้สิ้นสุดลง การรอคอยทั้งหมดทั้งปวงจบลงเมื่อผู้ตัดสิน สจ๊วร์ต แอตเวลล์ ได้เป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันในเกมที่ เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ไป 2-1 เสียงนกหวีดยาวดุจเสียงสวรรค์ ส่งข่าวดีให้เหล่าพลพรรคหงส์แดงทั่วโลกได้เฮกันสนั่น! แน่นอนว่ามันมีอะไรพิเศษมากกว่าแค่การเป็นสโมสรฟุตบอลธรรมดา อะไรที่สร้างความรัก ความผูกพัน จนสโมสรแห่งนี้กลายเป็นทีมในดวงใจของคนทั้งโลก เราจะมาย้อนเส้นทาง ลิเวอร์พูลสู่แชมป์ลีก บนถนนสายนี้ที่พวกเค้าต้องผ่านร้อนผ่านหนาว เจอกับอะไรมาบ้าง ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1892 จากพื้นที่ว่างในย่านแอนฟิลด์ เมืองลิเวอร์พูล ได้ถือกำเนิดสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ ไต่เต้าจากลีกแคว้นแลงคาเชียร์จนได้เข้าสู่ดิวิชั่น 2 ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คือการสร้างทีมเริ่มจากลีกภูมิภาค เป็นการเริ่มต้นจากศูนย์ ชาวเมืองได้เห็นพัฒนาการจากทีมที่ไม่มีอะไรเลย สนามยังไม่เป็นรูปเป็นร่างแบบในปัจจุบันมีแฟนบอลเข้าชมแค่หลักร้อยคน ใช้เวลาเพียง 8 ปีก็สัมผัสแชมป์ ดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดในขณะนั้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร จนถึงช่วงปี ค.ศ.1970 - ค.ศ.1990 ถือเป็นยุคทองของลิเวอร์พูลเมื่อกวาดแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมาได้รวมกันถึง 11 จาก 18 ครั้งที่พวกเค้าเคยทำได้ และฤดูกาล 1989 – 1990 นี่เองเป็นแชมป์ลีกสูงสุด ครั้งสุดท้าย ที่ลิเวอร์พูลได้สัมผัสมัน เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูล? ทำไมตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 ถึงไม่เคยได้แชมป์ลีกอีกเลย.. ถามความทรงจำของผู้ที่เฝ้าติดตามทีมรักมาอย่างยาวนาน มันเริ่มมาจากการอำลาตำแหน่งของผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเดอะค็อปที่ชื่อ เคนนี ดัลกลิช หลังจากที่เค้าพาลิเวอร์พูลได้แชมป์ในฤดูกาล 1989 – 1990 อีก 10 ปีให้หลังจนถึงปี ค.ศ.2000 ลิเวอร์พูลเปลี่ยนผู้จัดการทีมไปอีก 5 คน มันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ดี ถือเป็นช่วงเวลาที่พาลิเวอร์พูลดำดิ่งไปสู่ความตกต่ำยาวนานนับสิบปี ฟอร์มที่ตกต่ำย่ำแย่ แต่นั่นกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่แสดงความแข็งแกร่งของแฟนบอล ไม่ว่าจะโดนกระหน่ำย่ำยีแค่ไหน แต่แฟนบอล เดอะค็อป ยังแสดงความจงรักภักดีให้กับสโมสรอย่างเหนียวแน่น พร้อมที่จะสนับสนุน และสโมสรลิเวอร์พูลยังเป็นทีมที่ผู้บริหารยังคงรักษาวัฒนธรรมของทีมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ตั้งแต่ปี ค.ศ.1892 - ค.ศ.1998 เป็นเวลา 106 ปีเกิน 1 ชั่วอายุคน ลิเวอร์พูลใช้ผู้จัดการทีมที่ล้วนแต่เป็นคนในสหราชอาณาจักรทั้งสิ้น จนมาถึงปี ค.ศ.1998 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ เชราร์ อุลลิเย่ร์ ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสคนแรก เข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีมที่ย่ำแย่ ตามมาด้วย ราฟาเอล เบนิเตซ ชาวสเปน และล่าสุด เจอร์เกน คล็อปป์ จากเยอรมัน เพิ่งจะเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่มาจากนอกสหราชอาณาจักรในรอบ 128 ปี หลายคนอาจมองว่าเด็กรุ่นใหม่ชอบเชียร์ทีมที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่สำหรับลิเวอร์พูล แม้ 30 ปีจะไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุด แต่ยังมีฐานแฟนบอลรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ สิ่งเหล่านี้มาจากนโยบายการบริหารทีมที่เน้นเกมรุก ดุดัน แม้จะแพ้แต่ยังทำเกมรุกสนุกได้ใจกองเชียร์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือน DNA ที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แรงฮึดของนักเตะในทีมยามที่ลงสนามเป็นผลมาจากพลังของเสียงเชียร์ บทเพลง You'll Never Walk Alone หลังจากที่ดังกึกก้องมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 ไม่เคยเงียบหายไปจากอัฒจันทร์ และวันนี้ก็ได้มาถึง เมื่อ 30 ปีแห่งการรอคอยได้จบสิ้นลง ลิเวอร์พูลคือ แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019 – 2020 ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของพวกเค้า และเป็นครั้งแรกนับจากเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก แม้จะไม่ได้ฉลองแชมป์อย่างเต็มที่จากการระบาดของ โควิด-19 แต่ปฏิกิริยาจากแฟนบอลได้แสดงออกผ่านโลกโซเชียล เมื่อคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูลพุ่งขึ้นติดอันดับ 1 และ 2 ใน Google Trend เป็นกระแสร้อนแรงที่ใคร ๆ ก็พูดถึง เช่นเดียวกับใน Facebook , Twitter หรือ IG ที่ขึ้นมาเต็มฟีดข่าวทั้งวัน เป็นการฉลองแชมป์แบบออนไลน์แบบ New Normal จึงขอบันทึก ลิเวอร์พููลสู่แชมป์ลีก ของเรื่องราวในบทความนี้ ให้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ ในหน้าประวัติศาสตร์ของแฟนลิเวอร์พูลอีกนานเท่านาน... ภาพประกอบจาก sport.trueid.net ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3