TRUE OPINIONS : "พรีเมียร์ลีก" มีอะไร ? หลังการลุ้นแชมป์ชักจะกร่อย ... by "บีม ภควิชญ์"

TRUE OPINIONS : มันคงไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปนัก หากจะบอกว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก นั่นจบสิ้นลงแล้วในเดือนธันวาคม
แน่นอนว่าตามทฤษฎีมันยังไม่ใช่ แต่ในทางปฏิบัติมันยากมากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะแพ้ถึง 4 เกม โดยเฉพาะในยามที่คู่แข่งแย่งแชมป์ทีมอื่นๆ ยังมีจุดบกพร่องที่ต้องตามแก้ไขต่างๆ กันไป
ถึงแม้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พยายามลดความคาดหวังในสถานการณ์แย่งแชมป์ด้วยการออกตัวว่า “เรายังไม่ได้เป็นแชมป์ ไม่ใช่แน่ ๆ ในเดือนธันวาคม” แต่ชัยชนะเหนือคู่แข่งแย่งแชมป์โดยตรงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงการที่บรรดาทีมใหญ่ต่างทำแต้มหกกันระเนระนาดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ยากที่จะเชื่อว่าถ้วยแชมป์ลีกจะไม่อยู่ในการครอบครองของ “เรือใบสีฟ้า” เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 7 ปี
ในอดีต มีการพลิกฝุ่นตลบที่โด่งดังมากๆ สองครั้ง ครั้งแรกคือฤดูกาล 1995/96 ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามหลัง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ถึง 12 แต้ม ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น “ปีศาจแดง” ที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ส่วนในฤดูกาล 1997/98 เป็น อาร์เซน่อล ที่ค่อยๆ ไล่ก่อนกลับมาเข้าป้ายหลังตาม แมนฯ ยูไนเต็ด กว่า 11 แต้ม
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพของ “เรือใบสีฟ้า” ผมยังมองไม่เห็นแง่มุมที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยสองปีที่ว่า ดีไม่ดีพวกเขาสามารถมองไปถึงการเป็น “แชมป์ไร้พ่าย” ได้ด้วยซ้ำ
ถึงแม้สถานการณ์การลุ้นแชมป์จะเหลืออะไรให้ลุ้นน้อยมาก แต่ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ยังห่างไกลจากคำว่ากร่อยมากนัก
หากตัดทีมหัวตารางออกไป เราจะพบว่า “บิ๊กทีม” ที่เหลือต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ค่อนข้างดี โดยการรั้งอันดับ 2-6 แบบหายใจรดต้นคอ
เพราะอย่าลืมว่าแต่ละประเทศสามารถมีทีมที่เข้าสู่รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เพียง 4 ทีมเท่านั้น (ยกเว้นหากมีทีมในประเทศได้แชมป์ยูโรป้าฯ) ดังนั้นอันดับ 1-4 บนตารางจึงมีค่าดั่งขุมทองที่ทุกๆ ทีมคงไม่อยากพลาด
ตัวเลขเงินรางวัลของ UCL กับ UEL นั้นต่างกันไกลลิบนะครับ โดยทีมที่ได้แชมป์ UCL สามารถได้เงินรางวัลสูงสุดถึง 2 พันล้านบาท ในขณะที่เงินได้สูงสุดของแชมป์ UEL อยู่ที่ 6 ร้อยล้านบาท หรือต่างกันถึงเกือบ 4 เท่าตัว
เอาง่าย ๆ แค่เล่น UCL รอบแบ่งกลุ่ม ก็ได้เงินรางวัลเกือบเท่าแชมป์ UEL แล้ว ไหนจะไม่รวมเรื่องชื่อเสียง และแรงดึงดูดซูเปอร์สตาร์เข้าสู่สโมสรอีก
หากตัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นำอันดับที่ 5 ของตารางอย่าง อาร์เซนอล ถึง 17 แต้ม ออกไป เราจะเหลือทีมอันดับ 2-6 ที่มีแต้มห่างกันจากหัวจรดท้ายแค่ 7 แต้ม และสามที่ว่างสำหรับไปลุยฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่
เมื่อดูจากคุณภาพของทั้งห้าทีม ผมมองว่าตัวเลข 7 คะแนนที่วิ่งไล่กันอยู่ เป็นตัวเลขที่ยังสามารถพลิกผันได้อีกเยอะ เพราะทุกทีมต่างมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกันไป
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะดูมีภาษีดีกว่าทีมอื่น ในเรื่องของคะแนนที่โกยมาได้เยอะกว่าชาวบ้านเขาและตัวผู้เล่นที่พอจะสับเปลี่ยนกันได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงเราก็เห็นกันแล้วว่า “ปีศาจแดง” ที่มีกับไม่มี พอล ป็อกบา แตกต่างกันเหมือนคนละทีม และที่สำคัญคือกองกลางชาวฝรั่งเศสยังต้องโดนแบนอีกสองนัดจากการไปย่ำ เฮคตอร์ เบเยริน อีกด้วย
หากให้เดาใจกุนซือโปรตุกีส ตอนนี้ทาง โชเซ่ มูรินโญ่ ก็กำลังสองจิตสองใจ ว่าจะกระโจนลงสู่ตลาดเดือนมกราคมดีหรือไม่ เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะชอบปฏิเสธการลงตลาดหน้าหนาวที่มีความผันผวนสูงและมีตัวเลือกจำกัด แต่ ปีศาจแดง ยังคงขาดผู้เล่นที่ “ต้องซื้อ” ในหลายๆ ตำแหน่ง เช่น กองหน้าตัวสำรอง และปีกธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างความแน่นอนมากขึ้นในสถานการณ์การช่วงชิงพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เข้มข้นมากๆ ในฤดูกาลนี้
ส่วน เชลซี ในทรรศนะของผม ปัญหาของพวกเขาเกิดจากการที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ยังไม่สามารถปรับตัวกับการเล่น 2-3 เกมในหนึ่งอาทิตย์ได้
หากเราสังเกตให้ดี เชลซี ของ คอนเต้ มักมีผลงานไม่ดีเวลาต้องลงเล่นเกมยุโรปกลางสัปดาห์ โดยในฤดูกาลนี้เชลซี เสมอ 2 และ แพ้ 2 หลังลงเล่นเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกับฤดูกาล 2016/17 ที่ทีมไม่ต้องเดือนทางไปเล่นฟุตบอลยุโรป
โจทย์ตรงนี้เป็นจุดใหญ่ที่ คอนเต้ จะต้องแก้ไข เพราะการจัดวางวิธีซ้อมของอาทิตย์ที่มีเกมเดียวกับ 2-3 เกมนั้นแตกต่างกันมาก ไหนจะเรื่องเดินทางที่เพิ่มเข้ามา แล้วเราก็รู้ทั้งรู้ว่า เอฟเอ ก็จัดตารางให้ไม่ค่อยเอื้อให้กับทีมที่ไปเล่นฟุตบอลยุโรปซักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า เชลซี จะมีฟอร์มที่ดีขึ้นในช่วงที่ไม่ต้องลงเล่นฟุตบอลยุโรป และปกติแล้วการมี 32 แต้มใน 16 เกมก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด ผิดแค่ฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ มีฟอร์มที่ดีเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล คิดว่าหลาย ๆ คนคงทราบดี ว่าปัญหาของพวกเขาอยู่ที่ กองหลัง ที่พร้อมจะเสียประตูแปลก ๆ ง่าย ๆ ได้ตลอดเวลา
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่โทษ เยอร์เก้น คล็อปป์ นะ สำหรับการที่กุนซือชาวเยอรมันเฝ้ารอเพียง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และไม่ได้มองตัวเลือกอื่นในการเสริมแนวรับในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
หากเราดูการลงตลาดการซื้อขายของ คล็อปป์ แล้ว เราจะรู้ว่าเขามีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจน มีลิสต์ที่อยากได้อยู่ในใจ และด้วยสถานะทางการเงินของ ลิเวอร์พูล ที่ถือว่าด้อยกว่าทีมอย่าง ซิตี้, แมนยู หรือ เชลซี จะให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับตัวเลือกรองคงเป็นการเสี่ยงมากเกินไปซะเปล่าๆ โดยเฉพาะตลาดนักเตะปัจจุบันที่ราคาค่าตัวชักจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
การจับจ่ายของ “ลิเวอร์พูล” จึงต้องรัดกุม และในเมื่อมีช่องว่างในความผิดพลาดได้น้อย กุนซือชาวเยอรมันจึงตั้งตารอผู้เล่นที่เขาคิดว่า “ชัวร์” ดีกว่า
ในส่วนของทีมจากลอนดอนอีกสองทีม ผมขอมัดรวมกันไว้ในย่อหน้าเดียว
…อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส เป็นทีมที่มีคุณภาพทั้งคู่ แต่ทั้งสองทีมยังมีฟอร์มที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ
โดยเฉพาะ “ไก่เดือยทอง” ที่หลังจากไล่ถล่ม “หงส์แดง” ไปด้วยสกอร์ขาดลอย 4-1 กลับมาเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีเอาซะเลยในเดือนพฤศจิกายน หลังจากเก็บชัยไปเพียงแค่นัดเดียวจากสี่นัด และหากดูสถิติในเจ็ดนัดหลัง พวกเขาเก็บได้แค่ 8 คะแนนเท่านั้นเอง
ส่วน “ปืนใหญ่” ก็มีฟอร์มการเล่นคล้ายรถไฟเหาะ ชนะติด ๆ กันมาพักนึง ต้องมีเกมที่ทำให้แฟนบอลกุมขมับตามสไตล์ “อาร์เซน เวนเกอร์”
แต่ถ้าทั้งสองทีมสามารถเรียกฟอร์มกลับมาได้ให้สมกับคุณภาพของนักเตะที่มี สองทีมนี้ย่อมเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในการแย่งพื้นที่ UCL ที่ทีมหัวตารางยังไงก็ประมาทไม่ได้
เราคงไม่สามารถประมาททีมที่มีแนวรุกอย่าง ลากาแซตต์ – โอซิล – ซานเชส หรือ เคน – อัลลี – อีริคเซ่น ซึ่งสามารถเล่นให้ทีมหัวตารางได้สบาย
จากที่เขียนมาทั้งหมด เราคงมองเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ยังห่างไกลกับคำว่าตอนจบมากนัก
ทุกทีมบนหัวตารางยังไม่ใกล้เคียงคำว่า “ไร้เทียมทาน” ยกเว้นกรณีพิเศษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เชื่อผมเถอะว่าเรายังมีเซอร์ไพรส์รออยู่ในศึกแย่งชิง “ท็อป 4” เพราะทุกทีมต่างมีข้อดีข้อเสีย และอันดับตารางสามารถพลิกผันและกดดันกันได้แบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์
การลุ้นแชมป์อาจจะหมดสนุก แต่พื้นที่ UCL ยังมีอะไรให้ลุ้นกันไปอีกยาว ๆ ครับ
“BEAM”
ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports