ออกสตาร์ทในเกมพรีเมียร์ลีกไปแล้วทั้งสิ้น 3 นัดครับสำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โดยสามารถเก็บได้ 7 แต้มจาก 9 แต้มเต็ม โดยเกมแรกบุกไปเสมอกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ก่อนที่จะกลับมาชนะบอร์นมัธ 3-1 ที่แอนฟิลด์ และเกมล่าสุดที่บุกไปพลิกกลับมาชนะ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิล 1-2 ชนิดที่เป็นรองตัวผู้เล่นและโดนนำตั้งแต่ไก่โห่ ทำให้ ณ ปัจจุบันลิเวอร์พูลรั้งอันดับที่ 4 ของตารางมีคะแนนเท่ากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดและท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ถือว่าเป็นผลงานที่ค่อนข้างพอใจเลย เพราะเก็บหนึ่งแต้มได้จากเกมบิ๊กแมตช์ ชนะเกมที่ต้องชนะ แถมยังสามารถกลับมาชนะคู่แข่งสำคัญในการแย่งพื้นที่ฟุตบอลยุโรปอีกด้วย และในบทความนี้ผมจะพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปดูว่าในฤดูกาล 2023/2024 นี้ทัพหงส์แดงจะต้องเจอกับอะไรบ้าง โดยผมนำข้อมูลมาจาก theanalyst.com เป็นบทความที่เขียนว่าลูกทีมของเยอร์เกน คล็อปป์จะต้องเจอกับ 5 สิ่งต่อไปนี้ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ1. จะมีกองกลางเข้าสู่ทีมเพิ่มอีกหรือไม่?ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลต้องเสียกองกลางที่ช่วยกันพาทีมประสบความสำเร็จมาหลายปีไปถึง 5 คนด้วยกันได้แก่ นาบี เกอิตา, อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เจมส์ มิลเนอร์ และอีก 2 คนที่ขายไปให้กับทีมในลีกซาอุฯ อย่าง "กัปตันเฮนโด้" จอร์แดน เฮนเดอร์สันที่ย้ายไปอัล-อิตติฟาค และฟาบินโญย้ายไปอัล-อิตติฮัด โดยกองกลางที่เหลืออยู่ก็คือ เคอร์ติส โจนส์, ติอาโก อัลคันทารา, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และสเตฟาน บายเซติชแต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปล่อยไปแล้วก็ใช่ว่าจะไม่เสริมเข้ามาเลย หงส์แดงได้มีการเสริมผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางเข้ามาอยู่เช่นกัน โดยเริ่มที่อเล็กซิส แม็ค อลิสเตอร์ กองกลางแชมป์โลกชาวอาร์เจนไตน์ที่ไปซื้อมาจากไบรท์ตันด้วยค่าตัวแสนถูก 35 ล้านปอนด์ ก่อนที่จะไปฉีกสัญญาจำนวน 70 ล้านยูโร (ประมาณ 60 ล้านปอนด์) คว้าตัวโดมินิก โซโบซไล กองกลางกัปตันทีมชาติฮังการีมาจากแอร์เบ ไลป์ซิก และรายล่าสุดก็คือกองกลางกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง "วาตารุ เอนโด" ที่ดึงมาจากสตุ๊ทการ์ท โดยสนนค่าตัวอยู่ที่ 20 ล้านยูโร ทั้งสามคนนี้ค่าตัวรวมกันอยู่ที่ 132 ล้านยูโร ซึ่งเมื่อหักลบกับค่าตัวของเฮนโด้และฟาบินโญที่ถูกขายไปแล้ว (60.7 ล้านยูโร) ตอนนี้ก็ถือว่าใช้ไปในตลาดนี้ 71.3 ล้านยูโรกับการได้นักเตะมา 3 คนก็ถือว่าโอเคอยู่ แต่ที่เป็นปัญหาก็คือตลาดซื้อขายซัมเมอร์นี้ใกล้จะปิดตัวลงไปทุกทีแล้ว (1 กันยา) แต่ในเมื่อคุณปล่อยออกไป 5 คน คุณก็ควรที่จะเสริมกลับมาที่ 5 คนเช่นกันหรือแย่สุดๆ ก็ขอเพิ่มอีกคนเป็น 4 คนก็ยังดี โดยก่อนหน้านี้ก็เกิดความวุ่นวายในตลาดอยู่ช่วงนึงที่ไปเกิดดีลแย่งตัวมอยเซส ไคเซโดกับเชลซี รวมไปถึงการที่เสียโรเมโอ ลาเวียไปให้กับเชลซีอีกเช่นกัน ทั้งๆ ที่มีข่าวด้วยกันมาตั้งนานปัญหาที่ผมอยากพูดถึงก็คือ "กองกลางตัวรับ" โดยตอนนี้คล็อปป์มีกองกลางตัวรับให้ใช้อยู่ 2 คน คือเอนโดกับบายเซติช บายเซติชก็ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ จะมาหวังใช้งานตลอดทั้งฤดูกาลก็ดูจะเสี่ยงไป ส่วนเอนโดก็อายุ 30 ปีแล้ว จะให้มาเป็นตัวหลักก็ไม่น่าใช่ แถมยังย้ายมาจากลีกอื่นอีก น่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พอสมควร นอกจากนี้ก็เป็นกลางรับที่สไตล์แตกต่างกับฟาบินโญอีก สไตล์ของฟาบินโญนั้นคือกลางรับที่จะคอยอ่านเกมและดักบอล แต่กับเอนโดนั้นคือสไตล์นักเตะญี่ปุ่นเลย วิ่ง ไล่เพรสซิง วิ่งเข้ากดดัน ไม่ได้เป็นสไตล์ที่อ่านเกมดักตัดบอลแบบฟาบินโญ ทีนี้ก็ต้องมารอดูกันอีกว่า เอนโดจะปรับตัวให้เป็นสไตล์ดักบอลได้หรือไม่ หรือว่าทีมงานจะปรับใช้แทคติกยังไงให้เหมาะกับเอนโด ที่ผมอยากเห็นก็คือการดึงกองกลางตัวรับระดับท็อปหรือไม่ก็คนที่มาแล้วสามารถเล่นได้เลย ไม่ต้องปรับตัวนานและอายุก็อยู่ในเกณฑ์ที่ทีมมักจะซื้อมา (20 ปีต้นๆ) แต่ที่มีตอนนี้ไม่เป็นดาวรุ่งไปเลยก็คือเข้าสู่ 30 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็มีข่าวพัวพันอยู่กับหลายคน เช่น เคเฟรน ตูราม, มานู โคเน, โซฟิยาน อัมราบัต เป็นต้น รวมไปถึงผู้เล่นในลีกอย่างชีค ดูคูเรของคริสตัล พาเลซ แต่ทั้งหมดนี้ก็มีข่าวเงียบหายไป ส่วนคนที่มีข่าวกันมานานและตอนนี้ก็ยังมีอยู่ก็คือ ไรอัน กราเวนเบิร์ช กองกลางดาวรุ่งของบาเยิร์น มิวนิคแต่กราเวนเบิร์ชนั้นไม่ใช่กลางรับ เน้นไปเป็นเบอร์ 8 ซะมากกว่าซึ่งมันก็ซ้ำกับแม็ค อลิสเตอร์และโซโบแล้ว ที่ต้องการตอนนี้ก็คือกองกลางตัวรับก็ต้องมารอดูกันแหละครับว่าก่อนปิดตลาดนี้ ลิเวอร์พูลจะมีใครเข้ามาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับไหมซึ่งถ้าไม่มี เตรียมตัว "เละ" ได้เลย โดนถาโถมทั้งผลงานในสนามและเสียงวิจารณ์นอกสนามแน่นอน แต่ก่อนจะไปกันต่อในข้อต่อไป ผมมีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวแม็ค อลิสเตอร์และโซโบมาฝากครับ ในฤดูกาลที่แล้วแม็ค อลิสเตอร์มีส่วนร่วมกับประตูไป 12 ครั้ง ส่วนโซโบอยู่ที่ 14 ครั้ง เยอะกว่า 5 อดีตกองกลางรวมกันเสียอีก อีกทั้งเปอร์เซนต์ในการชนะการดวลกัน 2 กองกลางคนใหม่ก็เหนือกว่า 5 อดีตกลางทั้งนั้น แม็ค อลิสเตอร์อยู่ที่ 57.3% โซโบอยู่ที่ 50.9% โอกาสในการสร้างสรรค์เกมก็มากกว่าอีก แม็ค อลิสเตอร์อยู่ที่ 1.5 โซโบทำได้ 2.6 ต่อเกม เหนือกว่าเยอะมากๆ ผมบอกได้เลยว่า 3 นัดที่ผ่านมา 2 กองกลางคนใหม่นี้จะเป็นดีลที่คุ้มค่าตัวแน่นอน แววดีมากๆ เลยครับ คุ้มแน่นอน2. จะใช้งานเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ยังไงให้ดีที่สุด?ต้องยอมรับว่าเทรนท์นั้นคือแบ็คขวาอันดับต้นๆ ของพรีเมียร์ลีก ผ่านการคว้าแชมป์มาแล้วทุกแชมป์ ผ่านเกมที่ยากมาก็เยอะแล้ว แถมในฤดูกาลนี้การจากไปของรองกัปตันคนเก่าอย่างมิลเนอร์ก็ทำให้เทรนท์ได้รับการเลื่อนขั้นให้ขึ้นมาเป็น "รองกัปตัน" ทีมคนใหม่ แซงหน้าพี่ๆ ในทีมทั้งโม ซาลาห์, แอนดี โรเบิร์ตสัน รวมไปถึงอลิซอนอีกด้วยในเรื่องของเกมรุกเราไม่สงสัยในความสามารถของเทรนท์ได้เลย เขามีการเติมเกมรุกที่สนุกมาก การครอสบอลก็เป็นทีเด็ดของทีมได้เสมอ แต่ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า "เกมรับ" คือจุดอ่อนของเทรนท์ที่ชัดเจนมากๆ ชัดระดับ 4K เลยทีเดียว เรามักจะเห็นว่าเทรนท์นั้นมักจะโดนคู่แข่งเลี้ยงผ่านเป็นประจำ หรือคู่แข่งจะสวนกลับในฝั่งของเทรนท์ตลอด เพราะเทรนท์นั้นมักจะดันขึ้นสูงและกลับลงมาไม่ทัน คู่แข่งเจาะฝั่งที่เทรนท์ยืนตลอด และเมื่อฤดูกาลที่แล้วถือว่าเป็นซีซั่นที่เทรนท์นั้นฟอร์มดรอปลงไปมากๆ ในช่วงต้นถึงกลางซีซั่น ก่อนที่ในช่วงท้ายคล็อปป์จะปรับวิธีการเล่นของเทรนท์ให้กลายมาเป็น Inverted Fullback จนทำให้ฟอร์มของทีมกลับมาดีอีกครั้ง โดยวิธีการเล่นก็คือเวลาที่ทีมครองบอลหรือจะเซ็ตเกมบุก เทรนท์นั้นจะหุบเข้ามาเป็นเหมือนกองกลางอีกคนนึง ช่วยทีมสร้างเกมรุก จะมีการออกบอลจากแนวลึกมากขึ้น เพิ่มมิติในเกมรุกไปอีกแบบ แต่มันก็จะต้องมาแลกด้วยพื้นที่บริเวณแบ็คขวาที่มันจะหายไป โดยคนที่รับภาระหน้าที่หนักอึ้งตรงนี้ก็จะเป็นกองหลังฝั่งขวาอย่างอิบราฮิมา โคนาเตที่จะต้องเล่นทั้งเซนเตอร์แบคทั้งคอยซ้อนตำแหน่งของเทรนท์ Role การเล่นนี้ก็จะยิ่งทำให้เรื่องเกมรับของเทรนท์นั้นอ่อนยวบลงไปด้วย มันจึงเกิดคำถามที่ว่า เทรนท์ควรจะเล่นตรงไหนดี เป็นแบ็คขวา วิงแบ็คแบบที่ผ่านมาไปเลย หรือเล่นแบบไฮบริด หุบเข้ากลางมาบ้างดีโดยสถิตในฤดูกาลที่แล้ว เทรนท์เล่นแบ็คขวาแบบปกติในเกมลีกไปทั้งสิ้น 27 นัด ทำไปได้ 2 แอสซิสต์ สร้างโอกาสต่อเกมอยู่ที่ 2.1 สร้างโอกาสครั้งใหญ่ให้กับทีมอยู่ที่ 0.7 ครั้งต่อเกม สัมผัสบอลต่อเกม 97.3 ครั้ง และค่า xA หรือจังหวะจ่ายบอลที่ควรเป็นแอสซิสต์อยู่ที่ 0.23 ครั้งต่อเกม แต่พอช่วงท้ายที่ถูกปรับมาเล่นในอินเวิร์ต ฟูลแบ็คจำนวน 10 นัด เทรนท์ทำไปถึง 7 แอสซิสต์ มากกว่า Role เดิมถึง 3 เท่า สร้างโอกาสต่อเกมก็เพิ่มมาอยู่ที่ 2.3 ครั้งต่อเกม สัมผัสบอลต่อเกมก็เพิ่มมาอยู่ที่ 107.3 ครั้งต่อเกม xA อยู่ที่ 0.39 ต่อเกม และนับตั้งแต่ปรับให้เทรนท์มาใน Role ใหม่นี้ก็ช่วยให้ทีมนั้นสามารถเก็บไปได้ถึง 24 แต้มจากทั้งหมด 30 แต้ม เป็นรองเพียงแมนซิตี้ที่เก็บไปได้ 25 แต้มแต่อย่างที่บอกไปครับว่าปกติเล่นแบ็คขวาแบบปกติ เรื่องของเกมรับก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่อยู่แล้ว พอโดนปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นก็ยิ่งทำให้เรื่องเกมรับไปได้เลย ซึ่งเริ่มมา 3 นัดในเกมเจอบอร์นมัธช่วงแรกๆ ก็ถูกปรับให้ขยับมาในตำแหน่งกองกลางมากขึ้น ผลที่เห็นคือเกมรับเละไม่เป็นท่าเลย ก่อนที่จะถูกปรับให้เล่นแบ็คขวาแบบปกติเหมือนเดิม เกมรับถึงดีขึ้นมา ในส่วนนี้ก็เป็นการบ้านของคล็อปป์และทีมงานแล้วว่าจะให้เทรนท์เล่นยังไงดี แบบปกติหรือไฮบริดขยับมาเป็นกองกลางอีกคนดีมั้ย มันได้อย่างเสียอย่างจริงๆ ครับ เพราะถ้าเล่นแบ็คขวาปกติ โอเคลูกครอสด้านข้างก็ยังจะมี เกมรับก็ยังไม่แย่เท่าตอนขยับเข้ากลาง แต่มิติเกมรุกในแนวลึกจากแดนกลางก็จะหายไป (แต่จริงๆ แม็ค อลิสเตอร์กับโซโบก็ทำได้นะ) แต่ถ้าขยับเข้ากลางบอลจ่ายจากแนวลึกก็จะมีความอันตราย แต่เกมรับก็หายไปพอสมควร เลือกยากอยู่เหมือนกันนะ3. แนวรับเพียงพอหรือยัง?การเสียกองกลางไปพร้อมกัน 5 คนนั้นเป็นเรื่องใหญ่และคนส่วนใหญ่ก็โฟกัสไปที่กองกลาง แต่อย่าลืมว่าในตำแหน่งเกมรับหรือกองหลังนั้นก็สำคัญและก็ยังเป็นปัญหาของหงส์แดงเหมือนกัน เพราะปกติเกมรับก็ไม่ค่อยเด่นอยู่แล้ว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์คที่เป็นผู้นำในแผงหลังก็โรยราไปเรื่อยๆ เพราะอาการบาดเจ็บที่เคยบาดเจ็บหนัก ฟาบินโญก็หายไปอีก เอนโดก็ต้องปรับตัว บายเซติชก็ยังดาวรุ่งอยู่ ยังไม่ช่วยสามารถขันเกมรับให้แน่นพอแน่นอน และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเสริมกองหลังเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียวฤดูกาลที่แล้วเห็นได้ชัดเลยว่าหงส์แดงมีปัญหาในเรื่องของเกมรับมากๆ ในเกมพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ที่คล็อปป์เข้ามาคุมทีม ลูกทีมของเขานั้นเจอคู่แข่งมีโอกาสส่องประตูไปทั้งหมด 370 ครั้ง แต่ในฤดูกาลที่แล้วเพียงฤดูกาลเดียว ลิเวอร์พูลมีโอกาสโดนยิงประตูไปถึง 73 ครั้ง มากที่สุดตั้งแต่คล็อปป์มาคุมเลย และมีถึง 27.8% ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงมากๆ ที่จะเสียประตู เยอะที่สุดในยุคคล็อปป์อีกเช่นกัน ตัดภาพไปที่ในฤดูกาล 2021/2022 หรือฤดูกาลที่ได้แชมป์ 2 บอลถ้วยในประเทศ พวกเขาเจอจังหวะเสี่ยงสูงที่จะเสียประตูอยู่ที่ 53 ครั้งเท่านั้น น้อยสุดเป็นอันดับ 5 ของลีก แต่ในฤดูกาลที่แล้วมันดันเพิ่มมาเกือบสองเท่า โอกาสเสี่ยงสูงมากๆ ที่จะเสียประตูอยู่ที่ 103 ครั้ง เป็นรองเพียงฟูแลมและลีดส์ ยูไนเต็ด (112 ครั้ง)ปัญหาที่เห็นได้ชัดก็คือ มันไม่ใช่เพียงแต่แผงหลังที่ไม่ได้เล่นดีเหมือนเดิม มันยังรวมไปถึงเหล่ากองกลางด้วยที่ไม่สามารถสกัดเกมรุกของคู่แข่งได้ดีเท่าที่ควร ด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น เจ็บบ่อยขึ้นของเฮนโด้ พละกำลังที่ทดถอยของฟาบินโญก็ไม่สามารถตัดเกมได้เหมือนเมื่อก่อน มันเลยทำให้เกมรุกของคู่แข่งนั้นเจาะไปถึงแนวรับได้บ่อยครั้ง นอกจากนี้กองหลังซีเนียร์อย่างมาติปและฟาน ไดจ์คอายุก็แตะเลข 3 กันหมดแล้ว จะมาหวังพึ่งโจ โกเมซก็ดันไม่เคยมีฟอร์มที่คงเส้นคงวาเลย เหมือนมีร่างทองแค่ฤดูกาลละนัดแค่นั้น (ซีซั่นที่แล้วร่างทองแค่เกมที่ชนะแมนซิตี้ที่แอนฟิลด์ ที่เหลือหายหมด) ส่วนคนที่หวังได้มากที่สุดอย่างโคนาเตที่เล่นดีก็จริง แต่ก็มักจะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนตลอด เกมล่าสุดที่เจอนิวคาสเซิลก็ไม่ได้ลงเพราะมีอาการบาดเจ็บ แถมถ้าอยากจะสร้างระบบการเล่นขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะรองรับการขยับให้เทรนท์เข้ามาเซ็ตเกมจากแดนกลางมากขึ้น ทีมก็ต้องการกองหลังฝั่งขวาคนใหม่เข้ามาเหมือนกัน ส่วนในรายของร็อบโบ้นั้นสามารถเล่นกองหลังฝั่งซ้ายได้ก็จริง แต่มันไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด แถมจะทำให้เสียประโยชน์จากการเล่นแบ็คซ้ายของเจ้าตัวไปอีกด้วย เชื่อว่ามันได้ไม่คุ้มเสียกันเท่าไหร่ในเกมพรีซีซั่นก็เห็นชัดๆ แล้วว่าเกมรับมีปัญหา เพราะเสียไปถึง 4 ประตูในเกมที่เจอกับกรอยเธอร์ เฟือร์ธและบาเยิร์น มิวนิค โดยจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดมากๆ คือมักจะโดนคู่แข่งเปิดบอลข้ามหัวข้ามไลน์ของกองหลังและอาศัยการสอดบวกกับการทำลายกับดักล้ำหน้าของเกมรุกเข้าไปยิงประตู และพอเปิดฤดูกาลใหม่มานี้ก็เสียประตูทุกนัด นัดละประตูก่อนปิดตลาดช่วงซัมเมอร์นี้หวังว่าจะมีการเสริมทัพในตำแหน่งกองหลังเพิ่มเหมือนกันนะ โดยที่รายงานส่วนใหญ่ก็คืออยากได้กองหลังเท้าซ้าย แต่ปัญหาตอนนี้คือยังไม่ได้กองกลางรับตัวรับที่จะเป็นตัวจริงแทนฟาบินโญเลย กองหลังตัวกลางคงยากและน่าจะต้องรอไปก่อน และหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่กองหลังพาเหรดกันเจ็บเหมือนฤดูกาล 2020/2021 นะที่เจ็บจนต้องถอยฟาบินโญและเฮนโด้มาเล่นเป็นคู่เซนเตอร์4. แนวรุกจะจัดตำแหน่งกันยังไง?ในเรื่องของเกมรุกก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัญหาในเชิงบวก เพราะนอกจากจะเป็นปัญหาน้อยที่สุดแล้ว แต่ปัญหาที่ว่าก็คือจะจัดตัวกันยังไงในเกมรุก เพราะมีตัวเลือกเยอะมากลิเวอร์พูลเสียซาดิโอ มาเน, ดิว็อก โอริกีไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (รวมไปถึงทาคุมิ มินามิโนะ) แต่ก็ยังมีหลุยส์ ดิอาซและดาร์วิน นูนเญซเข้ามาทดแทน พอจบฤดูกาลที่ผ่านมาก็เสียโรแบร์โต เฟอร์มิโนไปอีกคน แต่ก็ยังมีการเสริมโคดี กัคโปมาช่วงกลางซีซั่นที่แล้ว ถือว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายที่ดีและโอเคเลยทีเดียว ขอชื่นชม นอกจากนี้ยังคงเก็บโม ซาลาห์และดิโอโก โจตาไว้ให้อยู่กับทีมต่อไปได้อีก เป็นแนวรุกที่น่ากลัวพอสมควร (แต่ช่วงนี้ข่าวของซาลาห์กับอัล-อิตติฮัดก็แรงเหมือนกัน)แนวรุกชุดใหม่นี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวรุกที่มี Squad Depth ที่ยอดเยี่ยมชุดนึงของคล็อปป์เลย นับตั้งแต่การให้กำเนิดสามประสาน เน่-โน่-โม แถมยังมีหน่วยซัพพอร์ตอย่างโอริกี, เซอร์ดาน ชากีรี และมินามิโนะที่คอยสแตนด์บายสำรองอยู่ ในตอนนี้ถ้าหากจะจัด 3 ตัวบนจะจัดยังไงดี? แน่นอนล่ะว่าฝั่งขวา ซาลาห์นั้นยังไงก็ต้องเป็นตัวจริงแน่นอนด้วยปัจจัยหลายๆ ด้านที่ส่งให้ยังไงโมก็ต้องเป็นตัวจริง ทั้งเรื่องค่าเหนื่อยรวมไปคลาสและเซนส์ฟุตบอลของตัวซาลาห์ที่ช่วยเหลือทีมได้ตลอดอีก แต่อีก 4 คนในสองตำแหน่งที่เหลือล่ะจะทำยังไงดี?ฤดูกาลที่แล้วเกมรุกของลิเวอร์พูลที่ไม่มีซาดิโอ มาเนแล้ว แต่ในพรีเมียร์ลีกก็ยังสามารถสร้างโอกาสแบบเหน่งๆ ได้ไปถึง 103 ครั้ง เท่ากับทีมแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้เลย แต่การเปลี่ยนเป็นประตูนั้นไม่ได้เยอะเหมือนทีมเรือใบเลย ซึ่งมีเพียง 5 ทีมเท่านั้นที่เปอร์เซนต์ในการเปลี่ยนโอกาสสำคัญเป็นประตูต่ำกว่า 37.6% (ลิเวอร์พูล) ตัดภาพไปที่อาร์เซนอล ที่ถึงแม้มีโอกาสสำคัญเพียง 73 ครั้งน้อยกว่าหงส์แดงถึง 30 ครั้ง แต่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ถึง 49.5% มากกว่าแมนซิตี้เสียอีก (47%)พูดถึงตัวรุกแต่ละคนบ้างดีกว่า กัคโปก็เพิ่งมาในตลาดหน้าหนาวเดือนมกราและก็ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้เปลี่ยนในหน้าที่กองหน้า False 9 ไม่ใช่คนจบสกร์ แต่จะเป็นคนคอยเชื่อมเกม พูดง่ายๆ คือเข้ามาเป็นตัวแทนและทำหน้าที่แทนบ๊อบบี้นั่นแหละ ส่วนโจตาก็ได้ลงน้อยอยู่เหมือนกัน เนื่องจากต้องรักษาอาการบาดเจ็บบริเวณสะโพก เช่นเดียวกับดิอาซที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ส่วนคนที่เพิ่งย้ายมาอย่างนูนเญซนั้นก็ไม่ได้ลงสนามแบบต่อเนื่อง มีทั้งโดนใบแดงแบน 3 นัดในช่วงแรก, บอลโลกที่กาตาร์มาเบรคกลางฤดูกาล มีอาการบาดเจ็บรบกวนอีกจึงทำให้พอฟอร์มเริ่มเข้าที่ก็มักจะมีเรื่องอดลงสนามอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากเป็นนูนเญซใน "ร่างทอง" ตอนเล่นให้เบนฟิกา ฤดูกาล 2021/2022 ก็คงจะดีมากๆ ไปเลย เพราะฤดูกาลนั้นนูนเญซนั้นลงเล่นในลีกของโปรตุเกส เขาทำไปได้ 21 ประตูจากโอกาสสำคัญ 35 ครั้ง ค่าการเปลี่ยนเป็นประตูสูงถึง 60% แต่ปัญหาของน้องหนูนก็คือเขามักจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับทีมใหม่ของเขาเสมออย่างน้อยหนึ่งฤดูกาล โดยฤดูกาลแรกที่เข้าย้ายไปอยู่กับเบนฟิกา (2021/2022) เขายิงไปได้เพียง 6 ประตูจากการลงสนาม 29 เกม (ตัวจริง 19 เกม) ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาจะเพิ่มเป็น 26 ประตูจาก 28 เกม (ตัวจริง 24 เกม) ซึ่งนับเฉพาะเกมลีกนะครับส่วนกองหน้าร่างเล็กแต่โหม่งได้บ่อยอย่างดิเอโก โจตานั้น ฤดูกาลที่แล้วถือว่าเป็นขวบปีที่ค่อนข้างแย่เลย เพราะเขาลงเล่นและไม่สามารถยิงได้เลยนานเป็นปี ประตูแรกของเขานั้นต้องรอถึงเดือนเมษายนในเกมที่ลิเวอร์พูลถล่มลีดส์ ยูไนเต็ด 6-1 จบฤดูกาลด้วยผลงาน 7 ประตูซึ่งจะเป็นการยิงในช่วง 9 เกมสุดท้าย (ตัวจริง 5 เกม) ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าถ้าหากเขาเครื่องติดแล้ว เขาก็มักจะเป็นคนที่ทำประตูให้ทีมได้อยู่เสมอ (7 ประตูมาจากโอกาสการยิง 19, xG อยู่ที่ 4.4 ครั้ง, ลงเล่น 462 นาที)สิ่งที่คล็อปป์และทีมงานมักจะทำได้ดีเสมอก็คือการรู้วิธีใช้งานนักเตะ รู้วิธีในการโรเทชันนักเตะ แถมนอกจากนี้ยังมีดาวรุ่งที่รอวันเฉิดฉายอย่าง "เบน โดค" อยู่ด้วย น้องโดคนั้นมีการเล่นที่ค่อนข้างหวือหวาพอสมควรเลย และอาจจะเป็นตัวแทนของซาลาห์ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ต้องไปเล่นฟุตบอลแอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ให้กับทีมชาติอียิปต์ แต่ก็อาจจะสลับการลงกับเอลเลียตต์หรือโซโบซไลที่สามารถเล่นในตำแหน่งนี้ได้เหมือนกันส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้สึกว่าตำแหน่งที่ที่น่าจะปวดหัวที่สุดคือตำแหน่ง "กองหน้าตัวเป้า" เพราะอย่างที่รู้กันว่ากองหน้าตัวกลางนี้คล็อปป์มักจะให้นักเตะคนนั้นเล่นในหน้าที่ของ False 9 หรือกองหน้าตัวหลอก กองหน้าคอยเชื่อมเกม ซึ่งก่อนหน้านี้คนที่รับหน้าที่นี้คือเฟอร์มิโน คนต่อมาก็คือกัคโป แต่อย่าลืมว่าคู่แข่งนั้นก็สามารถจับทางได้เหมือนกัน โดยตัวเลือกในตำแหน่งนี้ก็มีทั้งกัคโป, นูนเญซ และโจตา ซึ่งคนที่หน้าห่วงที่สุดคือนูนเญซ เพราะไม่ใช่ Role ที่เจ้าตัวถนัดเลย เพราะเจ้าตัวนั้นคือกองหน้าสไตล์ที่พร้อมทำลายกับดักล้ำและอาศัยการจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยมของเพื่อนๆ หลุดเข้าไปทำประตู เขาคือเพชรฆาตในกรอบเขตโทษ มันจึงไม่ค่อยเหมาะกับการเล่นในหน้าที่ของ F9 ส่วนปีกหรือกองหน้าซ้าย ดิอาซนั้นก็จองไว้อยู่แล้ว ไหนจะมีโจตาและกัคโปที่เล่นได้อีก จะจับนูนเญซไปเล่นก็เสียดายของซะเปล่า หนูนมีความเร็วก็จริง กระชากบอลผ่านคู่แข่งหลายบ่อยครั้ง แต่ตำแหน่งที่เหมาะกับเจ้าตัวจริงๆ คือกองหน้าตัวเป้าที่ไม่ใช่ False 9 นี่แหละคือปัญหาที่น่าปวดหัวในการจัดตัวรุกอีก 2 ตำแหน่งที่เหลือ5. กลับไปลุยยูโรปา ลีกอีกครั้งอย่างที่ทราบกันดีครับว่าฤดูกาลที่แล้วหงส์แดงจบเพียงอันดับ 5 พลาดไป UCL แต่ยังได้ไปลุยฟุตบอลยุโรปในรายการยูฟา ยูโรปา ลีก และนี่คือเวทีที่ว่ากันว่าจะเป็นสถานที่ในการ "แจ้งเกิด" สำหรับเบน โดค น่าจะเป็นพื้นที่ที่มอบโอกาสลงสนามให้กับเขา เพราะถูกเรียกขึ้นทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวเป็นฤดูกาลแรก และแน่นอนว่าคุณภาพและความเคี่ยวของทีมในยูโรปานั้นสู้ทีมในยูซีแอลไม่ได้แน่นอน ไม่แปลกเลยที่โดคจะได้รับโอกาส และมีคำถามอีกข้อนึงก็คือเขาจะสามารถล้างแค้นและลบฝันร้ายเมื่อฤดูกาล 2015/2016 ได้หรือไม่ที่พวกเขาสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศแล้วแต่ก็ต้องแพ้ให้กับ "เจ้าแห่งยูโรปา ลีก" อย่างเซบียาไป โดยครั้งล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ในถ้วยใบนี้ต้องย้อนไปในปี 2001 นู่นเลย แถมสามารถคว้าแชมป์ได้ในยุคที่ยังใช้ชื่อการแข่งขันว่า "ยูฟา คัพ" อยู่เลย ซึ่งในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถจบซีซั่นด้วยการเป็น "เทรเบิลแชมป์บอลถ้วย" (เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูฟา คัพ)ในฤดูกาลที่แล้วเราได้เห็นภาพที่แปลกตาไปแล้วที่ได้เห็นทั้งอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดลงเล่นในรายการนี้ (ฤดูกาลนี้ทั้งคู่กลับไป UCL แล้ว) ซึ่งฤดูกาลนี้มันคงแปลกตาไม่น้อยเหมือนกันนะที่เราจะได้เห็นนักเตะอย่างอลิซอน, ฟาน ไดจ์ค และซาลาห์ลงเล่นในรายการนี้ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเล่นใน UCL มาตลอดแถมยังสามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้ทุกครั้งอีกด้วย"ข้อดี" ของการลงมาเล่นยูโรปา ลีกนั้นที่เห็นได้ชัดๆ คือการที่คล็อปป์นั้นจะได้ "พัก" นักเตะตัวหลัก เพราะถ้าในแชมเปียนส์ลีกคงไม่สามารถพักได้แน่นอน ตัวอย่างที่เห็นได้จากฤดูกาลที่แล้วคือการที่มิเกล อาร์เตตานั้นพักตัวหลักในเกมยูโรปา ลีกไปถึง 7 ครั้ง และเมื่อเทียบกับความเข้มข้นในการแข่งขันของพรีเมียร์ลีกแล้ว ทุกทีมเวลาเจอกันไม่เคยเป็นงานง่ายเลยยิ่งพวกทีมหัวตารางยิ่งแล้วใหญ่ บอลสามหน้า แพ้ชนะเสมอเกิดได้ตลอด มันจึงไม่แปลกเลยที่เวทียูโรปา ลีกจะเป็นอีกโอกาสหรือเป็น "ทางลัด" ในการกลับไปเล่นในยูฟา แชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง เพราะการไม่ได้เล่นในยูซีแอลนั้นส่งผลในหลายๆ ด้าน ทั้งการดึงดูดนักเตะ รวมไปถึงรายได้ที่จะได้รับด้วย มันคงไม่ดีแน่ๆ หากต้องห่างหายจากถ้วยหูโตไปถึงสองฤดูกาลติดต่อกันและอย่างที่บอกครับว่าครั้งล่าสุดที่ได้แชมป์ยูโรปา ลีกนี้ก็ต้องย้อนไปในปี 2001 นู่นแหละ ในชื่อยูฟา คัพ ซึ่งก็มีเรื่องบังเอิญ เพราะว่าตอนนั้นพวกเขาก็มีกองกลางที่มีนามสกุลอย่าง "แมคอลิสเตอร์" อยู่ด้วย โดยในตอนนั้นลิเวอร์พูลมีแกรี แมคอลิสเตอร์ เป็นรุ่นพี่ใหญ่ในแผงกองกลาง ส่วนตอนนี้ก็ดันมามีอเล็กซิส แมค อลิสเตอร์ อยู่ในทีมอีก ไม่แน่เหมือนกันว่านามสกุลแมคอลิสเตอร์นี้อาจจะนำโชคให้ลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ในรายการนี้ได้อีกครั้งแถมยูโรปา ลีกคือถ้วยเดียวที่เยอร์เกน คล็อปป์นั้นยังไม่สามารถพาลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จได้ เหลือเพียงถ้วยนี้ถ้วยเดียวจริงๆและนี่ก็คือ 5 สิ่ง 5 คำถามที่ลิเวอร์พูลจะต้องเจอในฤดูกาล 2023/2024 มีทางปัญหาในด้านที่ดี ด้านที่แย่ด้วย คราวนี้ก็อยู่ที่นักเตะ, เยอร์เกน คล็อปป์และทีมงานแล้วแหละว่าจะสามารถพาหงส์แดงตัวนี้กลับมาผงาดและกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ได้หรือไม่ ต้องติดตามกันอยู่ครับสำหรับ "เดอะ ค็อป"ขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Facebook ของ Liverpool FC ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 9, ภาพประกอบ 10, ภาพประกอบ 11 และภาพประกอบ 12ภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !