รีเซต
ซัวเรซรายล่าสุด! 6 แข้ง "ซูเปอร์สตาร์" ที่กลับกลายเป็นส่วนเกินของทีม

ซัวเรซรายล่าสุด! 6 แข้ง "ซูเปอร์สตาร์" ที่กลับกลายเป็นส่วนเกินของทีม

ซัวเรซรายล่าสุด! 6 แข้ง "ซูเปอร์สตาร์" ที่กลับกลายเป็นส่วนเกินของทีม
EkkEReport
26 สิงหาคม 2563 ( 16:00 )
1.9K
10

การที่นักเตะคนหนึ่ง ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเอง จนกลายมาเป็นแข้งระดับโลกได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ใช่ว่า เมื่อมี ชื่อเสียง เกียรติยศ มากมายแล้ว จะทำให้แข้งรายนั้น สามารถโลดแล่นในระดับสูงสุด ของวงการลูกหนังได้ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา และนี่คือ 6 นักเตะ ผู้เคยเป็น "ซูเปอร์สตาร์" ในโลกฟุตบอล ที่เวลานี้ต้องกลับกลายเป็นแข้งที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างไม่น่าเชื่อ

"ในโลกนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน" คงจะเป็นวลีที่สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกเรื่องราวจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ใน "วงการลูกหนัง"

เมื่อมีนักเตะหลายต่อหลายคน ที่เคยเป็น ยอดแข้งระดับโลก และมีชื่อเสียงโด่งดัง จนเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก วันหนึ่งก็กลับกลายเป็น นักเตะที่ไม่เป็นที่ต้องการของต้นสังกัดที่พวกเขาค้าแข้งอยู่อีกต่อไป แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จ หรือ ชื่อเสียง ที่เคยมีในอดีต ไม่ได้การันตีเลยว่า พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ในจุดสูงสุดได้ตลอดไป ตราบใดที่โลกนี้ยังมี "การเปลี่ยนแปลง" เกิดขึ้นอยู่ในทุกวินาที

วันนี้ผมได้รวบรวมเอา 6 ดาวเตะระดับท็อปของโลก ที่ปัจจุบัน ต้องกลับกลายเป็นแข้งที่ไม่ได้ถูกเหลียวแลจากทีมของพวกเขาแล้ว ส่วนจะมีใครกันบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ

 

เมซุต โอซิล

อดีตแข้ง "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2014 วัย 31 ปี เคยมีคืนวันอันหวานชื่นกับทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด สมัยค้าแข้งอยู่ในสเปน ระหว่างปี 2010-2013 ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของเขาในขณะนั้น จึงทำให้ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ตัดสินใจกระชากตัว โอซิล มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ด้วยค่าตัว 42.5 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นสถิติการซื้อตัวนักเตะที่แพงที่สุดของยอดทีมจากลอนดอนในเวลานั้น

ช่วงแรกปีแรกๆ ในอังกฤษ เพลย์เมคเกอร์ชาวเยอรมัน เชื้อสายตุรกี ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายเป็นกำลังหลักของ ทัพปืนใหญ่ อย่างไม่มีข้อสงสัย แต่แล้ว จุดเปลี่ยนก็มาเกิดขึ้น ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย "แชมป์เก่า" อย่าง ทีมชาติเยอรมนี เกิดพลาดท่าพลิกล็อค ตกรอบแรกไปอย่างไม่น่าเชื่อ นำมาซึ่งกระแสโจมตี และเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากแฟนบอล ซึ่งแข้งที่กลายเป็นเป้าที่ถูกเล่นงานเป็นลำดับต้นๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ตัวรุกอาร์เซน่อล รายนี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น มันเลวร้ายสำหรับโอซิลมาก จนเจ้าตัวต้องตัดสินใจประกาศ เลิกเล่นทีมชาติอย่างเป็นทางการเลยทีเดียว ทว่าจากวันนั้นเป็นต้นมา ฟอร์มของเขากับต้นสังกัด ก็ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย ราวกับสภาพจิตใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประกอบกับค่าเหนื่อยอันมหาศาลถึง 350,000 ปอนด์ (ราว 13.3 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของเขา ทำให้เขาถูกโจมตีอย่างหนักอีกครั้งว่า ไม่ทุ่มเทเพื่อทีมเท่าที่ควร และเล่นได้ไม่สมกับค่าเหนื่อยอันแสนแพง และล่าสุด สถานการณ์ของเขา ก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือปืนใหญ่ ตัดสินใจไม่ส่งเขาลงสนามเลยนับตั้งแต่ศึกพรีเมียร์ลีก กลับมารีสตาร์ทในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จนมีข่าวว่า อาร์เซน่อลจะยอมจำใจจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้กับ โอซิล ตามสัญญาที่เหลืออยู่อีก 1 ปี เพื่อให้เขาออกจากทีมไปในซัมเมอร์นี้เลย

 

แกเร็ธ เบล

ปีกพญาวานร วัย 31 ปี แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้านเกินหยุดยั้ง ทำให้ เรอัล มาดริด ต้องจัดการกระชากตัว ดาวเตะทีมชาติเวลส์รายนี้ มาร่วมทัพในปี 2013 ด้วยค่าตัว 85.3 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นสถิติโลกในเวลานั้น ทำลายสถิติเดิมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ ราชันชุดขาว ทุ่มเงินซื้อมาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 80 ล้านปอนด์ ในปี 2009

ด้วยค่าตัวระดับสถิติโลก ทำให้ เบล ถูกคาดหวังให้เขาเข้ามาเป็นแข้งคนสำคัญของทีม ร่วมกับ โรนัลโด้ ในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาบิว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งเขาก็สามารถโชว์ฟอร์มได้เป็นอย่างดี และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์มาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนัดชิงชนะเลิศ ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2017/18 ที่ เรอัล มาดริด ปะทะกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โดยเกมนั้น เบล ถูก ซีเนดีน ซีดาน ส่งลงสนามเป็นตัวสำรอง ก่อนที่เขาจะโชว์ลูกยิงสุดมหัศจรรย์ ด้วยการตีลังกาจักรยานอากาศฟาดบอล เข้าประตูไปอย่างหมดจด ตามด้วยลูกส่องไกลยิงอีกหนึ่งประตู ทำให้เขาซัดคนเดียว 2 ลูก ช่วยให้ ยอดทีมจากมาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยติดต่อกันได้สำเร็จ และกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 13 ของสโมสรอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม จากวันนั้น เส้นทางลูกหนังของ แกเร็ธ เบล กับ เรอัล มาดริด ที่ดูเหมือนว่าน่าจะไปได้ดี ต้องพลิกผัน และกลับกลายเป็นเหมือนหนังคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง เมื่อสิ้นฤดูกาลดังกล่าว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตัดสินใจอำลาทีม แล้วย้ายไปซบ ยูเวนตุส ซึ่งเวลานั้น เบล ถูกคาดหมายจากหลายฝ่ายว่า จะต้องขึ้นมาเป็นผู้นำในเกมรุกแทน ทว่า ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์คนเก่ง กลับไม่ได้คิดแบบนั้น เมื่อ ซีดาน แทบจะไม่ได้ไว้วางใจ ปีกความเร็วสูงรายนี้ อีกต่อไป และหลังจากที่ เบล ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม แทนที่เขาจะเค้นฟอร์มเก่ง เพื่อเอาชนะใจกุนซือชาวฝรั่งเศสให้ได้ แต่เขากลับไปค้นพบความสุขอย่างอื่น นอกสนามฟุตบอล นั่นคือ การเล่นกอล์ฟ เบล เริ่มหลงใหลในกีฬากอล์ฟมากขึ้นทุกวัน จนดูเหมือนกับว่า กอล์ฟ จะกลายเป็นสิ่งที่เขาโฟกัส มากกว่าฟุตบอลไปเสียแล้ว

และล่าสุด ดาวเตะรายนี้ ยังสร้างเรื่องที่ทำให้อนาคตของเขากับต้นสังกัดยิ่งมืดมนลงไปอีก เมื่อถูกจับภาพได้ว่า เขานั่งหลับบนม้านั่งสำรอง ระหว่างที่ทีมของเขากำลังลงเตะอยู่ในสนาม แต่ที่แสบไปกว่านั้นคือ ในเกมต่อมา เบล จึงจัดการตอกกลับเสียงวิจารณ์ ด้วยการใช้มือทำท่าส่องกล้องดูเกมจากบนอัฒจันทร์ เพื่อประชดกระแสโจมตีเสียเลย ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ได้สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก

 

ฮาเมส โรดริเกซ

ดาวเตะทีมชาติโคลัมเบีย วัย 29 ปี ระเบิดฟอร์มเทพ จนดังเป็นพลุแตกใน ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยเขาสามารถพาทีมบ้านเกิดทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะพ่ายให้กับเจ้าภาพ บราซิล 1-2 ซึ่งจากการแข่งขันรายการนี้ ฮาเมส ได้คว้ารางวัล โกลเด้น บูท หรือ ดาวซัลโวสูงสุด ไปครอง จากการยิงไป 6 ประตู

จากผลงานอันยอดเยี่ยม ทำให้ อดีตแข้งโมนาโก กลายเป็นแข้งที่เนื้อหอมสุดๆ และมีข่าวเชื่อมโยงกับทีมดังหลายทีม หลังจบศึกฟุตบอลโลก ก่อนที่สุดท้ายแล้ว จะกลายเป็น เรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่แห่ง ศึกลา ลีก้า สเปน ที่ได้ลายเซ็นของยอดแข้งรายนี้ไป ด้วยมูลค่ากว่า 63 ล้านปอนด์ พร้อมมอบเสื้อหมายเลข 10 ให้ใส่ลงสนามอีกด้วย

อย่างก็ตาม ฟอร์มการเล่นของ ฮาเมส กับ ราชันชุดขาว กลับไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควร ประกอบกับช่วงนั้น ทีมดังจากสเปน มีเพลย์เมคเกอร์ และ มิดฟิลด์ หลายรายในทีมอยู่แล้ว ทำให้สุดท้ายแล้ว ฮาเมส จึงต้องตกเป็นตัวเลือกอันดับหลังๆ ในยุคของนายใหญ่อย่าง ซีเนดีน ซีดาน ก่อนหลุดจากตัวหลักของทีม จนกลายเป็นตัวสำรองแบบถาวรไปในที่สุด

เมื่อ ฮาเมส ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาบิว ได้ ทำให้ในปี 2017 เรอัล มาดริด ตัดสินใจปล่อยตัวเขา ไปให้ทีม "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ใช้งานด้วยสัญญายืมตัว ซึ่งตลอดช่วงเวลา 2 ปีในศึก บุนเดสลีก้า เยอรมนี ของ ฮาเมส เขาก็สร้างผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว เมื่อยิงไป 14 ประตู กับ 15 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 43 นัดในเกมลีก แต่ทีม "เสือใต้" กลับมองว่า ค่าตัวของเขาแพงเกินไป รวมถึงไม่สามารถการันตีตำแหน่งตัวจริงให้กับเขาได้ จึงตัดสินใจ ไม่ซื้อตัวเขาแบบถาวร ทำให้ ฮาเมส ต้องกลับมาที่ เรอัล มาดริด ในปี 2019

ทว่า แม้เขาจะไปเพิ่งโชว์ฟอร์มดีกับ บาเยิร์น มา แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ ซีดาน หันมาเห็นเขาในสายตาเลย เมื่อกุนซือเลือดน้ำหอม ตัดสินใจส่งเขาลงเล่นในลีกไปเพียง 8 นัดเท่านั้นในซีซั่นที่ผ่านมานี้ ทำให้เชื่อว่าอนาคตของ ฮาเมส กับ โลส บลังโกส น่าจะถึงทางตันแล้ว หาก ซีดาน ยังคงคุมทีมอยู่

 

หลุยส์ ซัวเรซ

หัวหอกจอมโหด วัย 33 ปี โด่งดังและเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก จากศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ หลังเขาโชว์ฟอร์มเก่ง ซัดไป 3 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ พาทีมชาติอุรุกวัย ทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปพบกับ ทีมชาติกาน่า แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้คนจดจำเขาได้เป็นอย่างมาก ไม่แพ้ผลงานการเล่นของเขา นั่นคือ วีรกรรมที่เขาได้ทำไว้ในเกมกับ กาน่า นี่เอง โดย ซัวเรซ จงใจใช้มือปัดลูกบอล ที่กำลังจะลอยเข้าประตูของพวกเขา ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีสุดท้าย ส่งผลให้เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ทว่ามันก็คุ้มค่า เพราะสุดท้าย อุรุกวัย พลิกชนะ กาน่า ไปในการดวลลูกโทษ 5-3 และคว้าอันดับ 4 ในการแข่งขันครั้งนั้น 

ทำให้ต้นปีต่อมา ลิเวอร์พูล ตัดสินใจกระชาก หลุยส์ ซัวเรซ ไปจาก อาแจ็กซ์ และหลังจากนั้น ซัวเรซ ก็ก้าวขึ้นเป็น ยอดดาวยิงในถิ่น แอนฟิลด์ จนเกือบจะช่วยให้ "หงส์แดง" คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในปี 2014 ได้สำเร็จ ทว่าหลังจากต้องพบกับความผิดหวัง ได้เพียงรองแชมป์กับลิเวอร์พูล เขาก็ย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลน่า ในช่วงซัมเมอร์ปีดังกล่าว ก่อนที่จะระเบิดฟอร์มโหด เคียงข้าง ลิโอเนล เมสซี่ พร้อมช่วยกันพา บาร์ซ่า คว้าแชมป์ ลา ลีก้า 4 สมัย กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย ทำให้ดูเหมือนว่า อนาคตของเขากับต้นสังกัด น่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด บาร์เซโลน่า กลับเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังพวกเขาถูก บาเยิร์น มิวนิค ไล่ถลุงประตูไปแบบไร้ทางสู้ 8-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ภายในทีมเกิดความปั่นป่วนอย่างหนัก เฮดโค้ชอย่าง กีเก้ เซเตียน ถูกไล่ออกพ้นจากเก้าอี้กุนซือ โดยเป็น โรนัลด์ คูมัน ที่เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมแทน และทันทีที่ คูมัน เข้ารับตำแหน่ง เขาได้แจ้งกับนักเตะในทีมหลายรายว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของเจ้าตัว และจะไม่มีอนาคตในถิ่น คัมป์ นู อีกต่อไปแล้ว พร้อมบอกให้นักเตะหาต้นสังกัดใหม่ได้ทันที ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า หนึ่งในนั้นจะมีรายชื่อนักเตะอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ที่กลายเป็นส่วนเกินของทีมไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย

 

ฟิลิปเป้ คูตินโญ่

เพลย์เมคเกอร์ชาวแซมบ้า วัย 28 ปี อดีตจอมทัพขวัญใจแฟนบอล "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่สุดท้ายแล้ว ขอเลือกทำตามความฝันของตัวเอง ด้วยการยอมทำทุกวิถีทางให้ได้ย้ายไปร่วมทัพ บาร์เซโลน่า ในเดือนมกราคม 2018 ด้วยค่าตัวสูงถึง 142 ล้านปอนด์ โดยแบ่งเป็นการจ่ายในงวดแรก 105 ล้านปอนด์ พร้อมเงื่อนไขต่างๆ ที่จะต้องจ่ายในภายหลังอีกราว 37 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นสถิติการขายนักเตะที่แพงที่สุดของทีมในเกาะอังกฤษ

แต่ทว่า เส้นทางลูกหนังที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้ กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อชีวิตค้าแข้งของ คูตินโญ่ ในแคว้นคาตาลัน กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ในขณะที่ต้นสังกัดเก่าของเขา อย่าง ลิเวอร์พูล กลับเดินหน้าล่าความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จนเรียกได้ว่า นับตั้งแต่ เขาก้าวออกจากถิ่นแอนฟิลด์ไปนั้น กราฟชีวิตเขา กับความสำเร็จของทีม "หงส์แดง" พุ่งสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

คูตินโญ่ ต้องดิ้นรนอย่างหนักในถิ่น คัมป์ นู ที่เต็มไปด้วยแข้งระดับซูเปอร์สตาร์ แต่ก็ไม่อาจยึดตำแหน่งตัวหลักของทีมเอาไว้ได้ จนทำให้เขาถูกปล่อยตัว ไปให้ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากเยอรมนี ยืมตัวไปใช้งานในซีซั่น 2019/20 ที่ผ่านมานี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะได้รับโอกาสลงสนามในลีกไปถึง 23 เกม และยิงได้ 8 ประตู กับอีก 6 แอสซิสต์ แต่ทีมแชมป์บุนเดสลีก้า ก็ไม่ได้มีทีท่าว่า ต้องการจะซื้อตัวเขาไปร่วมทีมอย่างถาวรแต่อย่างใด กระทั่งล่าสุด สตาร์บราซิเลี่ยน ได้กลับมาโชว์ฟอร์มเทพในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะเกมที่ บาเยิร์น ไล่ถล่ม บาร์เซโลน่า จนยับเยิน 8-2 โดย คูตินโญ่ ที่ลงสนามเป็นตัวสำรอง ยิง 2 ประตู พร้อมทำอีก 1 แอสซิสต์ ใส่ต้นสังกัดที่แท้จริงของเขาด้วย ก่อนที่สุดท้าย "เสือใต้" จะผ่านเข้าไปคว้าแชมป์ยุโรปไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ขณะนี้เริ่มมีกระแสว่า บาร์ซ่า เตรียมเปิดโอกาสให้ ดาวเตะทีมชาติบราซิล กลับไปวาดลวดลายในถิ่น คัมป์ นู อีกครั้งในซีซั่นหน้า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่มีตำแหน่งในทีมให้กับเขาก็ตาม

 

อเล็กซิส ซานเชซ

กองหน้ากึ่งปีก ชาวชิลี วัย 31 ปี สร้างชื่อกับทีม อูดิเนเซ่ ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี จน บาร์เซโลน่า ยอดทีมจาก ลา ลีก้า สเปน ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ อเล็กซิส โด่งดังยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล จะมาคว้าตัวไปในปี 2014 ด้วยค่าตัวราว 30 ล้านปอนด์ หลังจากย้ายมาเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก เขายังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแข้งตัวหลัก ที่เป็นความหวังของทีมอยู่หลายปี

แต่แล้ว ในเดือนมกราคม 2018 อเล็กซิส ที่ไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่กับ อาร์เซน่อล จึงได้ย้ายซบทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเป็นการแลกตัวกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ซึ่ง อเล็กซิส ได้เซ็นสัญญาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด พร้อมรับค่าเหนื่อยมหาศาลราว 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ พร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับต้นสังกัดใหม่ ด้วยการโชว์บรรเลงเปียโน เป็นเพลง Glory Glory Man United

แต่ใครจะเชื่อว่า นั่นคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของแมนยูเลยทีเดียว เมื่อผลงานของเขากับ ยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ นั้น ไม่ประสบความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ยุคของ โจเซ่ มูรินโญ่ จนเปลี่ยนมาเป็นกุนซือคนปัจจุบันอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อเล็กซิส ก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้เลย ประกอบกับอาการบาดเจ็บที่มารบกวนอยู่ตลอด ทำให้เขาหลุดออกจากทีมไปแบบถาวร จนซีซั่น 2019/20 ยูไนเต็ด ต้องตัดสินใจปล่อยตัวให้ อินเตอร์ มิลาน ยืมตัวไปใช้งานด้วยสัญญา 1 ฤดูกาล โดยพวกเขายังต้องยอมแบกรับค่าเหนื่อยบางส่วนของแข้งรายนี้อีกด้วย แม้จะไม่ได้ใช้งานเลยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้ อเล็กซิส จะยังคงโชว์ฟอร์มได้ไม่ค่อยดีนัก ในช่วงแรกในทัพ "งูใหญ่" รวมถึงยังคงมีอาการบาดเจ็บตามมารบกวนอีก แต่หลังจากที่เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในช่วงรีสตาร์ท เขาก็กลับมาทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ ยอดทีมแห่งเมืองมิลาน ตัดสินใจคว้าตัวเขาไปร่วมทีมอย่างถาวร แม้ว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้ เขาจะต้องยอมลดค่าเหนื่อยลงมา จากตอนที่เคยรับอยู่กับแมนยูก็ตาม แต่นี่น่าจะเป็นโอกาสอันดี ที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในลีกที่เขาเคยแจ้งเกิดขึ้นมา แม้ว่าล่าสุด อเล็กซิส และทีมงูใหญ่ เพิ่งจะอกหัก หลังพลาดคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ซีซั่นนี้ไปก็ตาม

 

"เอกกี้รีพอร์ต"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

>> มีทีมใดบ้าง!? 8 ยักษ์ใหญ่ในยุโรป ที่ยังไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก

>> ใส่เดินเที่ยวได้! ส่องเสื้อแข่งใหม่สุดไฉไลของ 20 ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก

– ดูฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station

– ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่

– สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่

ยอดนิยมในตอนนี้